ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 618 ล่วงเกิน
ตอนที่ 618 ล่วงเกิน [รีไรท์]
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวกำลังเดินลงมาจากเขา ในที่สุดนางก็อดทนไม่ไหวแล้วถามขึ้นมาว่า
“เจ้ามอบของอันใดให้กับพวกศิษย์พี่หรือ?”
หรงซิวยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“เป็นสิ่งของที่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์ได้”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ผนึกศิลาขาว?”
หรงซิวยิ้มแต่ไม่ได้พูดอันใด
ฉู่หลิวเยว่ก็คิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
การมอบผนึกศิลาขาวนั้น เรียกได้ว่าเป็น “ของขวัญ” ที่สะดวกสบายและมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
“แต่ว่า…เหตุใดเจ้าถึงเตรียมมาเยอะขนาดนั้นเล่า? หรือว่าก่อนที่เจ้ามา เจ้าก็…”
“ตอนนี้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นซีหลิง สำนักชงซูเก๋อก็เป็นหนึ่งในสำนักที่มีความสำคัญอย่างมาก หากคิดจะสืบเรื่องพวกนี้ ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากเท่าไหร่”
“…แต่ว่าพริบตาเดียวเจ้าก็มอบของมากมายขนาดนั้น…”
“เหมือนว่าพวกเขาจะดีต่อเจ้า ของขวัญเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรมอบให้”
เมื่อเห็นว่าหรงซิวพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง สุดท้ายฉู่หลิวเยว่ก็อดที่จะดึงชายเสื้อของเขาเบาๆ ไว้ไม่ได้
“หรงซิว…เจ้าพูดความจริงมาเถอะ เจ้าเอาเงินมาจากที่ไหนมากมาย? เจ้าเอาเงินทั้งหมดเหล่านั้นมอบให้ข้า แล้วเจ้าล่ะจะทำอย่างใด?”
ตามที่ได้รู้จักหรงซิว ในเมื่อเขาลงมือแล้ว เงินจำนวนนั้นต้องไม่ได้เป็นเงินจำนวนน้อยอย่างแน่นอน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงินที่เขามอบให้นางเลย…
หรงซิวมองหน้านางด้วยรอยยิ้ม
“หากเยว่เอ๋อร์เป็นห่วงว่าข้าจะไม่มีเงินแล้วละก็…ไม่จำเป็นต้องกังวล เจ้า…ข้ายังพอจ่ายได้”
เยี่ยนชิงที่เดินตามมาด้านหลัง มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย
คาดไม่ถึงว่าคุณหนูหลิวเยว่จะสงสัยเกี่ยวกับที่มาของเงินนายท่าน…
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อย
ความจริงแล้วนางก็รู้ดีว่า ในเมื่อหรงซิวใจกว้างขนาดนี้ นั่นแสดงว่าเขาจะมีไม่ขาดแคลนเงินอย่างแน่นอน
นางแค่สงสัยว่า อีกฝ่ายทำได้อย่างใดต่างหาก…
หรือเพราะว่า ฐานะ “โอรสสวรรค์” ของเขา?
…
พวกเขาเดินทางมาถึงจวนที่อยู่ใจกลางซีหลิง
ฉู่หลิวเยว่พาทั้งสองคนเดินเข้าไป พร้อมพูดขึ้นว่า
“ข้าเองก็เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน และเพิ่งจะทำความสะอาดไป ในห้องมีอยู่หลายห้อง เจ้าไปดูได้ แล้วเลือกห้องที่เจ้าชอบ…”
สีหน้าของหรงซิวดูเกียจคร้าน
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น ห้องนี้ก็ดีมากแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองตามสายตาของเขา
“นั่นห้องของข้า…เจ้าอยากนอนห้องของข้าหรือ?”
หรงซิวขมวดคิ้ว
“เมื่อก่อนพวกเราก็ทำเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?”
