ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 514 ข่าวลือรอบด้าน
ตอนที่ 514 ข่าวลือรอบด้าน [รีไรท์]
ตรงกลางหลุมยุบเป็นหุบเหวที่มีความลึกมาก พื้นที่โดยรอบมีปราณกระบี่สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมา ดินและหินที่หนาวเย็นมีรอยกระบี่จำนวนมาก
เมื่อยืนมองจากด้านบนลงไปด้านล่าง ก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
…กระบี่หลงหยวนอยู่ตรงนี้มาหลายพันปีแล้ว บางทีหลุมยุบแห่งนี้ ก็เกิดจากผลกระทบในการสะสมพลังของกระบี่เล่มนี้
นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของกระบี่แล้ว
และที่สำคัญไปมากกว่านั้น เมื่ออยู่ตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่ถึงได้พบว่า กระบี่หลงหยวนที่เคยนั้นเห็นว่ามีขนาดใหญ่มหึมา แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น!
ส่วนที่โผล่ออกมาจากหลุมยุบนี้ น่าจะมีไม่ถึงครึ่งของกระบี่หลงหยวนทั้งเล่มด้วยซ้ำ
มันช่างสง่างามและน่าเกรงขาม เป็นอิสระอย่างไม่มีใครเทียบเทียมได้
กาลเวลาผ่านร้อนผ่านหนาวมานับพันปี คาดไม่ถึงว่ากระบี่สีดำเล่มนี้จะไม่มีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อมองใกล้ๆ ก็ยังเห็นว่าเรียบเนียนเหมือนเก่า และยังคมอย่างมาก!
อีกทั้งแรงกดดันนี้ ก็แผ่ออกมาจากด้านบนด้วย!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง และมองดูกระบี่ในตำนานเล่มนี้อย่างระมัดระวัง
กระบี่เล่มหนึ่งเป็นกระบี่ที่เอาไว้เปิดแคว้นราชวงศ์เทียนลิ่ง…กระบี่ของปฐมกษัตริย์!
ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึกว่าอารมณ์ของนางซับซ้อนอย่างมาก
ทั้งชื่นชม ยกย่อง และทอดถอนหายใจ…
แม้ว่าในตอนนี้นางกำลังยืนอยู่ในฐานะของบุคคลภายนอกก็ตาม แต่ในใจของนางก็รู้ดีว่า…นี่คือบรรพบุรุษของนาง!
แต่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เลือดในกายของนางก็พุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้ใจของนางเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
“โครงกระดูกของอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านล่างกระบี่หลงหยวน!”
ทันใดนั้นเสียงของอินทรีสามตาก็ดังขึ้น
ตอนนั้นเองฉู่หลิวเยว่ถึงได้สติขึ้นมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปมอง
ภายในหลุมยุบนอกจากกระบี่ที่ปักลงไปในดินครึ่งหนึ่ง ก็ไม่มีสิ่งอื่นแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแล้วถามว่า
“ที่เจ้าบอกว่าอยู่ด้านล่างของกระบี่หลงหยวน…คงไม่ใช่ว่าอยู่ในดินนี่หรอกใช่หรือไม่?”
อินทรีสามตาถามกลับ “นี่เจ้าเพิ่งรู้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ “…งั้นข้าจะเอาออกมาอย่างใดเล่า? อย่าบอกว่าจะให้ข้าขุดดินลงไป ในหลุมยุบแห่งนี้มีปราณกระบี่มากมายขนาดนี้ ข้าก็ลงไปไม่ได้แล้ว!”
นางพูดอย่างจริงใจ
ด้วยปราณกระบี่สีดำเหล่านั้น ถ้านางลงไป เกรงว่าพริบตาเดียวร่างกายของนางคงแหลกไปหมดแล้ว
ต่อให้มีพรมแดนไวฑูรยะ แต่นางก็ไม่กล้ารับประกัน ว่านางจะสามารถต้านทานการโจมตีจากปราณกระบี่พันๆ สายในครั้งเดียวได้!
อินทรีสามตาพูดขึ้นว่า
“ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแน่น “…ที่แท้เจ้าสามารถจัดการกับปราณกระบี่เหล่านี้ได้ แต่เมื่อครู่เหตุใดเจ้าถึงทำเป็นเมินเฉย?”
