ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 537 เรียกหา
ตอนที่ 537 เรียกหา [รีไรท์]
นี่อวี่เหวินจิงหงกำลังเข้าใจอันใดผิดหรือเปล่า
“คือว่านะ คุณชายอวี่เหวิน…”
ฉู่หลิวเยว่เตรียมเอ่ยปากเพื่อไขความกระจ่าง แต่กลับมีเสียงเรียกจากด้านข้างดังขึ้นเสียก่อน
“คุณหนูฉู่”
ฉู่หลิวเยว่จึงหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็น ต้วนจืออวี่
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาของการแข่งขัน ต้วนจืออวี่ยังคงรอคอยนางอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ไม่ได้หนีห่างไปไหน
และหลังจากประกาศผล เขาก็มัวแต่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นาน จนมาหานางช้าไปเล็กน้อย
“ข้าน้อยจักพาท่านกลับจวนเอง”
อวี่เหวินจิงหงตกใจ
“ต้วนจืออวี่? เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”
ต้วนจืออวี่คือทหารคนสนิทของมู่ชิงเห่อ พวกเขาเคยพบกันหลายครั้ง จึงรู้จักกันเป็นธรรมดา
เขามารับฉู่หลิวเยว่อย่างนั้นหรือ?
แล้วกลับไปที่ใด?
ต้วนจืออวี่ตอบกลับเสียงเรียบ
“ข้ามารอคุณหนูฉู่”
ขณะพูดเขาก็เบนสายตาไปยังฉู่หลิวเยว่
“ยามนี้รองแม่ทัพกลับมาพักที่จวนแล้ว หากรู้ว่าท่านได้ที่หนึ่ง เขาคงจะมีความสุขมากเป็นแน่”
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับคิดว่ามู่ชิงเห่อคงไม่มาสนใจหรือมีความสุขกับอันใดเช่นนี้หรอก
เพราะเขาเป็นคนที่ชอบเก็บตัว จึงมักไม่ค่อยเสียเวลาหรือพลังงานไปกับบุคคล หรือธุระที่ไม่ใช่กงการของตน
และถ้าหากเขาคิดจะสนใจขึ้นมา นั่นก็ควรจะเป็นเพราะว่า ผลการแข่งขันนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาบางอย่างที่ลึกซึ้งเสียมากกว่า
แม้ว่านางจะยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด แต่มู่ชิงเห่อนั้นรู้ตื้นลึกหนาบางของวงในดี
ทว่านางไม่สามารถตอบออกไปแบบนั้นได้ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางว่า
“โชคดีที่ข้าไม่ได้ทำให้รองแม่ทัพผิดหวัง”
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็หันกลับไปบอกลาพวกของเจี่ยนเฟิงฉือ
แต่ในขณะที่กำลังหมุนและจะก้าวออกไป อวี่เหวินจิงหงกลับตะโกนรั้งนางไว้
“ประเดี๋ยวก่อน!”
ฉู่หลิวเยว่หมุนตัวกลับมา
“คุณชายอวี่เหวิน ยังมีธุระอันใดอีกหรือ?”
อวี่เหวินจิงหงมองไปยังใบหน้าสวยที่เรียบเฉยของนางด้วยความสงสัย
“เจ้า เจ้าจะกลับไปยังจวนมู่กับต้วนจืออวี่หรือ? ชะ เช่นนั้น เจ้ากับเฟิงฉือก็ไม่ได้…อ๊าก!”
อวี่เหวินจิงหงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด พลันตวัดตามองเจี่ยนเฟิงฉือด้วยความโกรธ
เขากำลังช่วยพูดให้แท้ๆ! ไฉนเพื่อนเกลอถึงได้ลงไม้ลงมือกับเขาเล่า!
เจี่ยนเฟิงฉือเหนื่อยหน่ายเสียจนไม่อยากมองใบหน้าโง่ๆ ของอีกฝ่าย แถมยังรู้สึกเสียใจที่ตอนนั้นเขาใจอ่อน ยอมให้อีกฝ่ายติดสอยห้อยตามมาด้วย
“ไม่มีอันใด พวกเจ้าไปเถอะ!”
เจี่ยนเฟิงฉือเอ่ยพลางหมุนตัวเตรียมเดินออกไปเช่นกัน
อวี่เหวินจิงหงจึงรีบสาวเท้าตามไปติดๆ
“ทำอันใดของเจ้าเนี่ย? แล้วเหตุใดฉู่หลิวเยว่จึงไปกับต้วนจืออวี่กัน? หรือนางจะเป็นคนของมู่ชิงเห่อ! แต่นางปล้นเจ้าต่อหน้าคนทั้งแคว้นเชียวนะ?”