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกขึ้น
เมื่อก่อน…
นางมองความคิดของหรงซิวได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงยอมแพ้
“ถ้าเจ้าอยากนอนห้องนั้นละก็ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ปกติข้ากลับมานอนที่แห่งนี้แค่ไม่กี่ครั้ง จะต้องไม่มีคนมารบกวนเจ้าอย่างแน่นอน”
หรงซิวเองก็ไม่ได้รังเกียจ
นางไม่มา เขาก็ไปหาได้
ฉู่หลิวเยว่อยู่เป็นเพื่อนเขาสักพัก ในที่สุดก็ออกจากที่นั่นมา
…
ตระกูลเจียง
“คุณหนูสี่ นี่คือยาแก้ช้ำที่คุณชายใหญ่ไปขอจากทางวังหลวงมาให้โดยเฉพาะ ได้ยินมาว่าใช้ติดต่อกันเพียงครึ่งเดือน ไม่ว่าบาดแผลใดๆ ก็จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ทั้งนั้น…”
บ่าวผู้หญิงคนนั้นพูดไปด้วย และทายาแก้ฟกช้ำให้เจียงอวี่จืออย่างระมัดระวังไปด้วย
เจียงอวี่จือหลับตาเอนกายอยู่บนเตียง และไม่ได้พูดอันใดต่อ
บ่าวผู้นั้นตักยาออกมาหนึ่งช้อน แล้วนวดบนใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
“ซี๊ด…โอ๊ย!”
นางเจ็บปวดเหมือนโดนน้ำแข็งกัดลงบนใบหน้า เจียงอวี่จือเจ็บมากจนร้องออกมาอย่างเจ็บปวด จากนั้นนางก็ลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะตบหน้าของบ่าวสาวผู้นั้น
เพียะ!
“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว! นี่เจ้าทำงานยังไงเนี่ย!”
บ่าวผู้นั้นที่โดนตบก็ล้มไปกองอยู่ที่พื้น ใบหน้าของนางมีรอยฝ่ามือปรากฏขึ้น ที่แขนก็รอยฟกช้ำและเลือดออก
แต่นางยังคงถือยาแก้ช้ำไว้ในมืออย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะทำมันหล่นแตกได้
หากโอสถขวดนี้แตกไป เกรงว่าชีวิตของนางก็คงไม่สามารถชดใช้ได้
“บ่าวผิดไปแล้ว! บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!”
นางรีบลุกขึ้น และไปคุกเข่าอยู่ข้างเตียงของเจียงอวี่จือ ก่อนจะก้มหน้ายอมรับผิด
เจียงอวี่จือมองนางอย่างรำคาญ หลังจากนั้นก็คว้าโอสถนั้นด้วยมือข้างเดียว
“ไสหัวไป!”
บ่าวคนนั้นรีบถอยตัวกลับไปด้วยความตกใจ
“เจ้าค่ะๆ!”
อย่างใดก็ตาม ตอนที่นางกำลังลุกขึ้นยืน เจียงอวี่จือกลับเหลือบสายตาเห็นใบหน้าขาวซีด เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา และมองไปที่นางด้วยท่าทางน่าสงสาร
นางกลับยิ่งรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม
“ไปคุกเข่าที่ด้านนอก! แล้วตบหน้าตนเอง! ถ้าเลือดออกเมื่อไหร่ค่อยหยุดเมื่อนั้น!”
บ่าวผู้หญิงคนนั้นรู้สึกตกใจอย่างมาก
“คุณหนูสี่…”
“ยังไม่ไปอีก!”
“…เจ้าค่ะ”
บ่าวผู้นั้นกัดฟันแล้วถอยตัวออกจากห้องไปนั่งคุกเข่าที่หน้าห้อง จากนั้นก็เริ่มตบหน้าตัวเอง
แต่ละครั้งที่นางตบ นางก็ใช้แรงอย่างมาก
เสียงตบดังมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดใจของนางก็รู้สึกสงบขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว จากนั้นนางก็เปิดฝาขวดยาแก้ช้ำ เตรียมตัวจะทาด้วยตนเอง
“นี่เจ้ากำลังทำอันใดอยู่?”
