ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 521 สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์
ตอนที่ 521 สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์ [รีไรท์]
เวลาค่อยผ่านไปอย่างช้าๆ
ภายในท้องพระโรง เงียบสงัด
ฉู่หลิวเยว่กำลังรวบรวมสมาธิและจ้องมองค่ายกลนั่นตาเขม็ง
พลังทั้งสองสายกำลังต่อสู้กันอย่างสุดชีวิต นางเริ่มจดจำการโคจรของพลังแห่งสวรรค์บนค่ายกลนั้นอย่างเงียบๆ แล้ว
แต่แรงกดดันของค่ายกลระดับเก้านั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ดังนั้นกระบวนการนี้จึงกินพลังของนางอย่างมาก
ไม่เพียงแต่จะกินพลังจิตวิญญาณของนางแล้ว ความเร็วของนางก็ลดลงเรื่อยๆ ด้วย
ดังนั้นฉู่หลิวเยว่จึงมองไป พร้อมเพิ่มพลังอย่างต่อเนื่องไปด้วย
โชคดีที่ภายในไข่มุกธาราได้เก็บกักพลังมากมายเอาไว้อยู่ ดังนั้นในตอนนี้นางจึงสามารถถ่ายทอดพลังออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะกระจายไปทั่วร่างกายของนาง
ตอนแรกเริ่มนางก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่หลังจากผ่านมาสักพักหนึ่งแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับมัน
อีกทั้งทั่วร่างกายและกระดูกของนางได้รับการขัดเขลามาหลายครั้ง ทำให้นางแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว!
แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังสัมผัสได้ ว่าพลังที่อยู่รอบๆ ตัวของนางนั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อินทรีสามตามองไปที่ฉู่หลิวเยว่ ในแววตายังมีประกายความคลุมเครืออยู่
วิธีการฝึกตนเช่นนี้ มีเงื่อนไขสำหรับผู้บำเพ็ญสูงมาก เดิมทีคนธรรมดาไม่มีทางทนได้อย่างแน่นอน
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่เพียงทนได้เท่านั้น แต่เริ่มผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ฝีมือของนางแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก!
มันเหลือบสายตากลับมามองหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
ในที่สุดตอนนี้มันก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ถึงได้เลือกนาง…
ฉู่หลิวเยว่รวบรวมสมาธิทั้งหมดวางไว้ที่ค่ายกล หลงลืมเวลาไปจนหมดสิ้น
อีกทั้งในสมองของนาง มีเพียงโครงสร้างรูปแบบของค่ายกลอย่างคร่าวๆ
…
ทางด้านฉู่หลิวเยว่ที่หลงลืมตัวเองไปหมดแล้ว แต่คนที่อยู่ด้านนอกหลุมยุบ ก็ยังคงดิ้นรนอย่างยากลำบาก
เมื่อเวลาผ่านไป เสียงเรียกของกระบี่หลงหยวนก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ปราณกระบี่และแรงกดดันก็แข็งแกร่งมากขึ้น!
พวกเขาออกจากจุดเดิมมาหลายสิบลี้แล้ว
อีกทั้งโดนคัดออกไปอีกสองคน!
