ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 544 ตามติด
ตอนที่ 544 ตามติด [รีไรท์]
เริ่มแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ หลังจากกลับชาติมาเกิด นางก็ฝันถึงฉากนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกคืนวัน และทุกครั้งที่นางนึกถึงเรื่องนี้ นางก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันเปราะบาง ในวันที่เปลวเพลิงในห้องโถงบรรพบุรุษของราชวงศ์แผดเผาหัวใจของนางวันนั้น พวกมันเผาตัวตนของนางจนหมดสิ้น
ก่อนจะพบกับแสงอาทิตย์ในตอนเช้าที่ส่องแสงเจิดจ้า และลมที่พัดมาเบาๆ อากาศรอบตัวนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอันคุ้นเคยของยาสมุนไพรที่ใช้สมานแผล
ทุกอย่างยังคงชัดเจนเสมือนเหตุการณ์นั่นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ตอนนี้ นางเป็นทั้งซั่งกวนเยว่ และก็เป็นทั้งฉู่หลิวเยว่!
นางกลับมาที่นี่อีกครั้งหลังจากฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้ และก็ไม่รู้ว่าหากคนในอดีตได้เจอนางในตอนนี้ พวกเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร?
ยามนี้ทุกสิ่งรอบตัวนั้นดูพร่าเลือนไปหมด ทว่ามีเพียงคนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเท่านั้น ที่นางมองเห็นได้ชัดเจน! ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ!
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้า
“ฉู่หลิวเยว่แห่งแคว้นเย่าเฉิน ถวายบังคมองค์หญิงสามเพคะ”
ซั่งกวนหว่านมองนางด้วยความสงสัย
สตรีนางนั้นยืนอยู่ตรงกลาง และแต่งกายด้วยชุดคลุมสีแดงเพลิง พร้อมรูปร่างที่เพรียวบางและวิจิตรบรรจง อีกทั้งผ้าไหมคาดศีรษะสีน้ำเงินที่ห้อยลงมาราวกับน้ำตก
อีกฝ่ายก้มศีรษะลงเล็กน้อย จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพโครงหน้าของนางได้ทั้งหมด แต่ซั่งกวนหว่านดูออกว่านางผู้นั้นเป็นคนสวย ที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
“เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ”
ซั่งกวนหว่านเอ่ย
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ทอประกายวาววับ พลางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ
แม่นางที่มีใบหน้ารูปไข่ ผิวที่ขาวกระจ่างใสของนาง ดูเปล่งประกายภายใต้แสงแดด คิ้วสีเข้มถูกปัดวาดเบาๆ ราวกับขนอีกาที่ร่วงหล่น จมูกเป็นสันตรงสวย อีกทั้งริมฝีปากแดงเรื่อดั่งสีเชอร์รี่หวานฉ่ำ
และโดยเฉพาะดวงตาที่เหมือนหยกสีดำ ระยิบระยับราวท้องนภายามราตรี ที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับล้านคู่นั้น
ช่างงดงามและเลอค่ายิ่งกว่าสตรีใดในปฐพี
ซึ่งภาพลักษณ์ของนางเป็นดั่งคำกล่าวนี้จริงๆ
ซั่งกวนหว่านตกตะลึง
แต่ไหนแต่ไรราชวงศ์เทียนลิ่งนั้นมีแต่สาวงามเดินกันให้ขวักไขว่ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงรูปลักษณ์อันงดงามเกินใครของซั่งกวนหว่าน
แต่หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว รัศมีของนางกลับถูกบดบัง และถูกขโมยสายตาชื่นชมของทุกคนไปจากนาง
ซั่งกวนหว่านรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้นางอึดอัดใจมากที่สุดก็คือ ใบหน้าที่ดูคุ้นเคยอย่างไร้เหตุผลนี่
ส่วนเจียงอวี่เฉิงที่นั่งถัดจากซั่งกวนหว่าน ก็สามารถมองเห็นใบหน้าชัดๆ ของฉู่หลิวเยว่ได้เช่นกัน
ถึงจะเคยเห็นหน้านางมาก่อนแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับรุนแรงกว่าเดิม
ปลายนิ้วที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกระตุกเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่พูดอันใดออกมา
“ได้ยินมาว่าปีนี้เจ้าเพิ่งจะอายุสิบสี่หรือ? ช่างมีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่โดดเด่นเสียจริงนะ”
ซั่งกวนหว่านระงับความปั่นป่วนในใจของนางและยิ้ม
แม้ว่ามันจะเป็นคำชม แต่น้ำเสียงนั่นยังคงฟังดูเหยียดหยาม ราวกับกำลังแสดงความเห็นปนประชดประชัน
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจ พลันยิ้มหวานตอบ
“ขอบพระทัยในความกรุณาขององค์หญิงสามมากเพคะ”
นางแย้มยิ้มพร้อมคิ้วและดวงตาที่โค้งลงอย่างอ่อนหวาน ราวกับน้ำแข็งที่ละลายเพราะความอบอุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิ ทั้งดูนุ่มนวลและมีไหวพริบ อีกทั้งความสง่าที่ปรากฏบริเวณหว่างคิ้วและผ่านทางสายตาของนาง
แม้ว่าคนที่นั่งข้างหน้าจะเป็นผู้ปกครองราชวงศ์เทียนลิ่งในปัจจุบัน แต่นางก็สามารถจัดการกับมันได้อย่างง่ายดายและสงบนิ่ง
ซั่งกวนหว่านตกใจ! จนเกือบจะลุกจากเก้าอี้!
