ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 547 การแสดง
ตอนที่ 547 การแสดง [รีไรท์]
เฉิงลี่เฟิงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ราวโดนหักหน้า พลันยกมือชี้หน้าเชียงหว่านโจว
“จะ เจ้า…ช่างไรสามัญสำนึก! พ่อแม่เจ้าสอนให้เจ้าปฏิบัติกับผู้อาวุโสเช่นนี้หรือ!?”
เชียงหว่านโจวจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
“ข้าไม่มีพ่อแม่”
ตั้งแต่เขาจำความได้ ก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
แต่ละวันเขาต้องกินวัชพืชและอาศัยนอนอยู่ในป่า ซึ่งไม่เพียงแต่ต้องหลีกเลี่ยงการโจมตีของสัตว์ป่าเท่านั้น แต่บางครั้งยังต้องคอยแข่งขันกับพวกมัน เพื่อแย่งชิงทรัพยากรทั้งหมดเพื่อความอยู่รอด
ทำให้ในความทรงจำของเขานั้นไม่มีคำว่าครอบครัวอยู่เลย
เฉิงลี่เฟิงถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง พลันตัวสั่นด้วยความโกรธ
“เจ้า! บังอาจนัก!”
เชียงหว่านโจวขมวดคิ้ว
เขาแค่พูดความจริงออกไป แล้วเหตุใดคนผู้นี้ถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนั้น?
ฉู่หลิวเยว่ดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ
เชียงหว่านโจวจึงหันไปมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะกลืนคำพูดที่เหลือลงไป
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มมุมปาก พลางดึงเชียงหว่านโจวเข้ามา แล้วก้าวออกไปด้านหน้าแทนที่เขาและพูดว่า
“ท่านเจ้าสำนักโปรดให้อภัย เสี่ยวโจวเติบโตขึ้นมาในชายแดนทางใต้ จึงมีหลายเรื่องที่เจ้าตัวยังไม่คุ้นเคย หากมีสิ่งใดที่ทำให้ท่านขุ่นเคือง โปรดให้อภัยเด็กเขลาคนนี้ด้วย”
เฉิงลี่เฟิงตำหนิอีกครั้ง
“ไร้อารยธรรมสิ้นดี!”
บนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ยังคงมีรอยยิ้มประดับไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ท่าทางของนางกลับเย็นชาขึ้นมาทีละนิด
“ท่านเจ้าสำนัก แม้ว่าเขาจะดูไร้อารยธรรม แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขามิใช่หรือ? เจ้าสำนักที่มีสถานะสูงส่งอย่างท่าน คงไม่เสียเวลามาหาเรื่องเด็กสิบขวบหรอกใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ต้องการจะสื่อว่า หากบุคคลอันสูงส่งเช่นเขาไม่ปล่อยวางกับคำพูดของเด็กคนนี้ นั่นหมายความว่า เขาจะกลายเป็นคนใจแคบในสายตาทุกคนทันที
เฉิงลี่เฟิงสะบัดแขนเสื้ออย่างเกรี้ยวกราด พลันจ้องมองคนตรงหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“จะบอกเขาแค่ไม่เข้าใจโลกหรือ เจ้านี่ช่างเจรจาเสียจริง!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง
“ขอบคุณในความกรุณาของเจ้าสำนักอย่างสูง”
เฉิงลี่เฟิงรู้สึกอึดอัดราวกับอวัยวะภายในทั้งหมดโดนบีบอัด จนกลายเป็นลูกกลมที่น่าสมเพช
ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ คิดว่าพอเข้าร่วมกับชงซูเก๋อแล้ว จะหยิ่งผยองใส่เขาได้อย่างนั้นหรือ?
ฉู่หลิวเยว่ก้าวถอยหลังอย่างสงบ และส่งสายตามั่นใจให้เชียงหว่านโจว
อย่างใดก็ตาม ตอนนี้นางได้ทำให้หลิงอวิ๋นจงขุ่นเคืองใจแล้ว และหากว่าตามบุคลิกของผู้อาวุโสชิวซีแล้ว แม้ว่านางจะคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา เขาก็คงไม่ยอมให้นางง่ายๆ จะมีก็แต่แสดงความจองหองใส่นางมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถึงเป็นเช่นนั้นจริง แล้วนางต้องกลัวด้วยหรือ?