เดิมทีพวกเขามีสิบคน ตอนนี้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
แต่กระบี่หลงหยวนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลือกเจ้านายคนใหม่เสียที
รอบที่ห้า รอบที่หก ก็ยังไม่มีใครถูกเลือก ตอนนี้เหลือเพียงสองรอบสุดท้ายเท่านั้น
หลายคนแสดงสีหน้าไม่แยแส แต่ความจริงแล้วพวกเขาก็แอบกังวลอยู่ในใจ
“ที่นี่ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่รู้ว่าเวลาด้านนอกผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว…”
หยางเซิ่นเอ๋อร์พูดพึมพำ
ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้พูดอันใด
เชียงหว่านโจวได้ยินดังนั้น เหมือนว่านึกอันใดขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาหลับตาลง จากนั้นก็สำรวจภายในร่างกายของตนเอง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ลืมตาขึ้นมา ภายในแววตาที่งดงาม มีประกายความประหลาดใจอยู่
เม็ดโอสถที่เขาเพิ่งกินไปก่อนหน้านี้ เหมือนว่าจะหมดฤทธิ์ไปแล้ว…
ไม่รู้ว่าเป็นเพียงสภาพภายในมิติและนอกมิติแตกต่างกัน หรือเป็นเพราะมันถึงเวลาที่จะต้องกินยาเม็ดต่อไปแล้ว
เขาหันไปมองที่หลุมยุบ
จากตรงนี้ เขาเห็นเพียงกระบี่หลงหยวนขนาดใหญ่เล่มนั้น และเปลวเพลิงสีทองที่พัดโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
เขายังไม่เห็นร่างของฉู่หลิวเยว่เช่นเดิม
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบโอสถเม็ดที่สองออกมาจากขวดหยก
…
จัตุรัสเสวียนจี
เวลาผ่านไปสองวันแล้ว รายชื่ออยู่บนกระดานเหลือเพียงเก้าคนเท่านั้น
ทุกคนคาดการณ์เอาไว้ว่า หากดูตามความเร็วขนาดนี้ อีกไม่กี่วัน การประลองครั้งนี้ก็จะจบลงแล้ว
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ วันที่สาม ไม่มีคนโดนคัดออกเลยแม้แต่คนเดียว
ผู้ชมที่คอยดูอยู่ก็เริ่มกระสับกระส่าย
ทุกคนเริ่มพูดขึ้นกันอย่างเสียงดังขึ้น
“นี่ก็วันที่สามเข้าไปแล้ว คนที่เหลืออีกเก้าคน เหตุใดยังไม่ออกมาเสียที? คงไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอกนะ?”
“นั่นมันอาณาจักรเทพเทียนลิ่งเชียว จะเกิดอันใดขึ้นได้ ไม่เห็นคนที่ถูกคัดออกมานั่นหรือ? พวกเขาล้วนแต่มีชีวิตรอดกันทั้งนั้น พวกเราไม่ต้องกังวลใจ ความสนุกทั้งหมดยังไม่จบ!”
“จะว่าไปแล้วก็จริง เรื่องที่สำนักใดจะแพ้จะชนะ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับเราเสียหน่อย แต่ว่าเมื่อพูดไปแล้ว อาจจะมีสมบัติมากมายซ่อนอยู่อาณาจักรเทพเทียนลิ่งนี้ก็ได้ แต่ดูจากพวกที่โดนคัดออกมาก่อนหน้านั้น ก็สภาพร่อแร่เต็มทน ไม่เห็นมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมบัติเลย พวกเจ้าว่า หรือในอาณาจักรเทพที่อันตรายนี้ ไม่มีสมบัติอันใดอยู่เลย?”
“นั่นคือสถานที่ของปฐมกษัตริย์นะ ได้ยินมาว่าจะมีพลังแห่งสวรรค์ด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มี แล้วอีกอย่าง โชคชะตาที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นจะได้มาอย่างง่ายๆ ได้อย่างใด? พูดมาถึงตรงนี้ อาจจะไม่มีใครได้ไปเลยก็ได้”
“ในเก้าคนนั้น ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนที่โชคดี… แต่ว่าฉู่หลิวเยว่คนนั้น…คาดไม่ถึงว่าจะยังอยู่ด้านใน เกินความคาดหมายของข้ามากๆ”
…
หอชุนเฟิง ชั้นสองภายในห้องรับรองส่วนตัว
ผู้หญิงสวมชุดขาวนางหนึ่งกำลังดีดผีผาอยู่
รูปร่างผอมเพรียว อ่อนแอ ไม่ต้องลม ใบหน้ายังมีผ้าปิดหน้าอยู่ เห็นเพียงแววตาฉ่ำน้ำอ่อนโยน นางเป็นคนงามที่หาตัวจับได้ยาก
ในมือประคองผีผาเอาไว้ เสียงที่ดังขึ้นมา ราวกับลูกปัดเม็ดน้อยใหญ่หล่นกระทบจานหยก
ด้านหลังของฉากบังลม มีเงาร่างของชายตัวสูงใหญ่นั่งอยู่
ทันใดนั้นเองผู้หญิงที่สวมชุดขาวก็หยุดมือลง
ภายในห้องปกคลุมด้วยความเงียบ
หลังจากนั้นไม่นาน ชายที่อยู่ด้านหลังฉากบังลมก็พูดขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า
“สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์ เหตุใดจู่ๆ ถึงหยุดเล่นล่ะ?”
