ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 507 พวกเจ้าเป็นอันใดกัน
ตอนที่ 507 พวกเจ้าเป็นอันใดกัน [รีไรท์]
ชายคนนั้นก็ตกใจมากเช่นกัน ในขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในร่างกายแล้ว
เขาต้องการหยุดไม่ให้พลังปราณเหล่านั้นไหลเข้าร่างกาย แต่ก็ต้องตกใจมากยิ่งขึ้น เพราะว่า…เขาไม่สามารถควบคุมพลังเหล่านั้นได้เลย!
ปราณฟ้าดินที่อยู่รอบข้างไหลเวียนเข้าร่างกายเขาอย่างรวดเร็วดังเดิม!
ร่างกายของเขาร้อนลุ่ม ใบหน้าแดงก่ำ พลังภายในเหมือนว่าจะระเบิดออกมา จากนั้นเขาก็ยังกระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง!
เขารีบเช็ดคราบเลือดที่มุมปากอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นคราบเลือดที่แขนเสื้อของตัวเองอย่างรวดเร็ว
นั่น…มันคือเลือดที่อยู่บนแขนของเขา
เขารีบดึงแขนเสื้อของตนเองขึ้น เขาก็มองเห็นว่าแขนของตนเองมีรอยแยกขนาดหนึ่งชุน ที่มีเลือดออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เลือดสดๆ ไหลออกมาจนย้อมแขนเสื้อของเขาจนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว!
“นี่…นี่มันเรื่องอันใดกันแน่…”
เขาพูดเสียงต่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ
ทันใดนั้นเหมือนว่าเขาเพิ่งนึกอันใดบางอย่างออก จึงรีบวิ่งออกไปทันที!
เขาจะต้องวิ่งกลับไปที่จุดตรงกลาง!
แต่เขาวิ่งมายังไม่ถึงสองก้าว เขาก็ล้มลงที่พื้น
เขาพยายามลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าคราบเลือดมากมายจะเปรอะเปื้อนอยู่ที่พื้น
…ร่างกายส่วนอื่นของเขาเริ่มถูกปราณดั้งเดิมฉีกทึ้งอย่างรุนแรงออกมาแล้ว!
ตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนนี้ห่างจากพื้นที่ตรงกลางท้องฟ้าเป็นอย่างมาก
หากใช้เพียงกำลังของตนเอง เกรงว่าจะไม่สามารถกลับไปทัน
หลังจากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ในที่สุดก็เห็นฉู่หลิวเยว่
“ขอ…ขอร้องล่ะ…ช่วยข้าที…”
เขารีบขอความช่วยเหลือจากนางอย่างอ่อนแรง
ฉู่หลิวเยว่ถอนสายตาแล้วเดินหน้าออกไปทันที
นางไม่ได้มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่น โดยเฉพาะคนที่โลภมากอยากจะกินช้างทั้งตัว
ในเมื่อกล้าเข้าร่วมงานหมื่นทูร เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะเตรียมตัวให้พร้อมอยู่แล้ว
เมื่อเดินมาถึงจุด เกรงว่าโทษได้แต่ตัวเองเท่านั้นล่ะ
“…ช่วยข้าที…ข้า…ข้าจะทำตามที่เจ้าสั่งทุกอย่าง…”
ฉู่หลิวเยว่ไม่หันหน้ากลับไปมองเลยสักนิด
เสียงขอความช่วยเหลือก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงด่าทอ
แต่ทันใดนั้นเสียงนั้นก็เปลี่ยนเป็นความยินดีอีกครั้ง
“…ขอบคุณมาก…ขอบคุณเจ้ามาก! ไม่รู้ว่าข้าจะขอบคุณเจ้า…อย่างใดดี!”
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองอีกครั้ง
มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดขาวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของชายผู้นั้น จากนั้นก็พยุงเขาขึ้นมา พร้อมพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? เจ้าเดินไหวหรือไม่?”
ชายคนนั้นกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง
“ข้า…ข้า…รบกวนแม่นางพยุงข้ากลับไป…ข้าอยู่ที่นี่…ไม่ไหวแล้ว”
การพูดมันกินแรงเขาอย่างมาก ร่างกายของเขาก็มีเลือดไหลเพิ่มมากขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน
“ได้สิ”
เมื่อพูดจบ แม่นางคนนั้นก็หยิบเชือกออกมาจากแขนเสื้อ แล้วมัดชายคนนั้นเอาไว้!
