ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 571 สงสัย
ตอนที่ 571 สงสัย [รีไรท์]
ณ พระราชวังเทียนลิ่ง
เจียงอวี่เฉิงมาถึงตำหนักฮวาหยางด้วยท่าทีรีบร้อน
เมื่อบรรดานางสนมเห็นเขา ต่างก็พากันคำนับเสียงเซ็งแซ่ด้วยความนอบน้อม
“ถวายบังคม ราชบุตรเขย”
เจียงอวี่เฉิงเอ่ยถามเสียงเข้ม
“องค์หญิงสามเล่า?”
นางสนมผู้หนึ่งตอบว่า
“องค์หญิงสามเพิ่งเข้าประทับที่ห้องโถงด้านข้าง…”
เจียงอวี่เฉิงได้ยินดังนั้นก็รีบมุ่งไปยังห้องโถงด้านข้างทันที
ทว่านางสนมสามสี่คนรีบขัดขวางเขาไว้
“ท่านราชบุตรเขย หลายวันมานี้องค์หญิงสามบรรทมได้ไม่สนิทนัก บัดนี้พระองค์เพิ่งบรรทมลงได้ มิเช่นนั้นท่านรออีกสักหน่อยเถิด?”
เจียงอวี่เฉิงสายตาเย็นเยียบไร้ซึ่งแวว
“ข้ามาหาองค์หญิงสามเพื่อปรึกษาธุระ ถ้าหากว่าเรื่องล่าช้าจนเสียงาน เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือไม่?”
นางสนมเหล่านี้พากันสะดุ้งโหยง ต่างพากันมองหน้ากันไปมาอย่างตื่นตระหนก
ฉานอี้ได้รับคำสั่งว่า สองวันนี้ไม่ว่าผู้ใดต้องการเข้าพบองค์หญิง ล้วนต้องปฏิเสธไปให้หมด ทว่าคนผู้นี้กลับเป็นราชบุตรเขยเสียนี่…
เจียงอวี่เฉิงก้าวขาเตรียมเดินตรงไปข้างหน้า
ในตอนที่เขากำลังจะถึงประตูนั้น ฉานอี้ผู้ซึ่งยืนอยู่หน้าประตูก็คำนับเขาทีหนึ่ง
“ราชบุตรเขย บัดนี้องค์หญิงสามกำลังพักผ่อน หวังว่าท่านจะอดทนรอสักประเดี๋ยว”
เจียงอวี่เฉิงฉีกยิ้มเย็นเยียบ
“ข้าคือราชบุตรเขยขององค์หญิงสาม ข้าเข้าพบนางได้หรือไม่ ยังต้องฟังนางสนมเช่นเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ในใจฉานอี้รับรู้ได้ว่าเขากำลังมีโทสะ ฉับพลันนางก็คุกเข่าลง
“ฉานอี้มิกล้า เพียงแต่ว่าองค์หญิงสาม…”
“หากเกิดอันใดขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง!”
พูดจบ เจียงอวี่เฉิงก็เดินอ้อมตัวนาง ตรงไปยังหน้าประตูก่อนใช้มือผลักไปทางประตู
ฉานอี้มองไปยังเขาด้วยความตึงเครียดอย่างมาก
เจียงอวี่เฉิงปรายสายตาเย็นเยียบมองนางแวบหนึ่ง แล้วผลักประตูเข้าไป!
เขาเดินตรงเข้าไปข้างใน อ้อมผ่านหลังม่านกั้น สายตาบรรจบเข้ากับซั่งกวนหว่านที่กำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่บนตั่งเล็ก
เมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว คิ้วงามขมวดเป็นปม ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมา
“…อวี่เฉิง? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างใด?”
สีหน้าของนางอ่อนล้าและระโหยโรยแรง ใต้ดวงตามีรอยจ้ำเลือดอยู่สองจุด เห็นชัดเลยว่าระยะนี้นางไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยจริงๆ
เมื่อนางตระหนักได้ว่าเป็นเจียงอวี่เฉิง ที่รีบร้อนพุ่งเข้ามาหานางโดยไม่ทันได้คาดคิด ใบหน้าของนางพลันปรากฏประกายโทสะพาดผ่านสีหน้า
“ฉานอี้! ข้าบอกกับเจ้าว่าอย่างใด!”
ฉานอี้กดหัวคิ้วลงต่ำ
“ข้าทำงานไม่ได้ความ ขอองค์หญิงสามโปรดลงทัณฑ์!”
เจียงอวี่เฉิงเดินเข้าไปหา
“ไม่ต้องสนใจนาง เป็นข้าเองที่ห่วงเจ้า อีกทั้งยังยืนกรานจะเข้ามาให้ได้ เจ้าเองก็รู้ว่าพวกนางมิกล้าขวางข้าไว้หรอก”
สีหน้าของซั่งกวนหว่านอ่อนลงอยู่บ้าง
“ออกไปคุกเข่าสำนึกผิดด้วยตนเองสองชั่วยาม!”