หญิงชุดขาวลุกขึ้นยืน ก่อนจะทำความเคารพ
“วันนี้จิตใจของคุณชายเจี่ยนไม่ได้อยู่ที่นี่ ต่อให้หลิ่วเอ๋อร์เล่นมากเท่าใด ก็ไม่เข้าหูคุณชายหรอก ดังนั้นจึงช่างมันเถอะเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของนางหวานเสนาะหูอย่างมาก แต่เจี่ยนเฟิงฉือได้ยินคำพูดนั้น เหมือนแฝงด้วยจิตสังหาร
เขากระแอมไอขึ้น
“สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าก็แค่…”
“เจี่ยนเฟิงฉือ ข้าดีดผีผาให้ควายฟังไม่ได้!”
ทันใดนั้นหญิงชุดขาวก็พูดตัดบทเจี่ยนเฟิงฉือ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างมาก!
แต่เจี่ยนเฟิงฉือกลับพูดขึ้นมาอย่างสนใจ
“เช่นนั้นสุ่ยหลิ่วเอ๋อร์ก็ไปพักผ่อนเถอะ อย่าหักโหมเกินไป”
หญิงชุดขาวอุ้มผีผาแล้วเดินออกไป พร้อมแค่นหัวเราะเสียงเย็น
“เจี่ยนเฟิงฉือ ข้าดีดผีผาให้เจ้าฟังมานานขนาดนี้ แต่เรื่องที่ข้าขอร้อง กลับยังไม่มีเบาะแสหรือ?”
เจี่ยนเฟิงฉือเป็นนายน้อยอันธพาลที่โด่งดังในเมืองซีหลิง ทำตัวกำเริบเสิบสานมาโดยตลอด แต่เมื่อมาเจอกับแม่นางคนนี้ เหมือนว่าเขาจะก้มหน้าลงต่ำโดยไม่รู้ตัว
เขาขมวดคิ้วแน่น
“มีแล้วๆ! หากข้าหาอันใดไม่พบ คนอย่างข้าไม่กล้าเดินเข้าประตูหอชุนเฟิงนี้มาหรอก”
แววตาของแม่นางคนนั้นเปล่งประกาย
“เจ้าลองพูดมาก่อน…”
นางยังพูดไม่ทันจบ แต่ทันใดนั้นที่ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“เฟิงฉือๆ!”
เสียงของชายหนุ่มคนนั้นดังคุ้นหูอย่างมาก
ทั้งสองคน ที่อยู่ในห้องก็ชะงักไป
เจี่ยนเฟิงฉือพูดขึ้น “นั่นคืออวี่เหวินจิงหง”
หญิงสวมชุดขาวคนนั้นกัดฟันแล้วพูดขึ้นว่า
“ข้ารู้แล้ว มาได้เวลาจริงๆ นะ”
เมื่อพูดจบ นางก็รีบถอยกลับไปหลังฉากบังลมอย่างรวดเร็ว
ประตูใหญ่ก็ถูกคนเปิดขึ้นทันที
อวี่เหวินจิงหงพุ่งเข้ามาด้านในอย่างรีบร้อน
“เฟิงฉือ เจ้ารู้หรือไม่…”
เมื่อเห็นหญิงชุดขาวที่อยู่ในห้อง ทันใดนั้นเขาก็พูดติดอ่างขึ้นมา
“…แม่นางหลิ่วเอ๋อร์ คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย…”
สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์โค้งคำนับอีกฝ่าย
“เช่นนั้นหลิ่วเอ๋อร์ขอตัวลาก่อน”
หลังจากเดินออกไปไม่กี่ก้าว นางก็เดินมาหยุดที่ด้านข้างของอวี่เหวินจิงหง นางก็ทำความเคารพอีกรอบ
อวี่เหวินจิงหงพูดขึ้นมาพร้อมหูแดงก่ำ
“แม่นางหลิ่วเอ๋อร์ รักษาตัวด้วย”
“เจ้าเด็กนี่ เจ้ามาด้วยเหตุใด?” เจี่ยนเฟิงฉือเดินออกมาจากฉากบังลม ก่อนจะกอดอก แล้วมองเขาอย่างหมดความอดทน
อวี่เหวินจิงหงถึงได้นึกถึงจุดประสงค์ของตนเองออก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“เจ้ายังไม่รู้ใช่หรือไม่? ฉู่หลิวเยว่คนที่เจ้าพามาน่ะ ตอนนี้เป็นผู้เข้าแข่งขันแปดคนสุดท้ายในงานหมื่นทูร”