ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 543 คนไหน
ตอนที่ 543 คนไหน [รีไรท์]
แต่ทางฝั่งฉู่หลิวเยว่นั้นไม่รู้ว่าผู้ชายของตนกำลังคิดอันใดอยู่
นางเคยจินตนาการหลายครั้งต่อหลายครั้งว่า เมื่อใดที่นางเห็นคนสองคนนี้อีกครั้ง เธอจะใช้ดาบพันเล่มฟันพวกเขาให้สิ้นชีพแน่นอน เพื่อขจัดความเกลียดชังที่ฝังอยู่ในใจออกให้หมด
ทว่าตอนนี้ เมื่อเหตุการณ์ที่เฝ้าฝันนั้นเกิดขึ้นจริง นางกลับพบว่ามีบางอย่างแตกต่างออกไป
ทั้งๆ ที่ความเกลียดชังยังมีเท่าเดิม ยังโกรธเท่าเดิม และความเจ็บปวดจากการถูกหักหลังก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจไม่อาจลืมเลือน
แต่ดูเหมือนว่าหัวใจของนางจะมีเกราะชั้นหนา ที่คอยคุ้มกันและปกป้องความรู้สึกของนางไว้อย่างดี
นั่นคือเกราะกำบังที่หรงซิวเป็นคนมอบให้นาง
ส่งผลให้ความโกรธที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจนางนั้นค่อยๆ จางหายไป
และนางรู้ดีว่า ไม่ว่าโลกจะแตกสลายหรือเป็นตายร้ายดีอย่างใด ก็ยังมีอยู่หนึ่งคนที่จะมอบความรัก ความเชื่อใจและความอ่อนโยนให้นางเสมอ
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก นับตั้งแต่เกิดใหม่ นางไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้เลย
ซึ่งขณะเดียวกันนั้น จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจนาง
หากนางแก้ไขความคับข้องใจเหล่านี้ได้แล้ว นางจะต้องบอกหรงซิวด้วยตัวเองว่า นางคิดถึงเขาและ…นางรักเขาแค่ไหน
เชียงหว่านโจวยืนเงียบๆ อยู่ข้างกายฉู่หลิวเยว่
พร้อมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปๆ มาๆ ของฉู่หลิวเยว่ และในที่สุดมันก็กลับมาสงบ
และ…ดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
ถึงเขาจะไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ แต่เขาแน่ใจว่ามีแน่นอน
แถมยังเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีด้วย
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเสมอว่า หลิวเยว่นั้นเหมือนคนที่มีเรื่องให้ขบคิดอยู่ในใจเสมอ ขนาดตอนหัวเราะ เขายังสัมผัสได้ว่าเสียงหัวเราะของนางนั้นค่อนข้างมัวหมอง
ทว่าตอนนี้…มันเปลี่ยนไปแล้ว
…
ซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิง นั่งลงบนเก้าอี้สองตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ตามลำดับ
แม้พวกเขาจะยังไม่ได้จัดงานอภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการ แต่ทั้งสองก็ได้ตกลงกันเรื่องวันแต่งงานแล้ว และพวกเขากำลังคุยกันเรื่องวันแต่งงานเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งการเตรียมการได้เริ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นในสายตาของทุกคน ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง จึงไม่ต่างไปจากคู่สามีภรรยาเสียเท่าไร
และท้ายที่สุด เจียงอวี่เฉิงก็ยังช่วยจัดการเรื่องงานราษฎร์ให้นาง และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น จนพวกเขาได้ตกลงเตรียมจัดงานอภิเษกสมรสครั้งใหญ่ขึ้นมา
เจ้าของเก้าอี้ทั้งแปดตัวเตรียมลุกขึ้นถวายบังคม แต่ก็โดนซั่งกวนหว่านห้ามไว้เสียก่อน
ทั้งแปดคนนี้มีสถานะที่โดดเด่นมาก แม้ว่าตอนนี้นางจะถือเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุด แต่นางยังคงสุภาพและระมัดระวังเมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้
เจ้าสำนักกระบี่เมฆาม่วงอย่าง ซ่งหลวน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ซงเหล่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกศิษย์สำนักเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เจ้ายังสั่งสอนศิษย์ของตัวเองได้ดีเหมือนเดิม!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนก็เงียบเสียงลงเรื่อยๆ และมองหน้ากัน
ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อครู่ จะถูกคนที่มีฐานะสูงส่งผู้นี้เห็นเข้าเสียแล้ว
เด็กสาวหน้ากลมเริ่มประหม่าทันที
เพราะไม่แน่ว่าเจ้าสำนักของนาง อาจจะโดนคนที่นี่เล่นงาน เนื่องจากการกระทำของนางก็ได้…
ใบหน้าของอวี้ฉือซงซีดเซียวกว่าครั้งแรกที่เดินเข้ามาเสียอีก แต่หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งหลวน แววตาของเขาก็หาได้ตื่นตระหนกไม่
“ศิษย์ของชงซูเก๋อนั้นแข็งแกร่งโดยธรรมชาติ”
พลันผู้นำสำนักพันธมิตรเก้าดาราอย่าง จางหัว ก็ว่าเสียงเยาะเย้ย
“ซงเหล่า ชงซูเก๋อไม่เหลือผู้ใดอีกแล้วหรือ ถึงส่งนังเด็กตัวกระจ้อยนี่มา แม้แต่สู้เพื่อสำนักตัวเองยังทำไม่ได้ อีกทั้งยังต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีก…เช่นนี้แล้วยังหวังเรื่องตำแหน่งอยู่อีกหรือ ท่านไม่คิดว่ามันจะเกินไปหน่อยหรือไร?”