เจี่ยนเฟิงฉือเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
“อย่างแรก นางไม่ใช่คนของข้า และอย่างที่สอง ไม่ว่านางคิดจะไปที่ใด มันก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
อวี่เหวินจิงหงพูดราวเจ็บใจ
“แต่ไหนแต่ไรมู่ชิงเห่อไม่เคยเคารพเจ้า และตอนนี้ก็ยังส่งคนมาแกล้งเจ้าอีก เจ้าไม่คิดจะเอาคืนบ้างหรือไร?”
เจี่ยนเฟิงฉือเหลือบมองอีกฝ่ายนิ่งๆ
“อะ อันใด?” อวี่เหวินจิงหงเริ่มหวาดระแวง
จากนั้นเจี่ยนเฟิงฉือก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และเดินไปข้างหน้า
เพราะอันใดเขาถึงคิดมาเป็นเพื่อนกับเจ้าโง่อวี่เหวินจิงหงนี่นะ?
อวี่เหวินจิงหงมองแผ่นหลังของสองร่างที่เพิ่งจากไปอย่างลังเล ทว่าสุดท้ายก็เลือกเดิมตามเจี่ยนเฟิงฉือไป
“ไอ้หยา! เมื่อครู่นี้มันอันใดกัน! เจ้าช่วยพูดให้ข้าเข้าใจหน่อยได้หรือไม่!”
…
ความจริงแล้ว ทั้งฉู่หลิวเยว่และเจี่ยนเฟิงฉือนั้นไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลยสักนิด
แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าทุกคนที่เห็นฉากนี้ ล้วนเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว
เจี่ยนเฟิงฉือกับมู่ชิงเห่อทะเลาะกันอีกแล้วหรือ!?
และสาเหตุก็เพราะสตรีนางหนึ่ง!?
จากนั้นเมืองซีหลิงก็กลับมาอึกทึกครึกโครมกันอีกครั้ง!
…
ส่วนฉู่หลิวเยว่ก็หารู้ไม่ ว่ากำลังจะเกิดข่าวลืออันใดขึ้นในอนาคตบ้าง
นางพาเชียงหว่านโจวกลับไปที่จวนมู่พร้อมๆ ต้วนจืออวี่ ทว่าตลอดทางนั้นกลับเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องอื่นอยู่ในใจ
นางไม่สามารถพักอยู่ที่จวนมู่ได้อีกต่อไป
การอยู่ที่จวนมู่ก็มีข้อดี นั่นก็คือความปลอดภัยที่แน่นหนา
และในเมืองซีหลิงแห่งนี้ ก็แทบไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้าไปในจวนมู่
แต่การอยู่ในจวนมู่ ทำให้นางดำเนินการได้ไม่ค่อยสะดวกนัก
ซึ่งหากแผนของนางเป็นเพียงการฝึกตน และการปรุงโอสถแบบธรรมดาทั่วไป คงเป็นเรื่องที่ยังพอเข้าใจได้
แต่หลังจากนั้น นางยังมีหลายอย่างที่ต้องทำ ถ้ายังอยู่ในจวนมู่ต่อไป ก็จะมีแต่รู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
นางต้องหาที่พักอื่น
และโชคดีที่ตอนนี้นางมีเงินติดตัวอยู่มาก ดังนั้นจึงมีสิทธิ์เลือกออกไปเช่าห้องว่างอยู่โดยไม่ขัดสน
…
พระราชวังเทียนลิ่ง
ณ ตำหนักชิงเฟิง
ที่นี่คือที่พำนักของซั่งกวนโหยว จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของราชวงศ์เทียนลิ่ง
ตั้งแต่ตอนที่เขาล้มป่วยหนักเมื่อหนึ่งปีก่อน เขาก็ถูกพาตัวมารักษาอยู่ที่นี่
ซึ่งบริเวณโดยรอบของตำหนักชิงเฟิงนั้น ได้รับการคุ้มกันอย่างใกล้ชิด
และตอนนี้ก็มีเพียงซั่งกวนหว่าน องค์หญิงลำดับที่สาม ผู้กุมอำนาจส่วนใหญ่ในวังเท่านั้น ที่สามารถเข้าและออกจากสถานที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระ
ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ หรือแม้แต่ราชวงศ์ด้วยกันเองที่ต้องการเข้ามาที่นี่ ก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเสียก่อน
กล่าวอีกนัยคือ จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากซั่งกวนหว่าน จึงจะเข้าไปได้
ขณะที่ราตรีกำลังคืบคลานเข้ามา ก็มีร่างสูงของใครบางคนเดินออกไปจากตำหนักชิงเฟิง
แสงไฟจากตะเกียงสะท้อนลงบนใบหน้าของเขา จนเห็นใบหน้าที่สง่างามและหล่อเหลาได้อย่างชัดเจน
ซึ่งคนผู้นั้นก็คือ เจียงอวี่เฉิง
ยามนี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว และบางทีอาจเป็นเพราะลมหนาวในตอนกลางคืน ใบหน้าของเขาจึงดูเย็นชาเล็กน้อย
ซุนฉีที่รออยู่นอกตำหนักรีบทำความเคารพแก่เขาอย่างรวดเร็ว
“องค์ชายใหญ่ขอรับ”
เมื่อเจียงอวี่เฉิงเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าแปลกๆ ก็รีบเอ่ยถามทันที
“มีเรื่องอันใด?”
