ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 501 บาดแผล
ตอนที่ 501 บาดแผล [รีไรท์]
ในที่สุดต้วนจืออวี่ก็อดถามเสียงเบาขึ้นมาไม่ได้ว่า
“คุณหนูฉู่ ท่านคงไม่ได้คิดจะซื้อทุกอย่างที่ประมุขอวี้ฉือนำมาขายที่นี่หรอกใช่หรือไม่ขอรับ…”
คำพูดของต้วนจืออวี่ก็ได้เรียกสติของฉู่หลิวเยว่
ทันใดนั้นนางก็ได้สติคืนมา พร้อมยิ้มอย่างตกใจว่า
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างใดเล่า? ข้าแค่คิดว่าในเมื่อเขามีฐานะเป็นประมุข น่าจะมีสมบัติไม่น้อยเลยทีเดียว จึงอยากจะขอดูสักหน่อย แต่ว่าตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน”
ต้วนจืออวี่ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก
หากซื้ออีกล่ะก็ เขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดเรื่องนี้กับนายท่านอย่างใดดี!
นั่นจึงทำให้พนักงานทั้งสองผิดหวังแล้ว แต่วันนี้นางก็ซื้อของไปเยอะมาก พวกเขาก็พึงพอใจมากแล้ว
แล้วอีกอย่างนางพึ่งพาอาศัยตระกูลมู่ หรือว่าหลังจากนี้นางจะมาที่นี่อีกหรือ?
“ขอรับ คุณหนูฉู่เช่นนั้นพวกเราจะช่วยห่อของที่ท่านเลือกไว้เมื่อครู่นี้นะขอรับ ท่านจะให้พวกเราช่วยท่านขนของให้พร้อมกับท่านหรือว่าจะให้พวกเราไปส่งที่เรือนตระกูลมู่ในภายหลัง?”
เรื่องยุ่งยากแล้ว
ฉู่หลิวเยว่โบกมือขึ้น
“เดี๋ยวพวกเจ้าค่อยเอาไปส่งที่จวนตระกูลมู่ก็ได้”
“ขอรับ ที่ชั้นสองนี้ท่านได้ใช้จ่ายเงินเป็นมูลค่า หนึ่งแสนสามพันผนึกศิลา รวมกับชั้นหนึ่งมูลค่า สี่พันแปดร้อยผนึกศิลา รวมทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งแสนเจ็ดพันแปดร้อยผนึกศิลา หลังหักส่วนลดสิบห้าส่วนแล้ว จะเหลือเป็นเก้าหมื่นหนึ่งพันหกร้อยผนึกศิลา ในขณะเดียวกันบัตรสมาชิกของท่านจะเลื่อนขั้นเป็นทองคำดำ ท่านว่า…”
เมื่อพนักงานตัวน้อยพูดไปก็หันไปมองที่ต้วนจืออวี่ด้วย
เพื่อส่งสัญญาณให้เขาจ่ายเงิน
แม้ว่าจะไม่ได้ใช่เงินของตนเอง แต่ต้วนจืออวี่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก
เก้าหมื่นผนึกศิลาขาว!
ต่อให้สำหรับนายท่านแล้ว ก็ยังถือว่าไม่ใช่จำนวนเงินที่น้อยอยู่ดี!
“ในเมื่อเลื่อนขั้นเป็นบัตรทองคำดำแล้ว ยังไม่มีสิทธิประโยชน์อย่างอื่นหรือ?” ต้วนจืออวี่ถามขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ
ใบหน้าของพนักหน้าตัวน้อยก็ยิ้มให้อย่างจริงใจ
“แม้ว่าบัตรทองคำดำกับทองคำขาว จะมีค่าส่วนลดที่เท่ากัน แต่ความจริงแล้วมันต่างกันอย่างมาก แขกที่มีบัตรทองคำดำนั้น จะมีคุณสมบัติขึ้นไปที่ชั้นสามได้ หากมียอดใช้จ่ายมากกว่าหนึ่งล้านผนึกศิลาขาวขึ้นไป จะมีห้องรับรองของที่ชั้นสามเอาไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ”
หนึ่งแสนมีสิทธิที่จะขึ้นชั้นสาม หนึ่งล้านถึงจะสามารถเป็นแขกที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกได้!
มาตรฐานของเกณฑ์นี้มันจะสูงเกินไปแล้วหรือไม่?