แววตาแบบนี้!
รอยยิ้มแบบนี้!
มันเหมือนกับ…เหมือนกับ…
เจียงอวี่เฉิงแสร้งกระแอมไอทันควัน
ซั่งกวนหว่านพลันได้สติ ทว่าดวงตาของนางก็ยังจ้องมองฉู่หลิวเยว่ไม่วางตา!
ครู่หนึ่ง นางแทบอยากจะพุ่งเข้าไปฉีกกระชากใบหน้านั้น เพื่อดูว่ามีใบหน้าอื่นซ่อนอยู่ข้างใต้หรือไม่!
ทำให้บริวารหลายคนที่อยู่รอบๆ สังเกตเห็นความผิดปกติของซั่งกวนหว่าน และหันมามองทันที
ซั่งกวนหว่านจึงรีบปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ และผ่อนคลายตนเอง ก่อนจะยืดตัวตรงจัดท่านั่งให้เรียบร้อยตามเดิม
แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่า มือบางที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อนั้นกำลังกำหมัดแน่นแค่ไหน นิ้วเรียวของนางกำแน่นจนปลายเล็บฝังจิกลงไปในอุ้งมือ!
“ในเมื่อเจ้าเอาชนะคนอื่นได้ นั่นจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด และในราชวงศ์เทียนลิ่งนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมได้รับการเคารพเสมอ และเจ้าสมควรได้รับคำชมนี้”
ซั่งกวนหว่านกระตุกยิ้มมุมปากอย่างไม่เต็มใจ
“และ… ยามที่ข้าเห็นเจ้า ข้ารู้สึกราวกับว่าข้าเคยเห็นเจ้าที่ไหนมาก่อน รูปลักษณ์ของเจ้านั้น… ค่อนข้างคล้ายกับเพื่อนเก่าของข้า”
นางก็แค่อธิบายไปตามมารยาท
และมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่า เมื่อครู่นางเกือบจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผีซั่งกวนเย่วที่กลับมาแก้แค้นกันเสียแล้ว!
อวี้ฉือซงและคนอื่นๆ เองก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ และอดไม่ได้ที่จะมองไปยังฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง
ชั่วขณะหนึ่ง การแสดงออกของหลายคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตอนแรกพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอันใด แต่เมื่อซั่งกวนหว่านพูดแบบนี้ คนทั้งหมดก็เริ่มเห็นพ้องต้องกัน
เรียวคิ้วและแววตาของฉู่หลิวเยว่ ดูเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่จากไปแล้วเลยมิใช่หรือ!?
เวลานางอยู่นิ่งๆ อาจจะดูไม่ออก แต่พอนางแย้มยิ้ม…
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กดยิ้มลึกกว่าเดิม
เหมือนหรือ?
อย่างกับคนคนเดียวกันเลยต่างหาก
ราวกับว่าในร่างนี้มีดวงวิญญาณของซั่งกวนเยว่สถิตอยู่อย่างใดอย่างนั้น!
