ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 549 มันยังอยู่ในนั้น
ตอนที่ 549 มันยังอยู่ในนั้น [รีไรท์]
นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่ากระบี่หลงหยวนจำนายของมันได้!
ซั่งกวนหว่านเริ่มกระวนกระวาย พลันจ้องมองฉู่หลิวเยว่
“ตอนนี้พวกเขากำลังกล่าวหาว่าเจ้าฉวยกระบี่หลงหยวนมา เจ้ามีอันใดจะแก้ตัวหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ยังคงสงบนิ่ง
“ข้าไม่ได้ทำ ต่อให้ข้าต้องพูดอีกกี่พันครั้ง ข้าก็ยังจะยืนยันคำเดิมว่า ข้าไม่ได้ทำ”
ท่าทางของนางดูมั่นใจมาก ราวกับว่านางไม่ได้โกหก
ซั่งกวนหว่านตัดสินใจไม่ถูกไปชั่วขณะ
ด้านหนึ่งเป็นพวกของหยางเซิ่นเอ๋อร์ ในเมื่อนางและคนอื่นๆ กล้ายกเอาเรื่องนี้มาพูดต่อหน้าราชวงศ์ เช่นนั้นก็แปลว่านางจะต้องมีหลักฐาน เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้อง
ในทางกลับกัน กระบี่หลงหยวนคือมรดกที่จักรพรรดิไท่จู่ทิ้งไว้ให้พวกเขา และมีข้อแม้ว่าต้องเป็นคนที่มีสายเลือดของราชวงศ์เทียนลิ่งโดยตรงเท่านั้น ถึงจะสามารถปลุกอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้ให้ตื่นจากการหลับใหลได้ และคนๆ นั้นไม่มีทางเป็นฉู่หลิวเยว่แน่นอน
หยางเซิ่นเอ๋อร์ที่ได้ยินคำตอบของฉู่หลิวเยว่ ก็พลันโกรธขึ้นมา
“ฉู่หลิวเยว่ มาถึงขนาดนี้แล้ว หลักฐานก็มีมากมาย แต่เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือ? เจ้าคิดจะเถียงเอาตัวรอดไปอีกนานแค่ไหนกัน?”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับเสียงเรียบ
“แล้วจะให้ข้ายอมรับในสิ่งที่ข้าไม่ได้ทำ ได้อย่างใด?”
และในขณะที่หยางเซิ่นเอ๋อร์กำลังจะโต้แย้ง ฉู่หลิวเยว่ก็รีบเอ่ยดักทางอย่างเร็ว
“สิ่งที่เรียกว่าหลักฐานที่หักล้างไม่ได้จริงๆ นั้น นอกจากคำบอกเล่าของพวกเจ้าสองสามคน ก็ไม่มีหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันอย่างอื่นแล้วหรือ?”
“และถ้าเน้นเอาแต่เนื้อแล้วตัดน้ำออกไปล่ะก็ โฉวติ่งเห็นเพียงตอนกระบี่กำลังจะตื่นจากการหลับใหล ส่วนคนที่เห็นว่ามีคนเข้ามาชิงกระบี่ไป…ก็มีเพียงเจ้ากับหนิงเจียวเจียวสองคน ถูกต้องหรือไม่? อ้อ ไม่สิ ยังมีเชียงหว่านโจวด้วยหนิ”
จากนั้นเชียงหว่านโจวก็รีบพูดต่อทันควัน
“ข้าไม่เห็นเหตุการณ์แบบที่พวกนางเล่าเลย”
หยางเซิ่นเอ๋อร์เอ่ยขึ้นเสียงด้วยความโกรธ
“เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เห็น? เช่นนั้นเจ้าจะสู้กับเราสองคนได้อย่างใด?”
และบนร่างของนางก็ยังมีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่!
เชียงหว่านโจวชี้มือไปยังหนิงเจียวเจียว
“เจ้า ใช้วิธีการที่น่ารังเกียจกำจัดผู้คนออกไป แล้วโยนความผิดให้ฉู่หลิวเยว่”
หนิงเจียวเจียวที่กำลังทะนงตนจำต้องหยุดชะงัก
พลางหันไปชี้ที่หยางเซิ่นเอ๋อร์ต่อ
“ส่วนเจ้าก็ร่วมกับศิษย์จากสำนักกระบี่เมฆาม่วงสองคน เพราะต้องการแย่งชิงสมบัติของหลิวเยว่ แต่หลังจากถูกปฏิเสธ พวกเขาก็โกรธมาก แล้วหันไปโจมตีนาง”
เปลือกตาของหยางเซิ่นเอ๋อร์สั่นระริกด้วยความโมโห
“เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าเป็นฝ่ายเล่นไม่ซื่อก่อน แต่กลับไม่อนุญาตให้ผู้อื่นตอบโต้? ส่วนเรื่องอาการบาดเจ็บของพวกเจ้า… นั่นก็เพราะความอ่อนแอของพวกเจ้าต่างหาก”
สีหน้าของเชียงหว่านโจวดูเย็นชามาก อีกทั้งยังเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกมาอย่างหนักแน่น
คราแรกหยางเซิ่นเอ๋อร์เริ่มร้อนตัว แต่ต่อมานางก็รีบแย้งออกไป
“เจ้าสนิทกับฉู่หลิวเยว่ แน่นอนว่าเจ้าต้องพูดให้นางได้อยู่แล้ว! และสิ่งที่เจ้าพูดมานั้น ก็เป็นเพียงการฟังความข้างเดียวเหมือนกัน ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด!”