อวี้ฉือซงเหลือบมองเขาเล็กน้อย
“ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่รู้จักควบคุมพฤติกรรมต่ำๆ ของตัวเอง!”
จางหัวถึงกับสะอึก
สถานะของสำนักพันธมิตรเก้าดาราของเขานั้นต่ำกว่าชงซูเก๋อ และถึงแม้ตอนนี้ชงซูเก๋อกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ แต่สี่สำนักหลักก็ยังไม่ได้ตัดชื่อพวกเขาออก นั่นทำให้ชงซูเก๋อยังคงผยองในศักดิ์ศรีได้
เขาหัวเราะด้วยความโกรธและหมุนแหวนในมือไปมา
“ซงเหล่าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ศิษย์ของข้าเริ่มก่อนก็จริง แต่…ไม่ทราบว่าซงเหล่าเคยได้ยินคำว่า “หากไม่ล้ม ก็คงไม่โดนเหยียบ!” หรือไม่?”
บรรยากาศทั่วทั้งลานกว้างแทบหยุดนิ่ง
พูดแบบนี้ก็ไม่ต่างกับการชี้หน้าอวี้ฉือซงเลยไม่ใช่หรือ?
นี่ไม่ใช่การยั่วยุอีกต่อไป แต่เป็นการยั่วโมโหเขาชัดๆ!
“ถึงขั้นต้องใช้เด็กแรกเกิดมาประลองเพียงนี้…หรือว่าชงซูเก๋อจะถึงกาลอวสานแล้ว?”
จางหัวกล่าวด้วยใบหน้าที่เยาะเย้ย
ฉู่หลิวเยว่เริ่มขมวดคิ้วทีละนิด
ในอดีตจางหัวนั้นใส่ใจและปฏิบัติต่ออวี้ฉือซงอย่างดี
เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อการขอยาอายุวัฒนะ จางหัวจึงได้ไปที่สำนักชงซูเก๋อด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากตอนนั้นอวี้ฉือซงยังอยู่ในช่วงการฝึกตน และไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน ดังนั้นเขาจึงยอมอดทนรออยู่ข้างนอกสำนักเป็นเวลาครึ่งเดือน
และท้ายที่สุด หลังจากที่อวี้ฉือซงฝึกตนเสร็จและก้าวเท้าออกมาด้านนอก เขาก็เห็นจางหัวที่นั่งรออยู่ตรงนั้น ซึ่งตอนนั้นเอง เขาถึงได้รู้ว่าจางหัวนั่งรออยู่ที่นี่มาตลอด
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่นั้นมา อวี้ฉือซงก็ได้ปฏิบัติต่อจางหัวอย่างดี และแทบจะฝากตัวเป็นรุ่นน้องของอีกคนแล้ว
นับวันความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรเก้าดาราและชงซูเก๋อนั้นยิ่งกลมเกลียวแน่นแฟ้น
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…วันหนึ่งชงซูเก๋อจะประสบกับมหัตภัยครั้งใหญ่ จนพลังปราณตั้งต้นได้รับความเสียหายอย่างมาก และกลุ่มแรกที่รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ พันธมิตรเก้าดารา
อวี้ฉือซงยังคงนิ่งเฉย
“คนดีผีคุ้ม คนร้ายตายขุม การที่ไม่มีผู้ใดยินยอมช่วยพันธมิตรเก้าดาราของพวกเจ้า แล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้า?”