ต้วนจืออวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหยิบถุงเฉียนคุนออกมา
“ในนี้มีเงินหนึ่งหมื่นผนึกศิลา เอาไปเป็นมัดจำก่อน ส่วนที่เหลือข้าจะจ่ายให้หลังจากของมาถึงที่จวนตระกูลมู่แล้ว”
พนักงานตัวน้อยก็ยกมือทั้งสองข้างประสานกัน เพื่อทำความเคารพ ใบหน้ามีรอยยิ้มยินดีประดับอยู่
เขาไม่ห่วงว่าตระกูลมู่จะเบี้ยวเงินหรอกนะ!
เขาอยู่หอร้อยโอสถมาตั้งหลายปีแล้ว ผลงานยังไม่ดีเท่าวันนี้วันเดียวเลย!
ด้วยเงินก้อนหนึ่งเขาจะตั้งใจพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่!
“คุณหนูฉู่ หากต่อจากนี้ท่านต้องการสิ่งใด หอร้อยโอสถจะพยายามหามาให้ท่านอย่างสุดความสามารถ”
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางต้วนจืออวี่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“วันนี้ข้ายังมีธุระอีก เช่นนั้นขอตัวก่อนนะ”
ตอนที่ออกจากหอร้อยโอสถแล้ว พนักงานทั้งชั้นหนึ่งและสองก็รู้แล้วว่าฉู่หลิวเยว่เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของหอร้อยโอสถแห่งนี้ พวกเขาจึงโค้งคำนับทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
พนักงานทั้งสองคนนั้นก็ลงมาพร้อมกันด้วย เขาคำนับและส่งฉู่หลิวเยว่ออกจากหอร้อยโอสถไป เมื่อร่างเงาของทั้งสามคนหายไปแล้ว เขาก็เดินกลับเข้าหอไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
…
หลังจากใช้เงินก้อนใหญ่ของมู่ชิงเห่อแล้ว นางก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
หลังจากเพิ่งพาเชียงหว่านโจวเข้าจวนมาได้ไม่นาน เขาก็เห็นว่ามู่ชิงเห่อกำลังเดินตรงมาทางนี้
ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ฟ้าเพิ่งมืดได้ไม่นาน แต่เมื่อคิดดูแล้ว ก็พบว่าวันนี้เป็นวันที่มู่ชิงเห่อกลับจวนมาเร็วที่สุด
ไม่ได้เจอกันแค่ไม่นาน แต่มู่ชิงเห่อกลับผอมลงไปอีกแล้ว สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดี
แต่ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจอันใดออกมา นางเข้าไปทำความเคารพด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
“คารวะรองแม่ทัพมู่”
มู่ชิงเห่อมองฉู่หลิวเยว่นิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง
“ได้ยินมาว่าที่งานประลองรอบคัดเลือกวันนี้ เจ้าชนะเด็กผู้หญิงที่อยู่ในระดับห้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้แปลกใจที่เขารู้เรื่องนี้ จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า
“เจ้าค่ะ เหมือนว่าข้าจะโชคดี”
“โชคดีมีได้แค่ครั้งเดียว ไม่มีทางมีได้สองครั้ง” มู่ชิงเห่อกล่าวเสียงเรียบ
เหมือนว่าเขาก็ได้ยินเรื่องการต่อสู้ที่จัตุรัสผิงเหลียงกับอู่จ้าวแล้วเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสับสนอย่างมาก
“ดูเหมือนว่าช่วงนี้ฝีมือของเจ้าจะพัฒนาไม่น้อยเลย”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว
“ขอบคุณท่านรองแม่ทัพที่ชื่นชม แต่หลิวเยว่ละอายใจไม่กล้ารับ”
ทันใดนั้นต้วนจืออวี่ก็รู้สึกตัวสั่นขึ้นมา
ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินฉู่หลิวเยว่พูดคำว่า “ละอายใจจนไม่กล้ารับ” ก็รู้สึกปวดหัวอย่างมาก!
มู่ชิงเห่อมองนางแล้ว แค่นหัวเราะเบาๆ
ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและภูมิใจ เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่นางชนะในวันนี้เป็นเรื่องสมควรแล้ว ไม่มีตรงไหนที่บอกว่า “ละอายใจ” เลย
“พรุ่งนี้งานหมื่นทูรจะเริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมก็พอแล้ว”
เมื่อพูดจบมู่ชิงเห่อก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
“รองแม่ทัพมู่ ช้าก่อน!”
