ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 563 ทรายรวมศูนย์
ตอนที่ 563 ทรายรวมศูนย์ [รีไรท์]
สวนสมุนไพรที่ครั้งหนึ่งเคยหนาแน่นและเขียวชอุ่ม ได้กลายเป็นดินแดนที่แห้งแล้งอย่างแท้จริง
ทุกสายตาเมื่อชำเลืองมองพื้นดินสีแดงแห้งกรังจนเกิดการแตกร้าวด้านล่าง มันเหลือเพียงสมุนไพรที่แห้งตายบางส่วนเท่านั้น
กลิ่นขมจางๆ ลอยปะปนอยู่ในอากาศ
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองสวนสมุนไพรตรงหน้าตาไม่กะพริบ
“เพราะอันใด…มันถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้…”
เมื่อครู่ตอนที่นางได้ยินลู่เจือเหยาบอกว่า สถานที่แห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบด้วย แต่ตอนนั้นนางไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ทว่าพอมาเห็นกับตาตัวเอง ถึงได้รู้ว่ามันสาหัสขนาดไหน!
สวนสมุนไพรที่ชงซูเก๋อเฝ้าเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมเป็นเวลาหลายปี ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ภายในชั่วข้ามคืน!
ลู่เจือเหยาถอนหายใจเบาๆ
“ตอนที่เกิดเรื่อง พวกเขากับท่านอาจารย์ออกไปทำภารกิจนอกภูเขา เลยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอันใดขึ้น และพอกลับมา ก็เห็นเพียงสภาพที่พังพินาศของสวนสมุนไพร…ความจริงแล้วจะมีคนคอยเฝ้าดูแลสวนแห่งนี้เป็นประจำ แต่วันนั้นฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามาหลายคน เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนั้นไตร่ตรองวางแผนเรื่องการฆ่าคนเฝ้ายามและทำลายสวนมาอย่างดี…”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ถือเป็นการก่อการร้าย ที่ร้ายแรงเกินรับมือสำหรับชงซูเก๋อ
ฉู่หลิวเยว่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ดูเหมือนว่าสวนสมุนไพรนี่จะครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่มาก แต่กลับถูกทำลายได้ในชั่วข้ามคืน…บางที ฝั่งนั้นอาจจะใช้วิธีพิเศษบางอย่าง?”
“พวกเราเองก็ยังสงสัยไม่หาย แต่จนถึงวันนี้ เราก็ยังหาคำตอบนั้นไม่ได้ และรู้แค่ว่าเราปลูกอันใดบนที่ดินตรงนี้ไม่ได้แล้ว และมันก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง…”
ฉู่หลิวเยว่ก้าวเท้าไปด้านหน้า
แต่เย่หรานหร่านกลับคว้าตัวนางไว้
“หลิวเยว่! นั่นเจ้าคิดจะทำอันใด!? สวนสมุนไพรแห่งนี้ถูกปิดตายแล้ว ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้! ถึงเจ้าสำนักเก๋อจะไม่รู้ แต่ถ้าข้างในมีสิ่งอันตรายซ่อนอยู่เล่า?”
ฉู่หลิวเยว่ลูบมืออีกฝ่ายอย่างปลอบประโลม
“วางใจเถอะ ข้าแค่สงสัยแล้วอยากเข้าไปดูใกล้ๆ เฉยๆ”
“มีอันใดน่าดูด้วยหรือ?” เย่หรานหร่านกล่าวอย่างขมขื่น “เจ้าสำนักเก๋อและท่านอาจารย์ได้ตรวจสอบหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่พบอันใด เจ้าคิดว่าจะเจออันใดหรือ? ข้าว่าพวกเรารีบกลับกันเถอะนะ?”
