ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 611 หัวใจ
ตอนที่ 611 หัวใจ [รีไรท์]
กลางลานบ้านนั้นเงียบกริบ
ในใจของเจียงอวี่จือก็เต็มไปด้วยความตกใจและประหม่า
เหตุใดท่านพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?
ช่วงนี้เขามีเรื่องยุ่งที่ต้องจัดการไม่ใช่หรือ?
แล้วเขารอนางมานานขนาดไหนแล้วเนี่ย?
ที่สำคัญที่สุดก็คือ…เขารู้เรื่องที่วันนี้นางออกไปสร้างความวุ่นวายมาหรือเปล่า?
ขณะเดียวกันเอง ภายในสมองของเจียงอวี่จือก็มีเรื่องราวให้คิดทบทวนมากมาย นางจึงไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างใดดี
“พูดมาสิ!”
เจียงอวี่เฉิงตะโกนขึ้นมาอย่างหมดความอดทน
“วันนี้เจ้าไปที่ใดมา?”
เจียงอวี่จือถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้เรื่องนั้น…
นางยืนอยู่กลางเรือน และพยายามซ่อนใบหน้าและร่างกายของตนเองไว้ในความมืดมิด
ขอเพียงแค่พี่ชายไม่เห็นใบหน้าของนาง นางก็มีหวังที่จะสามารถรอดจากเรื่องนี้ไปได้…
“ข้า…วันนี้ข้าไปที่หอร้อยโอสถมา…”
นางพูดขึ้นด้วยเสียงเบา
แต่เจียงอวี่เฉิงกลับขมวดคิ้วแน่นขึ้น
“เจ้าไปที่นั่นด้วยเหตุใด?”
“ข้าเพียงแค่อยากไปซื้อสมุนไพรเล็กน้อยเท่านั้น…ครั้งที่แล้วข้าซื้อปะการังแห่งแผ่นดินมาไม่ได้ ข้าจึงจะไปดูว่ามีของอันใดที่ข้าจะถูกใจอีกหรือไม่…”
เจียงอวี่จือพูดขึ้นอย่างหวาดกลัว
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโมโหที่สุมอยู่ในอกของเขาก็ค่อยๆ จางลงไป
“เจ้าอยากได้อันใด แค่บอกมาก็พอแล้ว แต่เจ้าไม่ควรแอบออกไปเช่นนี้อีก ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่อย่าให้มีครั้งหน้าอีกเป็นอันขาด!”
เจียงอวี่จือรีบพูดขึ้นว่า
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”
เจียงอวี่เฉิงมองหน้านางแล้วหรี่ตาเบาๆ
“แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องไปยืนไกลขนาดนั้นด้วย? ก้าวขึ้นมาด้านหน้านี้สิ”
เจียงอวี่จือไม่ขยับตัว
เดิมทีเจียงอวี่เฉิงอยากจะสั่งสอนนางอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของเจียงอวี่จือ เขาจึงคิดว่าน้องคงแค้นใจกับเรื่องที่ตบหน้านางไปเมื่อก่อนนางนี้
เขาจึงสาวเท้าเข้าไปหานาง ในขณะเดียวกันก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เจ้าวางใจเถอะ หลังจากนี้…พี่จะไม่ลงไม้ลงมือกับเจ้าอีกแล้ว ขอเพียงแค่เจ้ายอมเชื่อฟังคำพูดของข้า…”
เจียงอวี่จือก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวทันที
ในที่สุดเจียงอวี่เฉิงก็รู้สึกได้ว่ามีอันใดบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาจึงขมวดคิ้วแล้วก้าวขึ้นไปด้านหน้า
“เจ้าฟัง…”
ใบหน้าบวมช้ำ เป็นสีม่วงเขียว ก็ปรากฏสู่สายตาของเขา
ใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงเต็มไปด้วยความตกใจ
“เจ้า…นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น!? ใครทำร้ายเจ้าจนมีสภาพเช่นนี้?”
เจียงอวี่จือก็คิดได้ว่านางไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไปแล้ว นางจึงได้เล่าเรื่องชายสวมหน้ากากที่มาขวางนางเอาไว้ในซอยตันให้เจียงอวี่เฉิงฟัง
แต่นางไม่ได้เล่าเรื่องที่นางทะเลาะกับเย่ว์หลิงในหอร้อยโอสถให้เขาฟัง นางพูดเพียงแค่ว่า นางไปเดินอยู่รอบๆ หอร้อยโอสถรอบหนึ่ง หลังจากออกมาก็โดนคนทำร้ายแล้ว
ใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงก็มืดครึ้มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ภายในสายตาก็เต็มไปด้วยความโกรธ!
