ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 566 ข้าไม่เห็นด้วย
ตอนที่ 566 ข้าไม่เห็นด้วย [รีไรท์]
ลู่เจือเหยาที่คิดว่านางยังเห็นแก่ท่านอาจารย์ของตัวเองอยู่ ก็รีบเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“ย่อมได้! เดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง!”
เย่หรานหร่านเองก็เดินเข้ามา และเหลือบมองไปรอบๆ ทั้งสองคนอย่างประหม่า พลางตบอกตัวเองปุๆ แล้วพูดว่า
“ข้าเกือบหัวใจวายตายไปแล้ว! หลิวเยว่ หว่านโจว พวกเจ้าบ้าดีเดือดกันเกินไปแล้ว! โชคดีที่ครั้งนี้ไม่เป็นอันใด แต่หลังจากนี้ห้ามเข้าไปที่ไหนสุ่มสี่สุ่มห้าอีกเด็ดขาด!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว
นางไม่ได้เข้าไปแบบ “สุ่มสี่สุ่มห้า” เสียหน่อย
และครั้งหน้าที่มา นางก็จะมาเพื่อจบปัญหาทั้งหมด
หลังจากยืนยันได้ว่าทั้งสองคนปลอดภัยดี พวกเขาก็กลับไปพร้อมกัน
…
เมื่อกลับมาถึงโถงเจิ้งเฟิงของอวี้ฉือซง ฉู่หลิวเยว่ก็พาเชียงหว่านโจวเข้าไปข้างในกับนาง
ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสซย่าอี้ต้องออกไปจัดการธุระ ด้านในโถงจึงเหลือเพียงอวี้ฉือซงคนเดียว
และพอเห็นว่าศิษย์ทั้งสองกลับมาแล้ว อวี้ฉือซงก็รีบถามด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเช่นไร? พวกเจ้าตกลงกันได้หรือยัง?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ข้ากับเสี่ยวโจวต้องการให้ท่านเป็นอาจารย์ของเรา”
อวี้ฉือซงตกใจระคนสงสัย
เด็กทั้งสองเป็นผู้ฝึกตนที่ยอดเยี่ยม และเขาเห็นคุณค่าอีกทั้งชื่นชมในตัวทั้งสองคนอย่างมาก
พวกเขาพร้อมใจกันยกให้เขาเป็นอาจารย์ผู้สอนสั่ง และแน่นอนว่าเขายินดีอย่างยิ่ง
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็แอบรู้สึกกังวล
“พวกเจ้าคิดดีแล้วหรือ? ความจริงแล้ว…ช่วงนี้พลังของผู้อาวุโสซย่าอี้แข็งแกร่งกว่าข้ามาก” อวี้ฉือซง
กล่าวอย่างใจเย็น
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับแย้งขัด
“พวกข้าไตร่ตรองดีแล้ว มิฉะนั้นคงไม่เลือกชงซูเก๋อตั้งแต่แรก”
เกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้นในใจของอวี้ฉือซง
“ดี…เอาตามนั้น! ในเมื่อพวกเจ้าคารวะข้าในฐานะท่านอาจารย์ เช่นนั้นข้าก็สอนวิชาให้พวกเจ้าอย่างเต็มที่! ข้าจะกลับไปบอกซย่าอี้ให้เขาเตรียมเรื่องพิธี…”
“ไม่จำเป็นต้องลำบากเช่นนั้น” ฉู่หลิวเยว่เอ่ยปาก “เจ้าสำนักเก๋อ เรื่องพิธีก็เป็นเพียงฉากหน้าสำหรับคนนอกเท่านั้น ไม่ได้สลักสำคัญอันใด แต่สิ่งสำคัญก็คือ ข้า…ข้ากับเสี่ยวโจว เชื่อมั่นในตัวท่าน”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยพลางก้าวถอยหลัง ก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมก้มศีรษะอย่างเคร่งขรึม
อวี้ฉือซงตกตะลึง และรีบเข้าไปพยุงนางให้ลุกขึ้น
“นี่พวกเจ้าคิดจะ…”
“เจ้าสำนักเก๋อ หากท่านไม่รังเกียจ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าขอฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน”
มือของอวี้ฉือซงที่หมายจะพยุงนาง ชะงักค้างกลางอากาศ
สาวน้อยที่คุกเข่าต่อหน้าเขานั้นดูจริงจังมาก ดวงตาสีดำคู่นั้นแวววาวราวมีแสงระยิบระยับอยู่ภายใน
พลันหัวใจของเขาก็สั่นไหวเสมือนถูกบางอย่างกระแทกอย่างแรง แม้แต่ยามที่สบดวงตาคู่นั้น เขาก็ยังเจ็บปวดหัวใจไปหมด
ฉู่หลิวเยว่แอบยกยิ้มมุมปาก
นางคุกเข่าอยู่แบบนั้น
และยังคุกเข่าต่อเรื่อยๆ
ฉู่หลิวเยว่ตั้งใจขอร้องเขาอย่างจริงจัง
“ลุกขึ้น! รีบลุกขึ้นมา!”