นางเพิ่งมาถึงที่นี่ ย่อมมีพลังมากกว่าชายคนนั้นอยู่แล้ว และชายคนนั้นก็ไม่มีทางป้องกันตนเองได้เลย เขาจึงโดนหญิงคนนั้นกำจัดได้อย่างง่ายดาย
“เจ้า…เจ้าจะทำอันใดกันเนี่ย?”
เขาเพิ่งสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาตะโกนออกมาอย่างหวาดกลัว
ผู้หญิงคนนั้นกลับสะบัดข้อมือ จากนั้นก็โยนชายคนนั้นทิ้งลงพื้น!
ตุ้บ!
เสียงหนึ่งดังขึ้น
ศีรษะของชายคนนั้นกระแทกพื้นอย่างแรง
เขารู้สึกเจ็บมากจนใบหน้าซีดเผือด
แต่ผู้หญิงคนนั้นยังคงมีใบหน้าที่อ่อนโยนและใจดีเหมือนเดิม
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยไม่ใช่หรือ? นี่ข้าก็ช่วยเจ้าแล้วไง”
เมื่อพูดจบหญิงคนนั้นก็ลากชายอีกคนออกไปด้วยเชือกเส้นนั้น!
บนพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือดไถลเป็นแนวยาว
ชายคนนั้นคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่ดูจิตใจดี จะโหดเหี้ยมร้ายกาจขนาดนี้!
เมื่อเขากำลังจะเปิดปากด่าออกมา แต่กลับว่าในปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด พูดไม่ออกเลยสักคำ
ในลำคอของเขาเหมือนมีอันใดสักอย่างมารัดคอเอาไว้อยู่ เขาส่งเสียงได้แค่ “อึ่กๆ” แค่ไม่กี่ครั้ง จากนั้นการเคลื่อนไหวของเขาก็ค่อยๆ หยุดลง
หลังจากที่โดนลากมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ในที่สุดเขาก็สลบไป
ผู้หญิงคนนั้นหยุดเดิน จากนั้นก็สาวเท้าเข้ามาเพื่อสำรวจว่าเขายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่
ลูกปัดสีทองแดงที่อยู่ตรงข้อมือของเขาก็เรืองแสงขึ้น และปกคลุมตัวของเขาเอาไว้
ผู้หญิงคนนั้นรีบถอยลงมาทันที
หลังจากที่แสงหายไป ร่างของชายผู้นั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย
เหลือเพียงคราบเลือด และคราบเละ คราบเหงื่อที่แห้งกรังอยู่ที่พื้น แสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่มีคนนอนอยู่ตรงนี้จริงๆ
ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ
“ถือว่าเจ้าโชคดีไปนะ!”
แม้ว่านางจะไม่สามารถฆ่าเขาได้ แต่ก็สามารถขับเขาออกจากการแข่งขันได้
กำจัดได้หนึ่งคน คู่แข่งก็น้อยลงหนึ่งคน!
นางหมุนตัวกลับมามองและเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นพอดี!
สายตาของทั้งสองคนประสานกัน
ร่องรอยของความตื่นตระหนกปรากฏในแววตาของผู้หญิงคนนั้น
เมื่อครู่นางไม่รู้สึกเลยว่ามีคนอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย!
สิ่งที่นางทำไปเมื่อครู่คนผู้นี้เห็นหมดแล้วใช่หรือไม่?
ฉู่หลิวเยว่มองสำรวจผู้หญิงคนนั้นดูสายตาขึ้นลง
เมื่อมองดูแล้ว คนคนนี้น่าจะเป็นคนมาจากเผ่าเสวียนเฟิ่ง
นางจึงยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
นิสัยโหดเหี้ยมเช่นนั้น เหมือนว่าจะเป็นมรดกที่ได้รับสืบทอดมาสินะ
หัวหน้าเผ่าเสวียนเฟิ่งเป็นคนที่โหดเหี้ยมดุร้ายอย่างมาก เคยต่อสู้กับนางในที่ลับและที่แจ้งมานับครั้งไม่ถ้วน
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะได้มาเจอคนของนางที่นี่
อีกทั้ง ใบหน้านี้ก็ดูคุ้นเคยอย่างมาก…
สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
นางหันหน้ามาทางฉู่หลิวเยว่แล้วยิ้มให้พร้อมกล่าวว่า
“ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคือฉู่หลิวเยว่ใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งมาซีหลิงได้แค่สองสามวัน แต่ชื่อเสียงกลับดังกระฉ่อนแล้ว ที่ผู้หญิงคนนี้รู้จักนาง นางก็เลยไม่ได้แปลกใจมากนัก
นางพยักหน้าเบาๆ แล้วถามกลับว่า
“เจ้าคือ…”
“ข้ามีนามว่าหนิงเจียวเจียว” นางยิ้มแล้วตอบ
ฉู่หลิวเยว่นึกขึ้นได้ในทันที
…คนคนนี้คือหนิงเจียวเจียว ลูกสาวเพียงคนเดียวของหนิงปิงไห่ หัวหน้าเผ่าเสวียนเฟิ่ง!