“เพคะ!”
ฉานอี้รับคำ ก่อนจะออกไปคุกเข่าอย่างซื่อตรงต่อหน้าที่
เจียงอวี่เฉิงทรุดลงนั่งข้างกายซั่งกวนหว่าน จัดการรวบเรือนผมอันยุ่งเหยิงของนางมาเก็บให้เรียบร้อย
“หลายวันมานี้เจ้าหลับไม่สนิทเลยหรือ? เหตุใดมิจุดกำยานให้จิตใจผ่อนคลายเล่า?”
ซั่งกวนหว่านล้มตัวลงนอนอีกรอบ
“จุดแล้ว แต่ไม่ช่วยอันใด”
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ
“มิรู้ว่าเหตุใด ช่วงนี้จิตใจข้ากระวนกระวายยิ่งนัก บางคราข้าเองก็ฝันร้ายด้วย…”
เจียงอวี่เฉิงปลอบขวัญนางอยู่พักใหญ่
และในที่สุด ซั่งกวนหว่านก็เอ่ยถามขึ้นมา
“กลับมาที่เรื่องของเรา วันนี้เจ้ามาได้อย่างใด?”
เจียงอวี่เฉิงหลบสายตานางแวบหนึ่ง
“วันนี้ข้ารู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก จึงคิดมาหาเจ้า อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าวันก่อนเจ้าเรียกตัวหยางเซิ่นเอ๋อร์เข้าวัง?”
ซั่งกวนหว่านเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม
เขามาเพราะเรื่องนี้จริงๆ
“ใช่แล้ว”
เจียงอวี่เฉิงพินิจใบหน้าเยือกเย็นของนาง กลับไม่รู้ว่าควรจะถามอย่างใดต่อไปจึงจะดี
เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“เจ้ายังไม่ได้ส่งนางกลับใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าซั่งกวนหว่านลึกล้ำขึ้น
“ใช่ ข้าเรียกนางมา และบอกนางว่า ครั้งก่อนที่นางเล่าว่าอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งนั้นดีงามไปหมดทุกสิ่ง กระบี่หลงหยวนเองก็ยังอยู่ดี แต่สิ่งที่นางพูดมาเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก”
ความจริงแล้ว เจียงอวี่เฉิงคาดเดาถึงผลลัพธ์ข้อนี้ได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย
“นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหรอกหรือ? สำหรับหยางเซิ่นเอ๋อร์ แม้การที่นางหลอกพวกเราจะไม่ถูกต้องนัก แต่ข้าคิดว่านางคงเข้าใจผิดเท่านั้น หาได้ตั้งใจไม่ ที่จริง ไม่มีผู้ใดคิดเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นมิใช่หรือ? เพียงแค่สั่งสอนเล็กน้อยเท่านั้น ปล่อยนางกลับไปเถิด”
ซั่งกวนหว่านเปล่งเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง
“เจ้ากังวลอันใด? ข้าว่านิสัยกล้ายอมรับผิดของนางไม่เลว ไม่มีสิ่งใดร้ายแรง ให้นางอยู่ในวังต่ออีกสักวันสองวัน เหตุใด มีอันใดผิดปกติเช่นนั้นหรือ?”
สีหน้าของเจียงอวี่เฉิงเย็นเยียบลง
“หว่านเอ๋อร์ เจ้าหุนหันเกินไปแล้ว ชีพจรตี้จิงของนางไม่เลวก็จริง แต่ก่อนหน้าพวกเราคุยกันแล้วมิใช่หรือ อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม เจ้ารั้งตัวนางให้อยู่ในวังต่อด้วยเหตุใด? เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าวางแผนจะทำอันใด?”
ซั่งกวนหว่านมองเขาอย่างเย็นชา สายตาแฝงแววเสียดสี
“เจ้ามาเพื่อถามตัวข้าเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้?”
เจียงอวี่เฉิงเห็นท่าทีดื้อรั้นของนาง ในใจเกิดโทสะแรงกล้า ผุดลุกขึ้นทันทีทันใด
“เจ้า…”
“ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูแว่วเข้ามา
“องค์หญิงสาม ได้ยินว่าพระองค์ตื่นแล้ว ข้าต้มโจ๊กผลกุ้ยหยวนกลิ่นมะลิมาให้ พระองค์เสวยเสียหน่อยเถิด?”
สิ้นสุ้มเสียงนั้น เจียงอวี่เฉิงตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาหันศีรษะกลับไปมองต้นเสียง
นี่มัน ชัดเจนแล้วว่าเป็นเสียงของหยางเซิ่นเอ๋อร์!
เขามองไปยังซั่งกวนหว่านอย่างระแวง
“เจ้าคงไม่คิดที่จะ…”
ทว่าซั่งกวนหว่านกลับไม่มองเขา นางเพียงเอ่ยตอบอย่างเกียจคร้าน
“เข้ามาสิ”
“ครืด”
ประตูหน้าถูกเปิดออก สตรีนางหนึ่งเดินถือถ้วยโจ๊กเข้ามา
เป็นหยางเซิ่นเอ๋อร์ไม่ผิดแน่!
