ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 542 ส่งกระแสจิต
ตอนที่ 542 ส่งกระแสจิต [รีไรท์]
ผู้เข้าร่วมทั้งหมดต่างตกตะลึง
เนื่องจากสำนักกระบี่เมฆาม่วงนั้นมีสถานะที่สูงศักดิ์มาก เดิมทีพวกเขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงจะส่งผู้อาวุโสมา แต่ที่ไหนได้กลับเป็นเจ้าสำนักมาเอง?
ชายวัยกลางคนร่างกำยำ เดินฝ่าเข้าไปท่ามกลางความโกลาหล
เขาคือ ซ่งหลวน เจ้าสำนักกระบี่เมฆาม่วง!
และคล้อยหลังเขา เหล่าเจ้าสำนักสำคัญคนอื่นๆ ก็ปรากฏตัวแก่สายตาของทุกคนเช่นกัน!
ทั้ง เจี่ยนชูเย่ แห่งภูเขาเขี้ยวมังกร!
เฉิงลี่เฟิง แห่งสำนักหลิงอวิ๋นจง!
และ อวี้ฉือซง ปรมาจารย์แห่งสำนักชงซูเก๋อ!
บุคคลชั้นนำของทั้งสี่สำนักต่างมารวมตัวกันที่นี่!
และหลังจากที่ผู้นำของสี่สำนักหลักเดินเข้าไปแล้ว เหล่าผู้นำของสำนักน้อยใหญ่อื่นๆ ที่เหลือก็ปรากฏตัวขึ้นตามมา!
ทั่วทั้งลานกว้างตกอยู่ในความเงียบ
ผู้เข้าร่วมทุกคนแอบมองหน้ากันเงียบๆ เพราะพวกเขาคิดไม่ถึงว่าการนัดหมายในวันนี้จะกลายเป็นศึกใหญ่เพียงนี้!
มีหลายคนถึงกับประหม่าทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
เพราะคนที่มาล้วนแล้วแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีสมยานามใหญ่โตกันทั้งนั้น!
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานะหรือความแข็งแกร่งเฉพาะบุคคล คนเหล่านั้นล้วนเป็นทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดในซีหลิง หรือแม้กระทั่งทรงพลังกว่าราชวงศ์เทียนลิ่งเสียอีก!
และโอกาสที่จะได้เจอพวกเขาใกล้ๆ เช่นนี้ นั้นหายากมาก ขนาดผู้เข้าร่วมงานยังคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ตำนานเดินดินต่อหน้าต่อตาเช่นนี้!
มีเก้าอี้บางส่วนถูกจัดเตรียมไว้แล้วในลานกว้างแล้ว และถูกแบ่งออกเป็นด้านซ้ายด้านขวาข้างละสี่ตัว และด้านหน้าอีกสองตัว
เหล่าเจ้าสำนักแปดคนที่เดินเข้ามา นั่งลงทีละคน โดยอยู่ห่างจากฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ พอสมควร
ก่อนที่ฉู่หลิวเยว่จะเบนสายตาไปมองเก้าอี้อีกสองตัวที่เหลือด้านหน้า
คนที่จะนั่งตรงนั้นได้…
“องค์หญิงลำดับสามเสด็จ! ถวายบังคม!”
ทว่าขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังลั่น!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่แทบหยุดเต้น พลันหันกลับไปมอง!
ก่อนจะเห็นแม่นางคนหนึ่งที่สวมชุดสำหรับนางในอันวิจิตรตระการตาเดินผ่านมา
นางเกล้าผมขึ้นเป็นมวยสูง และปักปิ่นปักผมทองคำรูปหงษ์ที่กำลังแผ่สยายปีกและหางที่งดงามของมันไว้บนศีรษะ ซึ่งเมื่อนางก้าวเดิน ระบายที่เปรียบเสมือนหางของหงส์ ก็สั่นไหวเป็นระลอกคลื่นเบาๆ
นางมีรอยยิ้มที่บางเบาและสง่างามประดับบนใบหน้า และอาภรณ์ของนางก็ช่วยขับรัศมีความเป็นผู้ดีให้ดูเปล่งปลั่งขึ้นไปอีก
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองใบหน้าที่คุ้นเคยนั่น พร้อมนิ้วมือที่กำลังสั่นระริก
ซั่งกวนหว่าน!