อวี้ฉือซงระงับความตื่นเต้นในใจของเขา
ฉู่หลิวเยว่จึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา
“ฉู่หลิวเยว่ ศิษย์ผู้นี้ ขอคารวะท่านอาจารย์”
อวี้ฉือซงจนปัญญาไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี
ตั้งแต่ครั้งที่มีคนบุกเข้ามาทำลายชงซูเก๋อ อวี้ฉือหลาง ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาก็มาเสียชีวิตลงเช่นกัน และนั่นทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจมาตลอด
แค่ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าชงซูเก๋อจะถูกทำลายในยุคของเขา หรือกลัวว่าลูกศิษย์ทั้งหลายจะออกไปแล้วถูกคนอื่นรังแก เกรงว่าเขาคงทิ้งทุกอย่างไปนานแล้ว
เชียงหว่านโจวเองก็ทำการไหว้ครูเช่นเดียวกับฉู่หลิวเยว่
น้ำเสียงของอวี้ฉือซงสั่นเครือเล็กน้อย
“เด็กดี…พวกเจ้าช่างเป็นเด็กดีจริงๆ…ตอนนี้ชงซูเก๋อไม่ได้พิสมัยเหมือนแต่ก่อน และอาจารย์ผู้นี้ก็ไม่มีอันใดจะมอบให้พวกเจ้า เว้นเสียแต่…”
เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็ค่อยๆ หยิบเสียงนกหวีดสีทองสองอัน ออกมาจากวงแหวนเฉียนคุนอย่างระมัดระวัง
“นกหวีดนี้ถูกบรรจุไว้ด้วยพลังของข้า ตราบใดที่เจ้าเป่ามัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ข้าก็จะรีบไปหาทันที!”
อวี้ฉือซงกล่าวและส่งนกหวีดให้คนทั้งสอง ด้วยสายตาที่แฝงด้วยความคิดถึงและความเจ็บปวด
“นกหวีดนี่…เดิมที่เป็นสิ่งที่ข้าทำขึ้นมาให้หลางหลาง…และเสี่ยวเยว่ใช้ แต่พวกเขาคงไม่มีโอกาสได้ใช้มันแล้ว ฉะนั้น…พวกเจ้าเอาไปใช้เถิดนะ!”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงสุดขีด!
การทำเจ้าสิ่งนี้เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและพลังวิญญาณอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าต่อให้พักฟื้นอยู่นาน พลังเหล่านั้นก็ใช้ว่าจะกลับมาเติมเต็มได้ง่ายๆ
ทว่าอวี้ฉือซงกลับทำมันออกมาตั้งสองอัน
นอกจากนี้ยังพูดอีกว่า เขาตั้งใจจะมอบให้อวี้ฉือหลางอันหนึ่ง และอีกอันก็…
“ท่านอาจารย์ ท่านพูดว่าจะมอบอีกชิ้นให้ผู้ใดหรือ?” ฉู่หลิวเยว่ถามเบาๆ
อวี้ฉือซงหัวเราะอย่างขมขื่น
“อ่า ข้านี่มัน เอาแต่เรียกนางว่าเสี่ยวเยว่ พอดีว่ามันชินปาก อันที่จริงแล้ว…นางคืออดีตองค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์เทียนลิ่ง แต่นางได้จากไปแล้ว เจ้าอาจไม่เคยได้ยินชื่อนาง แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่จะไม่รู้”
เขาถูนกหวีดในมือไปมา
“พูดตามตรง นางเปรียบเสมือนทั้งอาจารย์และศิษย์ของชงซูเก๋อ เดิมทีในฐานะอาจารย์ของนาง ข้าวางแผนจะมอบสิ่งนี้ให้นางในวันอภิเษกสมรส แต่คาดไม่ถึงว่า…นางจะจากไปแบบไม่หวนกลับ และข้า…ก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว”
จิตใจของฉู่หลิวเยว่ว่างเปล่า ร่างกายของนางแข็งทื่อ ก่อนจะรับนกหวีดนั่นมา
นางใช้นิ้วถูราวกับว่ามีอันใดสลักอยู่ พลางพลิกมันไปมา
ตรงข้างบนมีคำว่า “เยว่” ตัวเล็กๆ ถูกสลักไว้
เชียงหว่านโจวที่อยู่ข้างๆ เองก็รับนกหวีดมา ก่อนจะหันไปเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของฉู่หลิวเยว่ พลางทำทีเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ
ทว่าครั้งนี้เขากลับมองเห็นตัวอักษรที่ถูกสลักไว้บนนั้น
เด็กหนุ่มชะงักทันควัน
“นามของนางคือ “เยว่” หรือ?”