นางคือน้องสาวแท้ๆ ของเจียงอวี่เฉิง!
ในซีหลิงมีใครบ้างที่ไม่รู้จักนาง?
ถ้าเขาจะสั่งสอนเอง ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นมารังแกนางนั่น เขาไม่มีวันยอมรับ!
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายไปปิดหน้าปิดตา เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตน…นั่นแปลว่าต้องมีการเตรียมตัวมาก่อนแล้ว!
“คนผู้นั้นมีรูปร่างเป็นอย่างใด เจ้าได้คุยอันใดกับเขาบ้างหรือไม่ เจ้ารู้สึกคุ้นเคยกับเขาบ้างหรือไม่?”
เจียงอวี่จือส่ายหน้าและร้องไห้
“คนผู้นั้นตั้งใจเปลี่ยนน้ำเสียง ข้ามองไม่ออกอยู่แล้ว อีกทั้งด้วยรูปร่างของเขานั้น เหมือนว่าข้าจะไม่เคยเห็นเขามาก่อน…”
นางไม่รู้จักคนผู้นั้นจริงๆ
เจียงอวี่เฉิงจ้องมองนางอยู่สักพัก
“อยู่ดีๆ แล้วเหตุใดถึงมีคนมาทำร้ายเจ้าได้ล่ะ? วันนี้ที่เจ้าไปข้างนอก เจ้าไปทำอันใดมากันแน่?”
เจียงอวี่จือหลบสายตาอย่างรู้สึกผิด และร้องไห้หนักขึ้น
“ข้า…ข้าไม่ได้ทำอันใดเลย…ข้าแค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้น ก็มีคนมารังแกข้าแล้ว…อีกทั้ง คนผู้นั้น ยังพูดอีกว่า…นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น…ท่านพี่ ข้ากลัว!”
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจของเจียงอวี่เฉิงก็รู้สึกสงสารอย่างมาก จึงต้องระงับความสงสัยที่มีในใจลงไป
แต่เมื่อได้ยินประโยคหลังของนาง ความโกรธที่มีอยู่ในใจก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
คนผู้นี้คือใครกันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะกำเริบเสิบสานขนาดนี้!
อีกทั้ง ยังกล้าข่มขู่นางอีกด้วย…
“อวี่จือ เจ้ากลับไปรักษาแผลก่อน เรื่องนี้ ข้าจะไปตรวจสอบเอง จะต้องจับคนผู้นั้นออกมาให้ได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาลอยนวลไปได้ง่ายๆ แน่นอน!”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองใบหน้าบวมช้ำน่ากลัวของเจียงอวี่จือ และพูดขึ้นมาด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ช่วงนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งออกจากจวนเลย”
เจียงอวี่จืออยากจะเอามือมาปิดหน้าตนเองไว้ แต่เมื่อเอามือมาสัมผัส มันก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา จึงทำได้เพียงกักเก็บความอัปยศที่อยู่ในใจเอาไว้ พร้อมพยักหน้าเบาๆ
หลังจากปลอบโยนเจียงอวี่จือเสร็จแล้ว เจียงอวี่เฉิงถึงได้สาวเท้าเดินออกมา
เมื่อเดินออกจากเรือนมาไม่กี่ก้าว เขาก็พูดขึ้นว่า
“ซุนฉี เจ้ารีบไปตรวจสอบ วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
“ขอรับ!”
“จำเอาไว้ ตรวจสอบหอร้อยโอสถเป็นสำคัญ”
“รับทราบขอรับคุณชายใหญ่!”