ไม่ว่าอย่างใด เหตุการณ์ในตอนนั้นก็ได้เกิดขึ้นไปแล้วจริงๆ และฉู่หลิวเยว่ก็ไม่มีทางปฏิเสธมันได้!
เจียงอวี่เฉิงจ้องมองฉู่หลิวเยว่ พลันขมวดคิ้ว
“ฉู่หลิวเยว่ นอกจากคำให้การของเชียงหว่านโจวแล้ว เจ้ายังมีอันใดจะชี้แจงอีกหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ตอบ
หนิงเจียวเจียวจึงได้ทีเย้ยหยัน “นางคงไม่มีอันใดจะแย้งหรอกเพคะ! เพราะว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือนางจริงๆ!”
ซั่งกวนหว่านก้าวไปข้างหน้า พลางปล่อยรัศมีกดดันออกมาจากร่างกาย และหลุบตามองฉู่หลิวเยว่
“ฉู่หลิวเยว่ ถ้าเจ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้ เช่นนั้นวันนี้…เจ้าก็นอนอยู่ในสวนซินหลี่นี่แหละ!”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
สีหน้าของซั่งกวนหว่านยังคงไร้ซึ่งความแปรปรวน แต่ฉู่หลิวเยว่กลับมองเห็นคลื่นอารมณ์เหล่านั้นในดวงตาของนางได้อย่างชัดเจน
แม้ซั่งกวนหว่านจะหลอกคนอื่นได้ แต่นางไม่สามารถหลอกฉู่หลิวเยว่ได้อีกต่อไป
ทั้งความตกใจ ความโกรธ และหึงหวง…
ในยามที่ซั่งกวนหว่านเห็นใบหน้าของนางในปัจจุบัน ก็มีแต่ความหวาดกลัวที่ฉายชัดจนใบหน้าของอีกฝ่าย และแน่นอนว่าซั่งกวนหว่านย่อมไม่มีความประทับใจที่ดีต่อนางมาตั้งแต่ต้น
ซึ่งในความเป็นจริง ฉู่หลิวเยว่สามารถสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งของซั่งกวนหว่านที่มีต่อนาง
และไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากมีโอกาส ซั่งกวนหว่านคงหาวิธีฆ่านางแน่นอน!
อีกทั้งตอนนี้ ถ้านางยังล้างมลทินให้ตัวเองไม่ได้ สิ่งที่รอนางอยู่นั้นจะต้องเป็นการทรมานอย่างโหดร้ายแน่ๆ
ฉู่หลิวเยว่ขยับริมฝีปากเล็กน้อย
“ข้าพิสูจน์ได้”
พลันทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
หยางเซิ่นเอ๋อร์หรี่ตาพลางเอ่ยอยากเย้ยหยัน “เจ้าสัตว์ร้ายยังคงดิ้นรนสินะ!”
“ข้อแรก ข้ามีสัตว์อสูรในครอบครอง”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้น และร่างสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนางทันที
มันคือสิ่งมีชีวิตขนยาว…พังพอนโลหิตหรือ?
บรรยากาศรอบๆ เย็นลงไปชั่วขณะ
ด้วยความสามารถและความแข็งแกร่งของฉู่หลิวเยว่ หลายๆ คนจึงคิดว่านางจะต้องทำสัญญากับสัตว์อสูรระดับสูง แต่นี่อันใด…เพิ่งทำสัญญากับสัตว์อสูรระดับสามไปเองหรือ? แถมยังเป็นประเภทที่ไร้ความสามารถที่สุดอีก!?
การแสดงออกของหยางเซิ่นเอ๋อร์และหนิงเจียวเจียวเปลี่ยนไปทันที
“เป็นไปไม่ได้! อย่างเจ้านะหรือจะเอาพังพอนโลหิตเป็นสัตว์อสูร?” หยางเซิ่นเอ๋อร์โพล่งออกมา
ฉู่หลิวเยว่จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง
ถวนจื่อไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันแยกเขี้ยวใส่นางอย่างดุเดือด
นั่นเจ้ากำลังดูถูกใครอยู่มิทราบ!?
มันเองก็เก่งกาจไร้เทียมทานเหมือนกันนะ!
พูดแบบนี้ก็เหมือนด่าว่ามันไม่คู่ควรกับนายของตัวเองเลยน่ะสิ!?
จู่ๆ เหตุใดหัวข้อสนทนาเรื่องของพวกนาง ถึงได้กลายมาเป็นเรื่องของนายบ่าวได้เล่า!?