คาดไม่ถึงว่านางจะมาที่นี่ด้วย?
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
หนิงเจียวเจียวนับว่าเป็นคนงาม แต่ไม่สะดุดตาเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนก็จะถูกมองข้ามได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าวรยุทธของนางจะไม่เลว แต่คนที่เข้าร่วมงานหมื่นทูรนี้ล้วนแต่เป็นคนที่มีวรยุทธชั้นยอด ส่วนงานรอบคัดเลือกนั้นนางก็ทำผลงานเอาไว้ไม่โดดเด่น
ดังนั้นฉู่หลิวเยว่จึงไม่ได้สังเกตนางเลย
หนิงเจียวเจียวเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่พูดไม่จา ในใจก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
“คือว่า…เมื่อครู่ข้าอยากจะพาเขาออกไปจริงๆ แต่ว่า…แต่ว่า…”
นางอยากจะหาเหตุผล แต่นางไม่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่เห็นนางทำอันใดไปมากน้อยแค่ไหน!
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขึ้น
“ที่นี่มีเพียงแค่พวกเราสองคนไม่ใช่หรือ?”
หนิงเจียวเจียวชะงักไปจากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา
“ใช่แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ชอบหาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะเริ่มก่อปัญหาก่อน
หนิงเจียวเจียวถอนลมหายใจออกมา
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นว่า
“ข้ายังมีธุระอื่นอีก ขอตัวก่อนนะ”
เมื่อพูดจบนางก็สาวเท้าเดินออกไปทันที
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นหนิงเจียวเจียวก็รีบตะโกนเรียกฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองอีกครั้ง
“คุณหนูหนิงยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ?”
ใบหน้าของหนิงเจียวเจียวกลับไปเป็นความอ่อนโยนอีกครั้ง
นางเดินขึ้นมาด้วยพร้อมพูดขึ้นว่า
“คุณหนูฉู่ เจ้าไม่คิดว่าที่นี่มันแปลกประหลาดมากหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้ามองไปรอบๆ แล้วกล่าวว่า “ก็พอได้นะ”
แต่นางก็คิดไม่ถึงจริงๆ แล้วว่าปฐมกษัตริย์จะทิ้งของเช่นนี้เอาไว้
ในตอนแรกนางก็รู้สึกตกใจ แต่เมื่อนึกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของปฐมกษัตริย์ที่เขาสามารถเปิดดินแดนทั้งสี่ได้ ก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก
รอยยิ้มของหนิงเจียวเจียวชะงักค้างไป
ก็พอได้หรือ?
หมายความว่าอย่างใดกันเนี่ย?
นี่นางไม่รู้สึกจริงๆ หรือว่านางไม่อยากคุยกับตนเองกันแน่?
ทั้งสองข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อไหน นางก็ไม่มีทางรับได้ทั้งนั้น!
นางระงับความโกรธที่มีในใจลง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นเบาๆ
“คุณหนูฉู่เจ้าดูดินแดนที่รกร้างแห่งนี้สิ ดูอ้างว้างและแปลกประหลาด เหตุใดเราถึงไม่รวมกลุ่มกันเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
หรือว่าหนิงเจียวเจียวจะคิดว่าทุกคนที่อยู่บนโลกจะไม่มีสมองเหมือนกันหมดหรือ?
“ไม่ต้องล่ะ ข้ายังต้องตามหาคนอีก ไม่สะดวกร่วมทางกับเจ้า”
เมื่อพูดจบฉู่หลิวเยว่ก็เดินจากไปทันที
หนิงเจียวเจียวชะงักไปแล้วพูดขึ้นว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าอยากจะถามเจ้าสักคำ เจ้าเป็นอันใดกับเจี่ยนเฟิงฉือ แห่งภูเขาเขี้ยวมังกรหรือ?”