ลู่เจือเหยาเองก็ไม่เห็นด้วย
“เมื่อครู่เราตกลงกันแล้วว่าจะมาดูเท่านั้น ศิษย์น้องหญิงเอ๋ย เจ้าคงไม่ผิดคำพูดหรอกนะ”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางแค่คิดว่าสวนสมุนไพรแห่งนี้มีพิรุจบางอย่าง และอยากจะเข้าไปใกล้ๆ เพื่อตรวจสอบดู
แต่สองคนนี้กลับห้ามไม่ให้นางเข้าไป
ทว่าขณะเดียวกัน เชียงหว่านโจวที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ มาตลอด กลับเป็นฝ่ายก้าวเท้าออกไปแทน
“ไอ้หยา หว่านโจว!”
เย่หรานหร่านและลู่เจือเหยาต่างตกอกตกใจ
พวกเขามัวแต่ห่วงฉู่หลิวเยว่ จนลืมไปเลยว่ายังมีเขาอยู่อีกคน!
แต่กว่าจะรู้ตัว เชียงหว่านโจวก็เดินไปถึงหน้าสวนสมุนไพรแล้ว!
บนรั้วเหล็กที่หักพัง มีแม่กุญแจเหล็กที่ขึ้นสนิมแขวนอยู่ และคราบเลือดสีแดงเข้มที่มองเห็นได้จางๆ
ทำให้คนมองสามารถจินตนาการได้ถึงการต่อสู้อันน่าสลดที่เกิดขึ้นที่นี่
เมื่อก่อนสวนสมุนไพรแห่งนี้เคยมีค่ายกลพิเศษคอยป้องกันอันตรายรอบๆ สวน แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้พังทลายไปหมดแล้ว
อีกทั้งประตูพังๆ หนึ่งบาน ก็ไม่สามารถหยุดรั้งผู้บุกรุกได้
เชียงหว่านโจวยืดตัวขึ้นแล้วกระโดดเข้าไปทันที!
ลู่เจือเหยากับเย่หรานหร่านหน้าซีดเผือด
นั่นเชียงหว่านโจวเข้าไปด้านในจริงๆ หรือ!
คราวนี้พวกเขาจะอธิบายกับเจ้าสำนักเก๋ออย่างใดดี?
และในขณะที่ทั้งสองคนกำลังตะลึงงัน ฉู่หลิวเยว่ก็ขยับเท้า พลันแยกตัวออกจากวงล้อมของทั้งสอง และรีบวิ่งไปที่ประตูเหล็ก
“หลิวเยว่! อย่า…”
เย่หรานหร่านพูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นร่างของฉู่หลิวเยว่กระโดดเข้าไปด้านในเป็นที่เรียบร้อย
จบกัน!
สองคนนั้นเข้าไปข้างในแล้ว!
ใบหน้ากลมๆ ของเย่หรานหร่านแดงเถือก
“ละ แล้วเราจะทำอย่างใดกันดี?”
ลู่เจือเหยากัดฟันกรอด
“เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะเข้าไปเอง!”
ในเมื่อสองคนนั้นไปแล้ว จะให้พูดอันใดตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ เขาต้องปกป้องสองคนนั้นจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น!
เย่หรานหร่านพยักหน้ารับอย่างกังวล
เรื่องบานปลายมาขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
ลู่เจือเหยารีบพุ่งตัวออกไป ก่อนจะหยุดยืนกัดฟันอยู่หน้าประตูทางเข้าแวบหนึ่ง แต่ทว่าในขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไป ฉู่หลิวเยว่กลับหันมาบอกเขาว่า
“ศิษย์พี่ลู่ อย่าเข้ามา!”
ลู่เจือเหยาก้าวขาออกไปข้างหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเขาได้ยินคำนั้น เขาก็ถอยกลับอย่างไวจนเกือบจะสูญเสียการทรงตัว
“เหตุใดหรือ?”
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ดูจริงจังขึ้นมาทันที
“ดินที่นี่เป็นพิษ”
“ว่าอย่างใดนะ?”
ยิ่งได้ยินเสียงของคนที่อยู่ไกล เขาก็ยิ่งกังวล
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบออกมาเสีย!”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“ศิษย์พี่ลู่ไม่ต้องเป็นห่วง พิษนี่ไม่มีผลต่อข้ากับเสี่ยวโจว เจ้าไปยืนรอพวกข้าอยู่ด้านนอกเถอะ”
ลู่เจือเหยาตกตะลึง
อันใดคือ…ไม่มีผลต่อนาง?
เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่ามันมีพิษ?
ในใจเขาเริ่มลังเล และพอคิดไปคิดมา เขาก็ตัดสินใจไปต่อ
“ไม่ได้ จะให้ข้ายืนมองพวกเจ้าไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้น…”
“ศิษย์พี่ลู่ ถ้าเข้ามา ท่านนั่นแหละที่จะตกอยู่ในอันตราย” ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงเรียบ พลางเลิกคิ้วมองเขา
ลู่เจือเหยามองดูท่าทีสงบนิ่งของนาง พลันความกระวนกระวายในใจก็เริ่มสงบลง
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็พูดว่า
“เช่นนั้นข้าจะรออยู่ตรงนี้ ถ้าเจอสิ่งผิดปกติ ให้รีบเรียกข้าทันที!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า ก่อนจะหันหลังและเดินเข้าไปข้างใน
ลมปราณที่มีกลิ่นขมจางๆ เมื่อครู่ก่อนนั้น มาจากที่นี่จริงๆ ด้วย
ยิ่งกว่านั้น มันเป็นพิษอย่างที่นางคาดไว้จริงๆ
แต่เนื่องจากมันถูกทำให้เจือจางในอากาศ จึงยากต่อการตรวจจับ
แต่พอเข้ามาข้างในแล้ว สัมผัสของลมปราณนั้นก็ยิ่งชัดเจน
และยิ่งเข้าใกล้ที่ดินตรงนั้น กลิ่นพิษนั่นก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ร่างกายของเชียงหว่านโจวนั้นได้สะสมพลังปราณอันเย็นเยียบและชั่วร้ายมาหลายปี พิษธรรมดาจึงไม่มีผลกับเขา
และในตอนที่นางกลับมาเกิดใหม่ นางก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการซ่อมแซมชีพจรดั้งเดิมของตัวเอง เพื่อปรับปรุงและฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแกร่งดังเดิม
ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะพลังของหยดน้ำด้วย การฟื้นตัวของนางจึงดีกว่าที่คาดไว้มาก
แม้ว่าอิทธิฤทธิ์ของมันจะไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน แต่ก็มากพอที่จะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้ได้
แต่น่าเสียดายที่นางยังระบุไม่ได้ว่ามันคือพิษอันใด
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปข้างใน นางก็ค้นหาบนพื้นอย่างระมัดระวัง และพยายามหาเบาะแสบางอย่าง
ทว่าเมื่อเดินพักหนึ่ง นางก็หยุดฝีเท้าและโค้งตัวลง
ที่เท้าของนางมีโสมเหี่ยวแห้งอยู่ต้นหนึ่ง
รากและใบที่เหี่ยวเฉาเปลี่ยนเป็นสีแดงและม้วนงอเล็กน้อย
นางยกมือขึ้นมาแล้วใช้พลังปราณสร้างม่านพลังห่อหุ้มฝ่ามือไว้ ก่อนจะดึงต้นโสมออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตั้งแต่บริเวณโคนต้น มีเส้นสีแดงเหมือนเส้นขนกระจายทั่ว และลามไปตามหลังใบ
แต่ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็จะมองไม่เห็นเลย
“นี่มันอันใดกัน…”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพึมพำด้วยเสียงต่ำ
สาเหตุที่โสมต้นนี้เหี่ยวแห้ง เพราะเส้นสีแดงนี่หรือเปล่านะ?
นางเดินไปด้านข้างและดึงเถาวัลย์เมฆหิมะอีกต้นหนึ่งออกมา
ที่รากของมันก็มีเส้นสีแดงเหมือนกัน
“ข้างใต้นี้มีทรายผสมอยู่”
จู่ๆ เชียงหว่านโจวก็โพล่งขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้า แล้วถามอย่างสงสัย
“เจ้าจะพูดอันใด?”
เชียงหว่านโจวชี้สิ่งที่อยู่ในมือของนาง
“เส้นสีแดง นั่น เกิดมาจากทรายรวมศูนย์”