ซุนฉีผงะไปชั่วครู่ พลางเอ่ยเสียงเบา
“องค์ชายใหญ่ งานหมื่นทูรจบลงแล้วขอรับ”
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วมุ่น
“รวดเร็วอันใดเพียงนั้น?”
เดิมทีเขาคำนวณไว้ว่าต้องใช้เวลาถึงสามวัน
วันนี้เขาจึงมาเยี่ยมองค์จักรพรรดิ และใช้เวลาอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นทันทีที่เขาออกมา
ซุนฉีเริ่มขยายความ
“ใช่แล้วขอรับ ในช่วงสุดท้าย หลังจากผู้เข้าประลองถูกคัดออกมาสองสามคน ไม่นานทางนั้นก็ตัดสินว่าได้ผู้ชนะแล้วขอรับ”
เจียงอวี่เฉิงถามต่อ
“แล้วผลเป็นอย่างใด?”
ซุนฉีลังเลเล็กน้อย
และนั่นทำให้คิ้วของเจียงอวี่เฉิงขมวดพันกันแน่นกว่าเดิม
ซุนฉีก้มลง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว
“ฉู่หลิวเยว่ได้ที่หนึ่งขอรับ”
เจียงอวี่เฉิงถึงกับตกตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ
“เป็นไปได้อย่างใด?”
ทันทีที่พูดออกมา เขารู้ว่าคำพูดของเขานั้นไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
เพราะซุนฉีไม่เคยโกหกเขา
ดังนั้น…ก็หมายความว่าฉู่หลิวเยว่เอาชนะคู่แข่งทั้งหมดและคว้าอันดับหนึ่งไปได้อย่างนั้นหรือ!?
“…แสดงว่าชีพจรดั้งเดิมของนาง…”
เจียงอวี่เฉิงบ่นพึมพำเสียงต่ำ พลันกลืนคำพูดที่เหลือลงไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าความสงสัยที่อยู่ในหัวใจเขากลับยิ่งหนักอึ้ง
มันไม่ควรเป็นเช่นนี้!
ทักษะของนางนั้นไม่เลว ทว่าชีพจรตี้จิงของนางนั้นอยู่แค่ระดับกลาง ซึ่งถือว่าแย่ที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด
คนอื่นอาจมีสิทธิ์ได้อันดับหนึ่ง แต่สำหรับนางแล้วมันเป็นไปไม่ได้!
หรือว่านางอาจจะ…
“องค์หญิงสามรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง?” เขาถามต่อ
ซุนฉีจึงรีบรายงาน
“คงจะรู้แล้วขอรับ เพราะการแข่งขันจบลงตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว”
เขารอเจียงอวี่เฉิงอยู่ที่นี่นานมาก เป็นไปไม่ได้ที่องค์หญิงสามจะยังไม่รู้
เจียงอวี่เฉิงคิดตาม และมันก็น่าจะจริง
ซั่งกวนหว่านดูกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก แม้ว่านางจะไม่ได้ออกจากวังและไปดูด้วยตัวเอง แต่นางก็ส่งคนไปที่นั่นเป็นการส่วนตัวแล้ว
ฉะนั้นนางย่อมทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างในจัตุรัสเสวียนจี
เจียงอวี่เฉิงจัดเสื้อผ้าของเขาให้เข้าที่ ก่อนจะเดินไปข้างหน้า
พร้อมกับซุนฉีที่เดินตามไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานร่างเงาของคนทั้งสองก็หายไปจากตำหนักชิงเฟิง
ทว่าเดินออกไปไม่ไกลนัก จู่ๆ ก็มีสาวใช้ในวังเดินเข้ามาหาเขา
และเมื่อเห็นสาวใช้ในวังผู้นั้น แววตาของเจียงอวี่เฉิงก็มืดลงทันควัน
สาวใช้ในวังเดินตรงไปข้างหน้าเจียงอวี่เฉิง และคุกเข่าลง
“องค์หญิงสามทรงเรียกหาเพคะ”
ถึงจะเป็นแค่ “การเรียกหา” แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้
เจียงอวี่เฉิงตอบรับ
“นำทางไป”
“รับทราบ เชิญเสด็จเพคะ…”