“พังพอนเลือดตัวนี้อยู่กับข้า มาตั้งแต่ตอนที่ข้ายังอยู่ที่แคว้นเย่าเฉินแล้ว รองแม่ทัพมู่เองก็เคยเห็นมันแล้วด้วย ซึ่งมันสามารถพิสูจน์ได้”
เมื่อฉู่หลิวเยว่ยกเอาชื่อของมู่ชิงเห่อขึ้นมาพูด หยางเซิ่นเอ๋อร์ก็เงียบเสียงลงทันที
ถึงนางจะกล้ากล่าวหาฉู่หลิวเยว่ แต่นางก็ไม่กล้ากล่าวหามู่ชิงเห่อ!
“เมื่อผู้ฝึกตนทำสัญญากับสัตว์อสูรตนหนึ่งแล้ว จะไม่สามารถสร้างพันธะใหม่กับสัตว์อสูรตนใดได้อีก และข้าเชื่อว่าพวกท่านย่อมรู้ถึงกฎข้อนี้ดี เช่นนี้ข้าจะไม่พูดพร่ำทำเพลงให้มากความ แต่ก็ต้องขอบคุณคุณหนูหยางมาก ที่เห็นความสามารถในตัวข้า ถึงขนาดที่เชื่อว่าข้าสามารถครอบครองอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นได้ และถ้าข้าเก่งอย่างที่เจ้าเยินยอจริง และหากวันใดวันหนึ่งข้าสามารถทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ล่ะก็ ข้าจะไม่ลืมเจ้าเลย”
หยางเซิ่นเอ๋อร์สำลักจนแทบหายใจไม่ออก
ส่วนซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงก็มองหน้ากัน พร้อมเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
ที่ฉู่หลิวเยว่พูดมาก็มีเหตุผล
แม้แต่ในราชวงศ์เทียนลิ่งเองก็ยังหาอสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นได้ยาก
และแม้แต่อดีตซั่งกวนเยว่ที่เพิ่งทำสัญญากับไก่ฟ้าเก้าสีไป ก็ยังไม่สามารถทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นได้เลย มิใช่หรือ?
ฉะนั้นคำกล่าวหาที่ว่าอินทรีสามตานั้นเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของฉู่หลิวเยว่…ก็เป็นเพียงเรื่องไร้สาระเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่บีบนวดหูของถวนจื่อย่างผ่อนคลาย
ถวนจื่อยืดตัวแล้วกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของนาง แต่ก็ยังอมแก้มพองลมด้วยความโกรธ
เนื่องจากใครๆ ต่างก็ดูถูกร่างเล็กๆ ของมันทุกครั้งที่เห็น จนมันสุดจะทน!
ถ้าไม่เห็นแก่ฉู่หลิวเยว่ล่ะก็ ป่านนี้มันคงพุ่งตัวไปข่วนหน้าหยางเซิ่นเอ๋อร์แล้ว!
ดวงตาสีเข้มของมันจ้องไปที่หยางเซิ่นเอ๋อร์ด้วยสายตาอาฆาต
หยางเซิ่นเอ๋อร์พลันเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลังอย่างไร้สาเหตุ
“อย่างที่สอง อาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งนั้น เป็นสถานที่สำหรับของเหล่าบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าก่อนเริ่มงานหมื่นทูร จะไม่มีการเปิดอาณาเขตให้บุคคลภายนอกเข้าไป ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทางการเปิดให้คนนอกราชวงศ์เทียนลิ่งเข้าไปได้ และกระบี่หลงหยวนนั้นถือเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าการปลุกให้มันตื่นขึ้นมา และเลือกผู้ถือครองคนใหม่ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของวิญญาณที่สถิตอยู่ในตัวกระบี่”
“พวกเจ้าคิดว่ากระบี่หลงหยวนจะเลือกคนธรรมดาและไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เทียนลิ่งอย่างข้าหรือ? เช่นนั้นพวกเจ้าเอาองศ์หญิงสามและเหล่าราชวงศ์ไปไว้ที่ใด?”
ฉู่หลิวเยว่พูดเน้นคำช้าๆ ทว่าสะท้านไปถึงทรวง!
หยางเซิ่นเอ๋อร์และหนิงเจียวเจียวตระหนักได้ถึงความผิดปกติในคำพูดนั้น พลันหันไปมองซั่งกวนหว่าน ก่อนจะพบว่าใบหน้าของนางมืดมนกว่าเดิมเสียอีก!
ความจริงแล้วซั่งกวนหว่านเองก็เจ็บใจกับประเด็นนี้เช่นกัน
เพราะนางเฝ้าฝันอยากเข้าไปในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์มาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลยสักครั้ง
หลังจากที่ซั่งกวนเยว่เสียชีวิต นางก็คิดว่ามันถึงตาของนางแล้ว แต่เพราะชีพจรดั้งเดิมของนางถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ นางจึงไม่สามารถเข้าสู่อาณาเขตเซียนของราชวงศ์เทียนลิ่งได้อีกต่อไป!
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว
“อย่างที่สาม ประเด็นที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ตอนนี้กระบี่หลงหยวนยังสถิตอยู่ในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่ง!”