…
กลางดึก
ยอดเขาเยี่ยนหลิน
“ซึบ”
“ซึบ”
เสียงลับดาบดังขึ้นอย่างชัดเจนท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด
ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิอยู่บนศิลาดวงดาว และค่อยๆ ลับคมกระบี่เทพเมฆาสำริดไปอย่างช้าๆ
เมื่อเวลาผ่านมาหลายวัน นางก็ดูชำนาญขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางรู้ว่าควรออกกำลังอย่างใดถึงจะเหมาะสม
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ผลลัพธ์ในการลับคมกระบี่ของนางนั้นเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ที่สำคัญไปมากกว่านั้น กายเนื้อของนางก็แข็งแรงมากขึ้นหลายส่วน
ในวันแรก นางจะต้องพักเกือบทุกชั่วโมง วันที่สอง ทั้งสองแขน หลัง และไหล่ของนางก็ปวดระบมไปหมด
แต่ในตอนนี้ เดิมทีนางจะลับคมหนึ่งชั่วยามและหยุดหนึ่งครั้ง อีกทั้งความเจ็บปวดที่อยู่ในร่างกายก็หายไปหมดเช่นกัน
จึงทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย และทำให้นางลับคมกระบี่ได้นานมากยิ่งขึ้น
เหนือท้องฟ้ายามราตรี มีแสงจันทร์ส่องสว่าง
แสงจันทร์เย็นเฉียบส่องสะท้อนลงบนพื้น ทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่
นั่นคือเงาของศิลาดวงดาว
เหนือเงานั้น ยังมีเงาคนที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อลมพัดขึ้น ผมยาวสลวยของฉู่หลิวเยว่ก็พัดไปเล็กน้อย
แต่ทันใดนั้นเองก็มีประกายไฟเกิดขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง
ประกายไฟเมื่อครู่นี่มัน…
นางเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นก็ต้องกลั้นหายใจด้วยความสงสัย สองมือของนางจับด้ามกระบี่ไว้แน่น จากนั้นก็ลับกระบี่บนศิลาดวงดาวอีกครั้ง!
“ซึบ”
ในขณะที่กระบี่สัมผัสกับศิลาดวงดาว ประกายไฟที่สว่างเจิดจ้าก็เกิดขึ้นอีกครั้ง!
“ฮ่าๆ! แม่สาวน้อย ยินดีด้วย! ในที่สุดเจ้าก็สามารถลับกระบี่ถึงหัวใจของมันได้แล้ว!”
ทันใดนั้นเสียงขององค์ปฐมกษัตริย์ก็ดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่กระบี่เทพเมฆาสำริดที่อยู่ในมือ แล้วพูดขึ้นมาเสียงเบาว่า
“…หัวใจ?”
“ถูกต้อง! ตอนนี้เจ้ามาถึงส่วนหัวใจของมันแล้วส่วนหนึ่ง ขอเพียงแค่สามารถลับส่วนที่เหลือออกมาได้ เจ้าก็สามารถเรียกทัณฑ์สวรรค์มาหลอมกระบี่เล่มนี้ได้แล้ว!”
เสียงขององค์ปฐมกษัตริย์นั้นไม่สามารถปกปิดความดีใจของตนเองได้เลย
“เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะสามารถทำได้ แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะราบรื่นขนาดนี้!”
ฉู่หลิวเยว่เป็นคนฉลาดอย่างมาก อีกทั้งยังมีความเพียร หลายวันมานี้ นางไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยแม้แต่น้อย
ไม่แปลกใจที่นางสามารถเจียระไนหัวใจของมันออกมาได้ก่อนเวลา!
เมื่อได้ยินองค์ปฐมกษัตริย์พูดเช่นนั้น ก็รู้สึกดีใจมากเช่นกัน ในใจของนางก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมา
แม้ว่านางจะยังลับคมกระบี่ไม่สำเร็จด้วยซ้ำ แต่เมื่อเป็นเริ่มต้นที่ดีขนาดนี้ จึงทำให้นางรู้สึกคาดหวังมากยิ่งขึ้น
ไม่รู้ว่าเมื่อตอนที่กระบี่เล่มนี้สามารถลับคมได้อย่างสมบูรณ์แล้ว มันจะเป็นอย่างใด?
นางหยิบกระบี่เทพเมฆาสำริดขึ้นมา จากนั้นก็มองมันอย่างละเอียดครู่หนึ่ง
ตั้งแต่ปลายกระบี่จนถึงส่วนกลาง สามารถเห็นนกยูงสีฟ้าได้อย่างชัดเจนแล้ว โดยเฉพาะตำแหน่งของปลายกระบี่นอกจากสีสันที่สมบูรณ์และบริสุทธิ์แล้ว มันยังมีประกายแสงสีเงินแผ่ออกมาน้อยๆ ด้วย
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์อันใดบางอย่างขึ้นมาได้…นางจะสามารถลับคมกระบี่เล่มนี้ได้อย่างแน่นอน!