หนึ่งปีผ่านไป แต่นางยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และดูปกติราวกับว่าเรื่องเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น
ไม่สิ นางเองก็เปลี่ยนไป
ฉู่หลิวเยว่กวาดตามองซั่งกวนหว่านตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด
ในอดีตซั่งกวนหว่านมีชีวิตวัยเด็กในวังที่ยากลำบาก เนื่องจากแม่ผู้ให้กำเนิดของนางมีสถานะต่ำต้อย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงยิ้มสู้ชีวิตอยู่เสมอ
อ่อนแอดั่งดอกหญ้าที่โบกสะบัดในสายลม
และใครก็ตามที่เห็นนางน้ำตาคลอเบ้า ก็จะรู้สึกสงสารนางเสมอ
ถึงขั้นที่ว่าแม้นางจะทำผิด ก็ยังถูกอนุโลมและแทบไม่ถูกลงโทษใดๆ
ฉู่หลิวเยว่ได้แต่เยาะเย้ยอยู่ในใจ
เพราะนอกจากคนเหล่านั้น แม้กระทั่งตนในอดีตก็ยังเคยหลงกลนางมาแล้ว
ในเวลานั้น ฉู่หลิวเยว่เกิดมาพร้อมกับชีพจรเทียนจิง และมีทุกสิ่งที่คนอื่นๆ ใฝ่ฝัน ตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก
ตอนแรกนางไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะร้ายกาจแต่อย่างใด แต่ต่อมาซั่งกวนหว่านกลับมักจะแสดงความอิจฉาให้นางได้เห็น แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้ว่าอันใด และจากนั้น นางก็ค่อยๆ คิดว่าซั่งกวนหว่านน่าสงสารมาก
ทว่าความเห็นอกเห็นใจและความสงสารที่ไร้ค่านั้น กลับทำให้นางจำต้องจบชีวิตตัวเองเช่นนี้!
ซึ่งเมื่อมองดูซั่งกวนหว่านในปัจจุบัน ก็จะเห็นคิ้วของนางที่ดูเย่อหยิ่ง และจิตวิญญาณอันสูงส่ง พร้อมดวงตาที่ถูกแทนที่ด้วยความโอหังและความชั่วร้ายของผู้ที่ถือตนกุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ
ไอ้ภาพลักษณ์เด็กน่าสงสารเมื่อก่อนมันหายไปไหนหมดแล้ว?
การรวบเอาอำนาจไปกุมไว้แต่ผู้เดียวมานานกว่าหนึ่งปี คงจะสบายและมีความสุขมากเลยสินะ นางถึงได้กลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้?
และที่ด้านหลัง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามประกบนางไป
เจียงอวี่เฉิงนั่นเอง!
เขาสวมชุดสีคราม โดยมีเข็มขัดหยกสีขาวคาดรอบเอวสอบไว้ เสริมให้ร่างของเขาดูสูงโปร่งและสง่ามากขึ้น
และถึงเขาจะไม่ได้ใส่เครื่องประดับอื่นเพิ่มเติม แต่แค่มองก็สัมผัสได้ถึงความหรูหรา ทว่าเรียบง่ายนั่นแล้ว
ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็น ย่อมเดาได้ว่าคนผู้นี้มีสถานะที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
วันนี้เขาไม่ได้สวมหน้ากากที่เหมือนเป็นเอกลักษณ์ประจำมาด้วย
ทุกสายตาจึงสามารถมองเห็นคิ้วเรียวคมได้รูปและดวงตาเป็นประกายของเขาได้อย่างชัดเจน
และในเมื่อถูกขนานนามให้เป็นหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของซีหลิงขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาต้องมาจากตระกูลที่ร่ำรวย
และแตกต่างจากเจี่ยนเฟิงฉือที่ปากหวานแพรวพราวไปทั่ว เพราะเจียงอวี่เฉิงนั้นมีดวงตาที่น่าลุ่มหลงมากกว่า
เพราะเวลาที่เขาจ้องมองใครคนหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายน่ารัก คู่นั้นจะดูน่าเอ็นดู เสียจนใครต่อใครเข้าใจผิดว่าเขานั้นมีนิสัยอ่อนโยนตามไปด้วย
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วดวงตาคู่นั้นมีไว้ใช้เพียงหลอกและผลักนางสู่ก้นเหวต่างหาก!