แม้ว่าครั้งนี้จะแตกต่างไปจากในอดีต ทว่าตราบใดที่เขายังคงเป็นผู้นำของชงซูเก๋อ เขาจะไม่มีวันปล่อยให้คนอื่นกลั่นแกล้งสาวกของพวกเขาเด็ดขาด!
“นี่เจ้า…”
จางหัวขุ่นเคืองอย่างยิ่ง
แต่อวี้ฉือซงกลับเลือกที่จะหันไปมองฉู่หลิวเยว่แทน
ระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นค่อนข้างไกล และฉู่หลิวเยว่เองก็ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน จึงยากต่อการมองหา
ทว่าอวี้ฉือซงกลับหานางเจอในพริบตาเดียว
อวี้ฉือซงตกตะลึงไปชั่วขณะ
บะ…ใบหน้าของเด็กสาวผู้นี้ ช่างดูคุ้นเคยราวกับเคยพบเห็นมาก่อน?
ฉู่หลิวเยว่สบตาเขากลับ และพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย
พลันนัยน์ตาของอวี้ฉือซงก็ทอแสงวาววับ…
ต้องใช่แน่ๆ! ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นนางในหอร้อยโอสถ!
แต่ในตอนนั้นเขากำลังจดจ่ออยู่กับการใช้สมาธิ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวมากนัก
แต่เนื่องจากผู้หญิงคนนั้นดูเป็นคนใจกว้างและไม่ธรรมดา เขาจึงให้ความสนใจมากขึ้น
โดยไม่คิดว่าวันนี้จะได้กลับมาเจอนางอีก และยังเป็นคนที่ช่วยเหลือศิษย์ของเขาด้วย
ในปัจจุบัน สถานภาพของชงซูเก๋อกำลังตกอยู่ในอันตราย ผู้คนในเมืองซีหลิงต่างก็กลัวและพยายามหลีกเลี่ยง และไม่มีใครเต็มใจที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาเลย
ซึ่งฉู่หลิวเยว่ผู้นี้…ก็น่าจะรู้สถานการณ์เหล่านี้ดีมิใช่หรือ
แต่นางก็ยังยื่นมือเข้าช่วย…ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสับสนอย่างมาก
ส่วนซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงก็ไม่ได้เข้ามารวมอยู่กับคนเหล่านี้ตั้งแต่แรก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นฉากการโต้เถียงระหว่างคนสองกลุ่มนี้
แต่ก่อนที่จะมา บริวารของนางได้แจ้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ที่นี่แล้ว
ฉะนั้นตอนนี้ซั่งกวนหว่านจึงดูสงบนิ่ง แต่ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นางกวาดตามองไปยังบริเวณตรงกลางของฝูงชน พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา
“ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาที่นี่ในวันนี้ ข้าดีใจมากๆ เลย เวลาและพลังของพวกเจ้ามีค่าอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจะไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป เช่นนั้นมาเริ่มกันเลย ดีหรือไม่?”
คำพูดนี้ถือว่าเป็นประกาศิตอย่างหนึ่ง ที่หลายๆ คนพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นซั่งกวนหว่านก็หันไปพยักหน้าให้ฉานอี้ที่ยืนอยู่ข้างนาง
ฉานอี้ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ไหล่ของนางเหยียดตรงและมือของนางก็ประสานกันไว้ที่หน้าท้องส่วนล่าง
แม้นางจะสวมชุดสาวใช้ในวัง แต่ก็ดูสง่างามมาก
ผู้เข้าร่วมทุกคนมองไปยังรัศมีของนาง และเงียบเสียงลง
เธอมองไปรอบๆ และพูดเสียงดังฟังชัดว่า
“สิบอันดับแรกของงานหมื่นทูร โปรดก้าวมาด้านหน้า”
ผู้เข้าแข่งขันดังกล่าวเดินออกจากฝูงชนไปทีละคน พลันหยุดยืนตรงกลาง และเข้าแถวทีละคน
ซั่งกวนหว่านยืดตัวตรงทันควัน
“ฉู่หลิวเยว่ผู้ครองอันดับหนึ่ง คือผู้ใดกัน?”