“หลังจากที่ทำพันธะสัญญากับข้า เจ้ากลัวว่าจะเลื่อนระดับเร็วเกินไปไม่ใช่หรือ พื้นฐานของเจ้าก็ยังไม่มั่นคง ดังนั้นจึงคิดจะหาจังหวะในการฝึกฝนไม่ใช่หรือ?” อินทรีสามตาพูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ “โอกาสนี้ก็เป็นโอกาสที่หายากมากไม่ใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางลูบหน้าผากตัวเองอย่างปวดหัว
เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครบอกนางมาก่อนล่ะว่า อสูรศักดิ์สิทธิ์บ้าขนาดนี้!?
อินทรีสามตาก็พูดขึ้นอีกว่า “เหตุใด หรือว่าเจ้าไม่ชอบ?”
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันแล้วพูดขึ้นว่า
“ชอบ! ชอบมากจนทนไม่ไหวแล้ว!”
อินทรีสามตาจึงมีท่าทางที่พออกพอใจขึ้นมา แล้วพูดอย่างเคร่งเครียดว่า
“เตรียมตัวให้ดี”
ฉู่หลิวเยว่ระงับอารมณ์ของตัวเองทันที และทำให้ร่างกายของตนเองมีความตื่นตัว
เนื่องจากนางสัญญากับอินทรีสามตาไปแล้ว ว่าจะช่วยทำให้เขาได้มีกายเนื้อ เช่นนั้นไม่ว่าอย่างใด…นางก็ต้องเดินหน้าต่อ!
ตอนนั้นเองเงาร่างสีดำก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่!
ปีกทั้งสองข้างโอบกอดนาง ดวงตาปิดสนิท! แรงกดดันที่มหาศาล!
นั่นคืออินทรีสามตา!
พรึ่บ!
ปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้างกางออกขึ้นทันที!
ตอนนั้นเองฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าท้องฟ้าที่อยู่ตรงหน้านางแทบจะมืดสนิทไปทันที!
นางจ้องเงาร่างที่อยู่ด้านหน้าตาเขม็ง
เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวครั้งนี้ แข็งแกร่งกว่าหลายครั้งก่อนๆ มาก!
อย่างน้อยในตอนนี้นางก็สามารถมองเห็นขนนกของมันได้แล้ว!
บนตัวของเงาร่างนี้ นางสามารถสัมผัสได้ถึงปราณที่คุ้นเคย
“นี่คือ…พลังแห่งสวรรค์?”
ฉู่หลิวเยว่ถามเบาๆ
ทันใดนั้นอินทรีสามตาก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น!
ดวงตาของมันเป็นสีแดงก่ำ แต่ว่าจิตสังหารและความดุร้าย ได้หายไปเกือบหมดแล้ว!
อีกทั้งยังสามารถสัมผัสถึงปราณที่สูงส่งจากตัวของเขาได้อีกด้วย!
ฉู่หลิวเยว่จึงรู้ได้อย่างทันทีว่า นั่นคือปราณที่แท้จริงของอสูรศักดิ์สิทธิ์อินทรีสามตา!
“ถูกต้อง”
อินทรีสามตาและฉู่หลิวเยว่มีจิตที่เชื่อมโยงกัน ไม่จำเป็นต้องเปิดปากพูดก็สามารถเข้าใจความคิดของกันและกันได้
“หลังจากที่ข้าได้ทำพันธสัญญากับเจ้า จิตวิญญาณของข้าก็ได้รับพลังแห่งสวรรค์มาหล่อเลี้ยง จึงฟื้นตัวขึ้นมาก”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจ
“หากเป็นเช่นนี้ อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มาทำพันธสัญญากับมนุษย์ก็ล้วนมีแต่ข้อดีน่ะสิ”
อสูรสามตาเหลือบมองนาง
ในตอนนั้นฉู่หลิวเยว่ยังไม่รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะสามารถทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้
บางคนไม่สามารถรับแรงกดดันและพลังแห่งสวรรค์ของอสูรศักดิ์สิทธิ์ จนทำให้ต้องเสียชีวิต
ส่วนคนที่ทำพันธสัญญาสำเร็จ…หลังจากทำพันธสัญญาเรียบร้อยแล้ว พลังแห่งสวรรค์ที่เคยมี ก็จะหายไป เหลือไว้เพียงพลังส่วนสุดท้าย ที่ไม่มีค่าพอที่จะพูดถึงมันเลย
คนที่สามารถทำพันธสัญญาแล้วเป็นเหมือนฉู่หลิวเยว่ที่สามารถเชิญพลังแห่งสวรรค์เข้ามาภายในร่างกายได้เช่นนี้นั้น…
แทบจะไม่มีเลย!