เมื่อได้มามองเขาอีกทีในวันนี้ นางล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าภายใต้รัศมีความอ่อนโยนเหล่านั้น เหตุใดเขาจักเย็นชาและเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้?
ตอนนั้นนางลุ่มหลงในดวงตาคู่นี้มาก ถึงได้ถูกสองคนนั้นรวมหัวกันกดขี่ข่มเหง จนต้องตกระกำลำบากแบบนี้!
ฉู่หลิวเยว่กำมือแน่น จนนิ้วมือซีดเซียว
นางหลับตาแน่น พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ
ก่อนที่ภาพใบหน้าหล่อเหลาเสน่ห์ล้นของใครบางคนจะผุดขึ้นมาในหัว
ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะนั่นคือภาพของ หรงซิว
และไม่รู้เพราะอันใด แต่จู่ๆ ความโกรธแค้นในใจของนางก็ค่อยๆ ลดลง
ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคอยปลอบโยนนางอย่างอ่อนโยน
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้น พร้อมความคิดถึงก็แวบเข้ามาในหัวใจของนาง
นางถึงได้รู้ตัวว่า ตอนนี้นางคิดถึงหรงซิวเพียงใด
ถ้าเขา…มาอยู่ที่นี่ได้ก็คงดี
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ ก่อนจะเงยหน้ามองเจียงอวี่เฉิงพักหนึ่ง
เมื่อได้มาเห็นใบหน้านี้อีกครั้ง นางกลับรู้สึกเฉยเมย ไม่ได้หวั่นไหวเฉกเช่นเมื่อก่อนแล้ว
จมูกไม่ได้เป็นสันสวย เบ้าตาไม่ลึกพอ และรูปปากขี้เหร่ๆ นั่น
ยิ่งมองก็ยิ่งหัวร้อนว่าตนไปหลงคนแบบนี้เข้าได้อย่างใด
ครั้งแรกที่ฉู่หลิวเยว่เจอหรงซิว ก็เปรียบให้อีกฝ่ายนั้นเป็นดั่งเทพชั้นสูงที่มนุษย์อย่างนางมิอาจเอื้อมถึง
และตอนนี้ความคิดนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เมื่อนางได้มาเจอเจียงอวี่เฉิงอีกครั้ง
ก้อนเมฆและขี้โคลนต่างกันอย่างใด ตอนนี้นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว
และเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็อารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด
เรื่องอื่นน่ะไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่นางชนะซั่งกวนหว่านแล้ว
นั่นก็คือ หรงซิวผู้หล่อเหลาอย่างใดล่ะ!
…
ไกลออกไปหลายพันลี้
ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ พร้อมเกลียวคลื่นน้ำที่ไหลวนอยู่ด้านล่าง มีเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ
พลังดั้งเดิมที่เข้มข้นได้รวมตัวเป็นหมอกสีขาวซึ่งลอยไปทุกทิศทุกทาง
ร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินอยู่บนเกลียวคลื่น
และทันใดนั้นเขาก็หยุดเดิน และวางมือลงบนหัวใจของตนเบาๆ
“องค์ชาย เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ?” เยี่ยนชิงที่อยู่ด้านหลังเอ่ยถาม
หรงซิวหลับตา ขนตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากบางๆ คู่นั้นก็ยกยิ้มพอใจ
“สัมผัสจากกระแสจิต ในที่สุด เจ้าก็คิดถึงข้าแล้วสินะ”