เจียงอวี่เฉิงกวาดสายตามองร่างของนางอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง ดูแล้วไร้ซึ่งความผิดแปลกใดๆ
“ถวายบังคม ราชบุตรเขย”
หยางเซิ่นเอ๋อร์คำนับเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะวางถ้วยโจ๊กลง
“ข้าบอกเจ้าไปหลายรอบแล้วว่าข้าถูกชะตาเจ้า จึงอยากให้เจ้าอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางสนมก็พอแล้ว”
หยางเซิ่นเอ๋อร์แย้มยิ้มอ่อนโยน
“เซิ่นเอ๋อร์เข้าใจแล้วเพคะ”
ซั่งกวนหว่านโบกมือ
“ข้ากับราชบุตรเขยยังมีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกัน เจ้าออกไปก่อน”
“รับทราบเพคะ อย่าลืมดื่มโจ๊กถ้วยนี้นะเพคะ ถ้าเย็นแล้วมันจะเสียรสชาติ”
พูดจบ หยางเซิ่นเอ๋อร์คำนับก่อนถอยออกไป อีกทั้งไม่ลืมปิดประตูไว้อีกด้วย
เมื่อนางเดินลับออกไปแล้ว ซั่งกวนหว่านก็หันมาเผชิญหน้ากับเจียงอวี่เฉิง ก่อนจะเชิดคางขึ้น
“ถ้าหากว่าเจ้ามีอันใดสงสัย ก็ลองตรวจสอบโจ๊กถ้วยนั้นเสียสิ”
เอ่ยคำพูดทิ่มแทง สายตาตวัดมองจิกกัด
เจียงอวี่เฉิงอับจนหนทางอย่างหาได้ยาก
หรือว่าเป็นเขาเข้าใจผิดไปเองจริงๆ…
แต่อารมณ์ของนางก่อนหน้านี้ ดูอย่างใดก็ไม่มั่นคง อีกทั้งได้ปะเข้ากับหยางเซิ่นเอ๋อร์อีก ในใจบังเกิดความกังวลที่ยากจะหลีกเลี่ยง และเอาแต่คิดว่านาง…
“เป็นข้าที่คิดผิดเอง”
เจียงอวี่เฉิงเอากำปั้นจรดที่ริมฝีปาก กระแอมไอครั้งหนึ่ง
“หว่านเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้มีโทสะ ข้าผิดไปแล้ว”
ซั่งกวนหว่านมิได้กล่าวความอันใด เพียงแค่มองไปทางเขา
เจียงอวี่เฉิงที่ถูกจับจ้องด้วยสายตาของนางนั้นแทบจะยืนนิ่งไม่ได้เพราะความประหม่า ทำได้แค่เอ่ย
“ระยะนี้เจ้าแทบมิได้พักผ่อน ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว นอนเสียเถิด เรื่องอื่นใดยกให้ข้าจัดการ ไม่ต้องเป็นกังวล”
พูดจบ เขาก็ไม่รอให้ซั่งกวนหว่านตอบกลับ พลันหมุนกายจากไปด้วยท่าทีรีบร้อน
รอจนเงาร่างของเขาหายไปจากนอกตำหนักได้สักพัก ซั่งกวนหว่านถึงได้ส่งเสียง ‘เฮ้อ’ แผ่วเบาออกมาเสียงหนึ่ง เอี้ยวกายหยิบโจ๊กถ้วยนั้นขึ้นมา
ยามใช้ช้อนคนเบาๆ ก็มีรอยเลือดสายหนึ่งรินไหลออกมา
ใบหน้าของนางไม่เปลี่ยนไปสักนิดเดียวยามยกโจ๊กขึ้นดื่ม
ผ่านไปพักหนึ่ง หยางเซิ่นเอ๋อร์ก็เดินกลับเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเห็นว่าซั่งกวนหว่านดื่มโจ๊กถ้วยนั้นจนหมด นางก็เก็บถ้วยนั้นให้พ้นครรลองสายตาด้วยความว่องไว
ซั่งกวนหว่านคิดใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า
“วันนี้เจ้ากลับไปเสียเถิด”
หยางเซิ่นเอ๋อร์รู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้าง
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ ท่านพูดว่าให้อยู่ต่ออีกห้าวัน…”
“หากเจ้าอยู่ในวังต่ออีกสองวัน คงมิแคล้วถูกเขาสงสัยอีกเป็นแน่ อยู่ต่อไปย่อมไม่เหมาะสม”
วันนี้เจียงอวี่เฉิงอาจเชื่อคำนาง ทว่าเขาผู้นี้ขี้ระแวงนัก เป็นไปได้มากทีเดียวว่าจะวกกลับมาตรวจสอบต่อ
หยางเซิ่นเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบไป
“เพคะ องค์หญิง”