ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 561 ยินดีต้อนรับ
ตอนที่ 561 ยินดีต้อนรับ [รีไรท์]
ตลอดทางขึ้นไป มีคราบเลือดเลอะเทอะที่แห้งกรังมาเป็นเวลานาน ปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่ง
บริเวณทางต่างระดับและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบได้รับความเสียหายบางส่วน
ฉู่หลิวเยว่กวาดตามองด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง
แต่เห็นได้ชัดว่าเย่หรานหร่านนั้นคุ้นชินกับมัน และไม่ได้เก็บสิ่งเหล่านั้นมาใส่ใจ
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างอดไม่ได้
“หรานหร่าน เจ้าอยู่ที่ชงซูเก๋อมานานเท่าไรแล้ว?”
เย่หรานหร่านครุ่นคิด
“น่าจะสองปีได้แล้ว? แต่เมื่อก่อนข้าจะติดตามท่านอาจารย์ออกไปฝึกตนข้างนอกเสียมากกว่า และไม่ค่อยได้กลับเข้าสำนัก แต่หลังจากที่เกิดเรื่องขี้นกับชงซูเก๋อเมื่อหนึ่งปีก่อน ข้ากับอาจารย์ถึงได้กลับมาที่เขาชิงหยวน”
“อาจารย์ของเจ้าคือ…”
“อ่อ อาจารย์ของข้าก็คือผู้อาวุโสซย่าอี้ และก็เป็นหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสหลักของชงซูเก๋อ แต่ผู้อาวุโสอีกสามท่านนั้น… เอาเป็นว่า ตอนนี้ท่านอาจารย์คือคนที่จัดการธุระต่างๆ ของชงซูเก๋อ”
เมื่อเย่หรานหร่านกล่าวถึงสิ่งนี้ ร่องรอยของความโศกเศร้าก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง
ผู้อาวุโสท่านอื่นๆ เป็นคนดีมากๆ แต่น่าเสียดายที่…
ฉู่หลิวเยว่ย่นคิ้ว
ตอนนี้ในบรรดาผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ เหลือเพียงผู้อาวุโสซย่าอี้คนเดียวหรือ…
ไม่แปลกที่คนนอกจะมองว่าชงซูเก๋อตกต่ำลงมาก
หากไร้ซึ่งปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่ง ก็เท่ากับว่าชงซูเก๋อในปัจจุบันนั้นอ่อนแอกว่าในอดีต
ก่อนหน้านี้นางได้ยินมาว่าอวี้ฉือซงได้รับบาดเจ็บสาหัส และกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่หายดี
และเมื่อครั้งที่นางยืนอยู่ข้างๆ อวี้ฉือซง นางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของเขา แต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดมากนัก
ขนาดเจ้าสำนักเก๋อและผู้อาวุโสทั้งสี่ยังเป็นถึงขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ…
“หรานหร่าน? พวกเจ้ามาแล้วหรือ!”
เมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปได้ครึ่งทาง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน
เย่หรานหร่านเงยหน้ามอง พลันโบกมือด้วยความตื่นเต้น
“ศิษย์พี่ลู่! ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างใด?”
ดวงตาของลู่เจือเหยากวาดมองฉู่หลิวเยว่กับเชียงหว่านโจวครู่หนึ่ง พลันเบิกตาโพล่งด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าสำนักเก๋อสั่งให้ข้ามารับพวกเจ้า! ส่วนสองคนนี้ก็คงจะเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งและอันดับสองจากงานหมื่นทูรสินะ! เชิญๆ! เจ้าสำนักเก๋อและพวกพี่น้องของเรากำลังรอพวกเจ้าอยู่!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเจอกับลู่เจือเหยาที่ดูกระตือรือร้นตรงหน้า
ถึงจะเป็นการต้อนรับ แต่ถึงกับวิ่งมารับกันกลางภูเขาเช่นนี้ ก็ดูจะเกินจริงไปหน่อย…
แถมเมื่อครู่ยังบอกว่าคนทั้งชงซูเก๋อกำลังรอพวกเขาอยู่อีก?
แค่พวกเขาสองคน…เนี่ยนะ?