อย่างน้อยเฉิงลี่เฟิงคนหนึ่งแล้ว ที่ไม่กล้าลงมือทำอันใดแน่นอน
อวี้ฉือซงตบไหล่ของฉู่หลิวเยว่เบาๆ
ส่วนฉู่หลิวเยว่ที่รู้ว่าเขาตั้งใจจะสนับสนุนตน ก็รีบยกริมฝีปากขึ้นและยิ้มให้เขาทันควัน
ทุกคนต่างมองภาพนี้ด้วยสายตาที่ต่างกันออกไป
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดจะใส่ใจ ก่อนจะรีบถอยหลังไปพร้อมกับเชียงหว่านโจว
จากนั้นคนถัดไปก็เริ่มเคลื่อนตัวไปตามแถวที่จัดไว้
ซึ่งการจัดอันดับเหล่านี้ค่อนข้างวางแผนมาดี โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาจะไม่ถูกปฏิเสธ และหลายคนก็ได้เลือกสำนักในใจไว้แล้ว ดังนั้นทุกอย่างจึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
และเมื่อถึงช่วงหลังๆ ก็มีผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ค่อยโดดเด่นถูกปฏิเสธเป็นครั้งคราว
ซึ่งคนเหล่านั้นก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตายอมรับ และถอยกลับไป
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีใครเลือกสำนักชงซูเก๋อเลยสักคน
ทว่าแม้แต่อวี้ฉือซงหรือฉู่หลิวเยว่ ต่างก็ไม่ได้สนใจการคัดเลือกแต่อย่างใด และทำเพียงรออยู่ข้างลานกว้าง
ฉู่หลิวเยว่ปลีกตัวออกไปยืนเงียบๆ ด้านข้าง แต่ในใจกำลังพูดถึงใบโพธิ์สีทองม่วงกับอินทรีสามตาอยู่
“เป็นอย่างใด ตอนนี้เจ้าสามารถระบุตำแหน่งของมันได้หรือไม่?” ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้นในใจ
“ตรงทิศตะวันออกเฉียงใต้” อินทรีสามตาเงียบไปครู่หนึ่ง พลันเอ่ยอย่างหนักแน่น
ทิศตะวันออกเฉียงใต้หรือ?
ฉู่หลิวเยว่หันมองไปตามทิศนั้นเล็กน้อย
ที่นั่นคือห้องดีดพิณของนางในอดีต แต่เหตุใดนางถึงไม่รู้ว่ามีใบโพธิ์สีทองม่วงซ่อนอยู่ที่นั่น?
“ถ้าเจ้าต้องพิกัดที่เฉพาะเจาะจงมากกว่านี้ เจ้าต้องไปที่นั่น โดยทั่วไปแล้วลมปราณของใบโพธิ์สีทองม่วงนั้นจะถูกปิดกั้นไว้ และจำต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเข้าไป ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะได้มันมา”
คิ้วเรียวของฉู่หลิวเยว่ขมวดมุ่น
พูดน่ะมันง่าย
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนางคงเข้าออกได้อย่างอิสระ ทว่าตอนนี้นางจะเข้าไปได้อย่างใด?
ยิ่งไปกว่านั้น ทหารยามของที่นี่เข้มงวดมาก หากว่าตามสถานะในปัจจุบันของนางแล้ว เกรงว่านางจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปที่ห้องดีดพิณนั่นด้วยซ้ำ
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางก็ทำได้เพียงเก็บพับเรื่องนี้เอาไว้ก่อน และค่อยมองหาโอกาสอื่นต่อไป
…
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดการเลือกสำนักของผู้เข้าร่วมทั้งหมด ก็ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
หลังจากนั้น ผู้ที่ติดอันดับสูงสุดทุกคนก็จะได้รับแหวนเฉียนคุนเป็นรางวัล
เมื่อฉู่หลิวเยว่รับมันมา นางก็รีบตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนจะพบสมบัติล้ำค่าอยู่ด้านในสองสามชิ้น
ดูเหมือนว่าซั่งกวนหว่านจะลงทุนมากเป็นพิเศษ เพื่องานหมื่นทรูในครั้งนี้
ทว่าสิ่งเหล่านี้อาจมีค่ามากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับฉู่หลิวเยว่นั้น แทบไม่ได้พิศวาสมันเลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะตอนนี้ที่นางยังมีกระบี่หลงหยวนอยู่กับตัว
สิ่งใดก็ตามที่สถิตอยู่ในด้ามกระบี่นั้นย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
แต่นางก็ยังแสร้งทำเป็นประหลาดใจเล็กน้อย ซึ่งท่าทางเหล่านั้นดึงดูดสายตาอิจฉาริษยาจากผู้คนได้อย่างล้นหลาม
…
ซั่งกวนหว่านยืนขึ้นและกวาดสายตามองไปทั่วสารทิศ ก่อนเอ่ย
“ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านอีกครั้ง ยามนี้งานหมื่นทรูก็จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่สำหรับพวกท่านแล้ว เส้นทางสู่การเป็นนักรบที่แข็งแกร่งนั้นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ข้าหวังว่าพวกท่านทุกคนจะฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง ในสำนักวิชาที่เลือกและกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างแท้จริง!”