ฉู่หลิวเยว่รีบตะโกนเรียกเขาเอาไว้
“ข้ามีสหายคนหนึ่ง เขาก็เข้าร่วมงานหมื่นทูรในครั้งนี้ แต่ว่ายังไม่มีที่พัก ไม่ทราบว่าช่วงนี้จะให้เขาพักที่จวนนี้ได้หรือไม่?”
มู่ชิงเห่อเองก็เพิ่งสังเกตว่าที่ด้านข้างของนางมีเชียงหว่านโจวยืนอยู่ด้วย แต่เขาคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะเอ่ยปากขอร้องเรื่องเช่นนี้ออกมาด้วย
เขามองไปที่เชียงหว่านโจวครู่หนึ่ง
“ในเมื่อเขาเข้าร่วมงานหมื่นทูร หมายความว่าจะต้องมีคนพามา แล้วเหตุใดถึงไม่มีที่พักเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่รีบอธิบายเรื่องราวอย่างรวดเร็ว แต่ว่านางก็เปลี่ยนแปลงเรื่องราวบางส่วนด้วย
เช่นเรื่องที่เชียงหว่านโจวต้องการจะตามหาคนที่ชื่อ “เยว่” แน่นอนว่านางก็ไม่สามารถบอกเรื่องนี้ จึงบอกไปแค่ว่าต้องการตามหาญาติ
เพราะเห็นว่าเขาอยู่ตามลำพังและหมดหนทาง ดังนั้นนางจึงรู้สึกสงสาร และเอ่ยปากว่าจะให้ความช่วยเหลือด้วยตนเอง
มู่ชิงเห่อปฏิเสธออกมาโดยตรงว่า
“จวนตระกูลมู่ นอกจากทหารม้าทมิฬแล้ว ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกได้ตามใจชอบ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค้างแรมเลย”
ฉู่หลิวเยว่ประสานมือทั้งสองข้าง
“รองแม่ทัพมู่ ให้เขาอยู่ที่ในเรือนนั้นของข้าก็ได้ ข้าจะหาห้องให้เขาสักห้อง รับรองได้ว่าเขาจะไม่มีทางสร้างปัญหาเด็ดขาด! เมื่องานหมื่นทูรจบแล้ว ข้าจะส่งเขากลับไปทันที”
แน่นอนว่าในตอนนั้นนางก็ไม่อยู่ที่นี่ด้วย
มู่ชิงเห่อมองสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการและเจ้าเล่ห์ของนางแล้ว จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า
“หากมีอันใดเกิดขึ้น เจ้าต้องเป็นคนรับผิดชอบ!”
เท่านั้นแหละ!
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขึ้นมาทันที
“ขอบคุณท่านรองแม่ทัพมู่!”
มู่ชิงเห่อมองไปที่เชียงหว่านโจวอีกครั้ง แล้วหมุนตัวเดินเข้าจวนไป
เด็กคนนั้น เหมือนว่าวรยุทธจะไม่อ่อนแอ…
หลังจากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็พาเชียงหว่านโจวมาที่เรือนของตนเอง
ต้วนจืออวี่ก็รีบขอตัวลาอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องถามก็รู้ว่า เขาจะต้องไปรายงานเรื่องวันนี้ที่เขาซื้อของที่หอร้อยโอสถกับมู่ชิงเห่ออย่างแน่นอน
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
หากเงินแสนสามารถทำให้เขาสั่นสะเทือนได้ เช่นนั้นเขาก็คงอยู่มาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้หรอก
นางมั่นใจในเรื่องนี้มาก ดังนั้นวันนี้จึงใช้เงินอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด!
นางเรียกเชียงหว่านโจวให้เข้ามาในห้องของนาง
“นั่งลง ข้าจะจับชีพจร”
เชียงหว่านโจวก็นั่งลง พร้อมยื่นแขนออกมาให้อย่างเชื่อฟัง
แขนของเขานั้นขาวมาก แทบจะมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวใต้ผิวหนังได้อย่างชัดเจน
แต่ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขากลับหยาบและหนาอย่างมาก
อีกทั้งเมื่อมองลงไปดีๆ แล้ว กลับเห็นว่ามีรอยแผลเป็นเก่าๆ จำนวนไม่น้อยเลย แทบจะไม่มีผิวที่เรียบเนียนเลย
“แผลพวกนี้ เจ้าไปโดนอันใดมา?”