แต่ฉู่หลิวเยว่คงไม่รู้ว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อปีก่อน ก็ไม่มีผู้ใดอยากเข้ามาเป็นศิษย์ของชงซูเก๋อเลย
ทว่าตอนนี้กลับมีศิษย์น้องชายหญิงมาเพิ่มอีกสองคน ซ้ำยังเป็นผู้ที่มีพลังแกร่งกล้า แน่นอนว่าคนทั้งสำนักย่อมรู้สึกตื่นเต้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
เช่นเดียวกับงานอาสารับแขกครั้งนี้ ที่เขาจำต้องแก่งแย่งชิงกับผู้อื่นมาอย่างยากลำบาก!
“ศิษย์น้องทั้งสองเอ๋ย ที่พักอาศัยบนภูเขาของพวกเจ้าได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว! เจ้าสำนักเก๋อ
บอกว่าพวกเจ้ามีจวนที่พักในเมืองซีหลิงแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะให้พวกเจ้าขึ้นมาอยู่บนภูเขามากกว่า!”
“ทว่าชงซูเก๋อของเราไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น ศิษย์อย่างเรามีอิสระในเรื่องนี้มาก! เจ้าสามารถขึ้นลงภูเขาได้ตามที่ต้องการเลย! ขอเพียงแค่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยก็พอ!”
“อ้อ ไม่กี่วันมานี้ข้าเพิ่งปลูกสมุนไพรบนภูเขา ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องหญิงเองก็เป็นเซียนหมอด้วย ใช่หรือไม่? จากนี้ถ้าเจ้าต้องการจะปรุงยา และถ้าเจ้าต้องการสมุนไพรอันใด ก็มาขอที่พวกข้าได้!”
ลู่เจือเหยาพูดพลางลอบมองสีหน้าของฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวไปพลาง เพราะกลัวว่าผู้มาใหม่ทั้งสองจะไม่ประทับใจ
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สมัยก่อนนางเคยเจอลู่เจือเหยาสองครั้ง เขาเองก็เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสซย่าอี้เหมือนกัน
ตอนนั้นนางคิดว่าเขาเป็นคนที่เก่งและสุภาพมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดจ้อเป็นแม่ค้าในตลาดเช่นนี้…
ทว่าอย่างใดเสีย สำหรับชงซูเก๋อในตอนนี้ แม้แต่เจ้าสำนักเองก็ยังต้องขนของส่วนตัวไปขายเพื่อแลกกับเงิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลาย…
เห็นได้ชัดว่าลู่เจือเหยามีความสุขมาก เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองคน
เย่หรานหร่านยืนฟังอยู่ข้างๆ และไม่รู้สึกหงุดหงิดเลย แต่นางกลับคอยช่วยเอ่ยเสริมเพิ่มมูล และบางครั้งก็แสดงความคิดเห็นของนางด้วย
สรุปสั้นๆ ก็คือ หลังจากที่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวเลือกชงซูเก๋อแล้ว คนทั้งสำนักก็พยายามเอาอกเอาใจพวกเขาทันที เพื่อให้พวกเขาพอใจและอยู่ที่นี่นานๆ
หรือคนพวกนั้นกลัวว่าพวกเขาจะหนี?
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองสองคนที่เดินนำขึ้นไป พลางขบคิดไปเรื่อยๆ
ส่วนเชียงหว่านโจวที่เป็นคนตรงไปตรงมาก ก็เลือกที่จะไม่พูดอันใดออกมา
ลู่เจือเหยาแอบคิดในใจว่า ศิษย์น้องหญิงตัวน้อยๆ คนนี้เป็นคนใจดี ใบหน้างดงามของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งดูเข้ากันกับบุคลิกของนางมาก และถึงแม้ว่าศิษย์น้องชายอีกคนจะดูเย็นชาเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะฟังศิษย์น้องหญิงอยู่บ้าง
มองๆ แล้วดูเป็นคู่หูที่ไม่เลวเลยทีเดียว!
ระหว่างทางฉู่หลิวเยว่ก็พูดคุยกับคนทั้งสอง จริงจังบ้างล้อเล่นบ้าง แต่สุดท้ายก็ได้ข่าวคราวมาหลายเรื่อง
แต่ในขณะที่กำลังจะเดินถึงยอดเขา ลู่เจือเหยาก็เงยหน้าขึ้นแล้วตะโกนลั่น
“ศิษย์น้องทั้งสองมาถึงแล้ว!”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยพลัง และมันก้องกังวานไปทั่วภูเขา!