ทุกคนต่างยินดีกับคำกล่าวนั้น
“แต่ข้ายังมีกิจที่ต้องสะสางอยู่มากมาย ฉะนั้นข้าจะขอตัวกลับวังก่อน สวนซินหลี่แห่งนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามนัก ทุกท่านสามารถเดินชมได้ตามอัธยาศัย”
พูดจบนางก็หมุนตัวเตรียมจากไป
“ประเดี๋ยวก่อน องค์หญิงสาม!”
เสียงของใครบางคนโพล่งขึ้นมาอย่างอุกอาจ
ทำให้คนทั้งหมดหันขวับไปมองเจ้าของเสียงทันที
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย
นั่นมัน หยางเซิ่นเอ๋อร์
ซั่งกวนหว่านปรายตามองนางเล็กน้อย
“อันใด เจ้ามีธุระอันใดหรือ?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลันคุกเข่าลงกับพื้น และกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“องค์หญิงสามเพคะ หยางเซิ่นเอ๋อร์ตัวแทนของประชาชนผู้นี้ มีเรื่องต้องรายงานท่าน!”
ซั่งกวนหว่านยังคงประทับใจในตัวหยางเซิ่นเอ๋อร์อยู่มาก เมื่อเห็นเช่นนี้ นางจึงถามต่อว่า
“เรื่องอันใดรือ?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง
“เกี่ยวกับเรื่องอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งเพคะ…ไม่ทราบว่า…”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วฉับ
นี่คือ…หยางเซิ่นเอ๋อร์คิดจะโจมตีนางอย่างนั้นหรือ?
ก่อนหน้านี้นางยังเคยคิดเลยว่า หยางเซิ่นเอ๋อร์ที่สูญเสียขนาดนั้น คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เป็นแน่
และมันก็เป็นดังคาด
ที่เห็นนั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จามาตั้งนาน ก็เพื่อรอโอกาสนี้สินะ!
เมื่อได้ยินว่าเกี่ยวกับอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์ ซั่งกวนหว่านก็ทำหน้าเคร่งเครียดทันที
นางคิดอยู่พักหนึ่ง พลางเอ่ย
“เจ้ามากับข้า”
ทว่าหยางเซิ่นเอ๋อร์ไม่ได้ลุกขึ้น แต่กลับเอ่ยออกไปว่า
“มีผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้หลายคน…”
“เจ้าพูดมาสิว่ามีใครบ้าง” ซั่งกวนหว่านเอ่ยเสียงเย็น
จากนั้นหยางเซิ่นเอ๋อร์ก็ลืมตาขึ้นราวกับว่านางได้ตัดสินใจแล้ว
“คนที่เกี่ยวข้องมี… โฉวติ่ง หนิงเจียวเจียว เชียงหว่านโจว และ…ฉู่หลิวเยว่!”
ผู้คนทั้งลานกว้างต่างตกตะลึง
เพราะคนเหล่านี้อยู่ในสิบอันดับแรกกันทั้งหมด!
แต่พอเห็นท่าทีขึงขังของหยางเซิ่นเอ๋อร์แล้ว แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นไปได้หรือไม่ว่าในช่วงสุดท้ายนั้น จะเกิดบางอย่างขึ้นในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่ง?
ซั่งกวนหว่านเองก็เริ่มเดาสถานการณ์ไปนักต่อนัก
นางขมวดคิ้วและเหลือบมองคนเหล่านี้
“พวกเจ้าทั้งห้าคน ตามข้ามา”
สิ้นคำสั่ง นางก็เดินนำไปที่ลานเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลัง
เจียงอวี่เฉิงเดินตามหลังนางไปโดยเว้นระยะห่างครึ่งก้าว
จากนั้นหยางเซิ่นเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามไป
และในขณะที่กำลังจะเดินผ่านฉู่หลิวเยว่ นางก็หยุดฝีเท้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“คราวนี้ถึงตาข้าได้ชมการแสดงดีๆ บ้างแล้ว”