อย่างน้อยในความทรงจำของอินทรีสามตา ก็ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย
แต่ว่าเรื่องนี้ เขาคิดว่ายังไม่บอกฉู่หลิวเยว่จะดีที่สุด
“ขึ้นมา”
อินทรีสามตาลดปีกลงต่ำ
ฉู่หลิวเยว่กระโดดขึ้นไป
“เงาร่างของข้ามีผลมาจากจิตวิญญาณ ข้ายืมพลังปราณฟ้าดินมาหลอมรวม จึงมีเวลาจำกัด เจ้าต้องรีบเข้าล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าหงึกหงัก
ปีกของอินทรีสามตาขยับขึ้นลง จากนั้นมันก็โฉบลงไปในหลุม!
…
ตอนที่ฉู่หลิวเยว่เข้าไปในหลุมยุบแล้ว อีกด้านหนึ่ง ในที่สุดหยางเซิ่นเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็พักผ่อนเสร็จแล้ว เตรียมพร้อมจะออกเดินทางอีกครั้ง
ชายร่างผอมสูงกล่าวขึ้นมาเสียงเรียบ
“หากเจอฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง ห้ามเปิดโอกาสให้นางหนีรอดไปได้อีก!”
ทันใดนั้นในระยะที่ห่างออกไป ด้านหลังของพวกเขาก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าพวกท่านคือศิษย์สำนักกระบี่เมฆาม่วงหรือเจ้าคะ?”
พวกเขาทั้งหลายหันหน้ากลับไปมอง เห็นว่าเป็นแม่นางคนหนึ่ง
“เจ้าคือ…”
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะเล็กน้อย “ข้าคือหนิงเจียวเจียว จากสำนักเสวียนเฟิ่ง”
พวกเขาทั้งหลายสบสายตากัน
สำนักเสวียนเฟิ่งกับสำนักกระบี่เมฆาม่วงต่างเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ส่วนหนิงเจียวเจียวคนนี้ เหมือนว่าจะเป็นคุณหนูใหญ่ของสำนักเสวียนเฟิ่ง?
“ที่แท้ก็คือคุณหนูหนิงนั่นเอง”
เมื่อหนิงเจียวเจียวเห็นว่าพวกเขายังคงมีท่าทางระแวดระวังอยู่ นางก็ไม่ได้ใส่ใจ และถามหยั่งเชิงขึ้นมาว่า
“เมื่อครู่เหมือนได้ยินท่านทั้งสามพูดถึง…ฉู่หลิวเยว่?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดขึ้นทันทีว่า
“คุณหนูหนิงคงได้ยินผิดแล้ว”
หนิงเจียวเจียวกวาดตามองสภาพของพวกเขา แล้วหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย
“ที่แท้ข้าก็เข้าใจผิดไปนี่เอง ข้าคิดว่าบาดแผลบนตัวของพวกท่าน เป็นฉู่หลิวเยว่ที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เสียอีก แต่ว่า…ข้าได้ยินผิดไป เช่นนั้นถ้าเป็นนางจริงๆ ล่ะก็ พวกเจ้าคงต้องออกจากอาณาจักรเทพเทียนลิ่งไปแล้วถึงจะถูกต้อง…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งสามคนก็ต่างมองหน้ากัน
“ที่คุณหนูหนิงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างใดหรือ?”
หนิงเจียวเจียวชะงักไป แล้วเอามือมาปิดปากตัวเอง ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว
“ไม่มีอันใดๆ…”
แต่หลังจากที่นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจพูดขึ้นว่า
“เฮ้อ ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ก็แค่…ฉู่หลิวเยว่นาง…ไม่รู้ว่าเหตุใด ถึงได้ฆ่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นอยู่ตลอดเวลา มีหลายคนถูกนางบีบให้ออกจากอาณาจักรเทพเทียนลิ่ง ข้าเอง…ก็รู้สึกกลัวมากจริงๆ!”