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กระตุกอย่างแรง พร้อมลางสังหรณ์ไม่ดีที่ตีล้นขึ้นมาในใจ
และจู่ๆ ก็มีกลุ่มคนเกือบสิบคนปรากฏขึ้นตรงหน้านาง!
“ศิษย์น้องหญิง! ศิษย์น้องชาย! พวกเจ้ามากันแล้ว! พวกข้าเฝ้ารอพวกเจ้ามาตั้งแต่เช้าแล้ว!”
“พอแล้วๆ! นี่ พวกเจ้าหลบไปซิ ข้ามองไม่เห็นพวกเขา!”
“ใครบอกให้เจ้ามาช้าเองเล่า!”
ลู่เจือเหยาตะโกนอีกครั้ง “ทุกคนใจเย็นๆ อย่าทำให้ศิษย์น้องชายกับศิษย์น้องหญิงตกใจสิ!”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เชียงหว่านโจว “…”
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เงยหน้าขึ้นมองพวกเขา
พวกเขามาที่นี่กันตั้งแต่เช้าตรู่ จริงๆ แล้วตอนนี้มันจะยังเช้าอยู่ก็ตาม แต่เหตุใดถึงพากันมารอตั้งแต่ไก่โห่เช่นนี้?..
และคิดว่าพวกเขาเป็นของประหลาดหายากหรือไร ถึงได้พากันแห่มาเป็นโขยงขนาดนี้?
เดิมทีนางคิดจะขึ้นมาคารวะผู้อาวุโสทั้งหลาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…
“รีบไปเถอะ พวกเจ้าสำนักเก๋อกำลังรอพวกเจ้าอยู่!”
ลู่เจือเหยากระตุ้นพวกเขาอย่างตื่นเต้น
จนเชียงหว่านโจวอดกระซิบออกมาไม่ได้ว่า
“เจ้าคงไม่ได้เลือกชงซูเก๋อเพราะอยากดังหรอกใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ปราดมองเขาด้วยสายตาอาฆาต
เชียงหว่านโจวปิดปากเงียบเสียงทันควัน
หลังจากนั้น ภายใต้การแนะนำอย่างอบอุ่นของลู่เจือเหยาและเย่หรานหร่าน พวกฉู่หลิวเยว่และ “พี่น้องรุ่นพี่” หลายคนในสำนักชงซูเก๋อก็ได้เอ่ยทักทายกันอีกครั้ง
และหลังจากที่พวกเขาบุกทะลวงฝ่าวงล้อมออกมาได้สำเร็จ หน้าผากของฉู่หลิวเยว่ก็เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ
“โชคดีที่มากันแค่นี้…ไม่เช่นนั้นคงได้ทักทายกันทั้งวันเป็นแน่” ฉู่หลิวเยว่บ่นพึมพำ
พลันลู่เจือเหยาซึ่งเป็นผู้นำทางข้างหน้า ก็หยุดฝีเท้าและหันกลับมามองนางด้วยท่าทางที่ซับซ้อน
“ศิษย์น้องหญิง ความจริงแล้วกลุ่มคนเมื่อครู่นั้น…คือเหล่าพี่น้องกลุ่มเดียวของเราที่เหลืออยู่ในชงซูเก๋อแห่งนี้”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจและมองไปที่ลู่เจือเหยาอย่างไม่เชื่อ
“อันใดนะ”
ในอดีตสำนักชงซูเก๋อมีสาวกอยู่ถึงหกหรือเจ็ดร้อยคนเชียวนะ!
เหตุใดตอนนี้ถึงเหลือแค่นี้เล่า?
เมื่อเห็นนางดูตกใจมาก ลู่เจือเหยาก็รีบพูดขึ้นว่า
“ความจริงยังมีพวกที่ฝึกตนอยู่ข้างนอก แล้วไม่ยอมกลับสำนักด้วย ไว้คราวหน้าข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าฟังอีกที”
ฉู่หลิวเยว่ถามต่อ
“ข้าขอถามศิษย์พี่ลู่ได้หรือไม่ว่า ณ ตอนนี้ ชงซูเก๋อ…มีศิษย์อยู่ทั้งหมดกี่คน?”
ลู่เจือเหยาถอนหายใจ
“น่าจะประมาณร้อยคน”
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ
“มีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อปีก่อนมากมายขนาดนั้นเลยหรือ?!”