อวี้ฉือซงพยักหน้ารับ
“ใช่แล้ว นั่นเป็นชื่อของเสี่ยวเยว่ และบังเอิญที่ชื่อของหลิวเยว่เองก็มีคำว่า ‘เยว่’ อยู่ในนั้นด้วย นี่อาจเป็น…โชคชะตากระมัง? หลิวเยว่ เจ้าไม่ได้คิดมากใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงยหน้าขึ้น พร้อมยิ้มสดใส
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างใด? นี่เป็นของขวัญจากท่านอาจารย์เชียวนะ แน่นอนว่ามันมีค่ามาก หากนางรู้ว่าท่านปฏิบัติต่อนางอย่างดีเช่นนี้ นางคงจะมีความสุขมากแน่ๆ”
อวี้ฉือซงถอนหายใจ
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น!”
ฉู่หลิวเยว่ระงับคลื่นในใจของนางไว้ และค่อยๆ กระชับนกหวีดที่รับมาอย่างระมัดระวัง
ผิดกับเชียงหว่านโจวที่ยังตกตะลึงไม่หาย
จากนั้นเขาก็หันไปมองอวี้ฉือซง พลางถาม
“…ท่านอาจารย์ ท่านว่าเสี่ยวเยว่ผู้นั้น เคยไปเยือนชายแดนทางใต้หรือไม่?”
อวี้ฉือซงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว
“ชายแดนทางใต้มันอันตรายเกินไป นางไม่น่าเคยไปที่นั่นหรอก”
สีหน้าของเชียงหว่านโจวเต็มไปด้วยความผิดหวัง
จนฉู่หลิวเยว่ต้องแอบถอนหายใจ
เด็กนี่คงคิดเรื่องการตามหาอีกแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหาเจอเสียที
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ท่านอาจารย์ ความจริงแล้ววันนี้พวกข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบ ตรงสวนสมุนไพรเก่าของชงซูเก๋อ…พื้นดินตรงนั้นปนเปื้อนไปด้วยสารพิษ ท่านเองก็น่าจะรู้ใช่หรือไม่?”
สีหน้าของอวี้ฉือซงเปลี่ยนไปทันที
“พวกเจ้าไปที่ใดมา?”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับอย่างไว
“ท่านอย่าเพิ่งโกรธ และอย่าเพิ่งร้อนใจไป โปรดฟังศิษย์ให้จบก่อน วันนี้ข้ากับเสี่ยวโจวพบสิ่งผิดปกติในสถานที่แห่งนั้น เลยพากันไปตรวจสอบ…”
“พวกเจ้าเข้าไปแล้วหรือ?” อวี้ฉือซงเริ่มไม่สบายใจ
เด็กพวกนี้ช่างบ้าบิ่นเกินไปแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่กระแอมเบาๆ
“ท่านอาจารย์ พวกเราปลอดภัยดี แค่นี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ? นอกจากนี้เราก็พบว่าใต้ดินนั้นมีบางสิ่งซ่อนอยู่ นั่นก็คือทรายรวมศูนย์ ท่านเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่?”
อวี้ฉือซงขมวดคิ้ว
“ทรายรวมศูนย์หรือ? มันคืออันใดกัน?”
ฉู่หลิวเยว่จึงอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เขาฟังสั้นๆ
การแสดงออกของอวี้ฉือซงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง
แต่พอถึงช่วงที่ฉู่หลิวเยว่เสนอให้ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ในที่สุดอวี้ฉือซงก็ลุกพรวดขึ้นอย่างหมดความอดทน พลันเอ่ยเสียงเข้ม
“ข้าไม่เห็นด้วย!”