เมื่อครู่นางแค่ลองจินตนาการดู แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาขวัญหนีดีฝ่อกับภาพใบหน้าของซั่งกวนเยว่เช่นนี้
และตอนนั้นนางเห็นภาพใบหน้าบึ้งตึงอันน่ากลัวของซั่งกวนเยว่เต็มสองตาเลย
“รองแม่ทัพมู่และนายน้อยเจี่ยนเองก็เคยพูดแบบนี้”
ฉู่หลิวเยว่แสร้งทำเป็นไม่เห็นความผิดปกติของซั่งกวนเยว่ นางหลุบตาลงและยิ้มเบาๆ
ซึ่งรอยยิ้มนี้ไม่เหมือนกับรอยยิ้มเมื่อครู่แล้ว
หัวใจที่เต้นรัวของซั่งกวนหว่านจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
คิดไปเอง…นางคงคิดมากไปเอง…
ในโลกนี้ มีคนมากมายที่หน้าตาเหมือนกัน และมันควรจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
แต่นางก็ยังสงสัยจนต้องหันไปมองเจียงอวี่เฉิงอย่างอดไม่ได้
ทว่าเจียงอวี่เฉิงกลับดูผ่อนคลาย พลางเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
“ข้าเคยให้คนไปสืบมาแล้ว ตัวตนของฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ มิได้มีปัญหาแต่อย่างใด”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ซั่งกวนหว่านก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
เจียงอวี่เฉิงก็คงคิดเหมือนกันสินะ ถึงได้สั่งคนไปตรวจสอบเช่นนั้น
นางเชื่อในความสามารถของเขามาโดยตลอด ในเมื่อเขาบอกว่าไม่มีปัญหา ย่อมไม่มีปัญหาตามที่เขาว่า
สรุปแล้วนางคงคิดมากไปเอง
ย้อนกลับไปตอนนั้น ซั่งกวนเยว่ได้จุดไฟเผาชีพจรเทียนจิงและเผาตัวเองตายแล้ว! เช่นนั้นจะฟื้นคืนชีพได้อย่างใด?
ทว่าแผ่นหลังของนางยังคงเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาไม่หยุด เมื่อลมพัดโชยมา ก็ทำให้นางเย็นวาบไปทั้งตัว
“ก็ใช่…ความจริงแล้วก็ไม่เห็นเหมือนกันเลย…”
ซั่งกวนหว่านดูเหนื่อยมากราวกับจะทรุดตัวลงได้ทุกเมื่อ
ฉู่หลิวเยว่ทำทีขมวดคิ้ว พลางเอ่ยเสียงนุ่ม
“องค์หญิงสาม ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ?”
ซั่งกวนหว่านพยายามฝืนยิ้ม ทว่าดวงตาของนางหาได้ยิ้มไม่
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า
“ที่จริง… ถ้าให้พูดตรงๆ เจ้าค่อนข้างคล้ายกับพี่สาวคนโตที่เสียชีวิตไปแล้วของข้า เมื่อข้าเห็นเจ้า ข้าก็นึกถึงพี่สาวคน… ข้าเลยรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา…”
ขณะพูดซั่งกวนหว่านก็บีบน้ำตาจนน้ำตาคลอเบ้า
ดูแล้วช่างน่าสงสารจับใจ
เจียงอวี่เฉิงลูบไหล่ของนางเบาๆ อย่างปลอบโยน
“หว่านเอ๋อ นางรักเจ้าสุดหัวใจ หากนางเห็นเจ้าร้องไห้เช่นนี้ นางต้องทุกข์ใจแน่ๆ”
ซั่งกวนหว่านปาดน้ำตา
“ขอบคุณเจ้ามากนะ อวี้เฉิง ข้าก็แค่…คิดถึงพี่สาวมาก…”
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับว่ากำลังพยายามขจัดอารมณ์เหล่านี้ออกไป
“อย่าร้องเลยนะ รอยยิ้มเหมาะกับเจ้ามากกว่า”
ทุกคนล้วนเห็นด้วย
“พี่สาวคนโตขององค์หญิงสาม ใช่คนที่เขาลือว่าพระธิดาในองค์จักรพรรดิหรือไม่?”
“นอกจากนางผู้นั้นแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า? ช่วงนั้นน่ะ นางเป็นคนที่ทำให้ราชวงศ์เทียนลิ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเชียวนะ!”
“ไม่น่าใช่กระมั้ง…ถ้าเช่นนั้นจะมีจักรพรรดิไว้ใย? องค์หญิงใหญ่จักมีอำนาจเหนือจักรพรรดิได้หรือ?”
“นี่ พวกเจ้าคงไม่รู้สินะว่า คนผู้นั้นที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับชีพจรเทียนจิง แถมนางยังเป็นบุตรีแห่งสวรรค์ด้วย! ลือกันว่านางมีโอกาสสูงที่จะได้เป็นผู้สืบทอดมรดกของเหล่าบรรพบุรุษ ดังนั้น แม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังมักจะปล่อยให้นางเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจกับเขา แต่น่าเสียดายที่ภายหลัง…”
ฉู่หลิวเยว่ทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น
พลันยิ้มบาง
“หากพี่สาวคนโตขององค์หญิงสามกลายเป็นวิญญาณ และรู้ว่าท่านคิดถึงนางเพียงนี้ นางคงจะซาบซึ้ง และคอยเฝ้ามองท่านไปตลอดชีวิตก็ได้นะ เพคะ”