นางยังไม่ทันได้ทำอันใด แต่กลับได้ยินเสียงของเจียงอวี่เฉิงจากด้านนอกดังขึ้นมา
“เรียนคุณชายใหญ่ เป็นบ่าวที่ทำความผิด”
“แล้วมานั่งที่หน้าประตูคุณหนูสี่ได้อย่างใด เจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ”
“…ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ บ่าวขอตัวลา”
หลังจากนั้น เจียงอวี่เฉิงก็เดินเข้าห้องมา
“ช่วงหลายวันมานี้เจ้าสั่งสอนบ่าวไปห้าคนแล้ว นี่เจ้าจะก่อเรื่องไปถึงเมื่อไหร่?”
เจียงอวี่จือวางยาแก้ช้ำลงบนโต๊ะ เสียงดัง “ปึง” สีหน้าก็ดูย่ำแย่อย่างมาก
“ท่านพี่ ที่ท่านมาในวันนี้เพื่อมาสั่งสอนข้าหรือ? ข้าเป็นคุณหนูสี่ตระกูลเจียงนะเจ้าคะ หรือว่ามันผิดมากที่ข้าจะลงโทษบ่าวที่ทำผิดแค่ไม่กี่คน?”
เจียงอวี่เฉิงแค่นหัวเราะเสียงเบา
“เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เดิมทีบ่าวเหล่านี้ไม่ได้ทำผิดร้ายแรงอันใด เป็นเจ้าที่ยึดมั่นไม่ยอมปล่อย แต่เพราะเจ้าเป็นเจ้านาย เจ้าจึงต้องระวังมากขึ้น หากเรื่องนี้กระจายออกไป คนอื่นจะพูดว่าเจ้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้”
เจียงอวี่จือลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน แล้วเดินไปที่ด้านหน้าของเจียงอวี่เฉิง พร้อมพูดอย่างโมโหว่า
“หน้าของข้ากลายเป็นเช่นนี้แล้ว! หรือว่าท่านจะไม่ให้ข้าระบายอารมณ์บ้างเลย?!”
ใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงเย็นชามากขึ้น
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องพวกนี้ ข้าได้ส่งคนไปสืบเรื่องวันนั้นแล้ว”
เจียงอวี่จือโดนเขามองจนขนหัวลุก จึงอดเดินถอยไปไม่ได้
“ท่านพี่สืบได้ความว่าอย่างใด?”
เจียงอวี่เฉิงหัวเราะเสียงเย็น
“วันนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าเองน่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ? ข้าถามเจ้าอยู่ตั้งนาน แต่เจ้ากลับไม่ยอมพูดออกมา ว่าเจ้าไปก่อเรื่องที่หอร้อยโอสถเอาไว้!”
ตอนนั้นเองเจียงอวี่จือก็รู้สึกร้อนตัวขึ้นมาทันที
“ข้า…ข้าก็ไม่ได้ทำอันใด…”
“เจ้าไม่ได้ทำอันใด แต่เหตุใดถึงมีชื่ออยู่ในบัญชีดำของหอร้อยโอสถได้เล่าและเขายังพูดว่าจะไม่ค้าขายกับเจ้าอีกต่อไป”
ตอนที่เรื่องนั้นเกิดขึ้น ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ แค่สอบถามเล็กน้อยก็ได้คำตอบแล้ว
เจียงอวี่จือพูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนว่า
“แล้วอย่างใดเล่า? ในซีหลิงใช่ว่าจะมีร้านขายโอสถอยู่ร้านเดียวเสียเมื่อไหร่! พวกเขากล้าที่จะไม่ขายให้ข้าหรืออย่างใด?”
เมื่อเห็นท่าทางดื้อรั้นของนาง เจียงอวี่เฉิงก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว นางยังจะทำตัวไร้เดียงสา ไร้ความผิดอยู่อีก!
“เบื้องหลังของหอร้อยโอสถนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก แม้กระทั่งข้าเองก็ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับพวกเขา แต่เจ้ามีความกล้าขนาดนั้นได้อย่างใด? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเป็นคุณหนูสี่ของตระกูลเจียงมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้น?”
สีหน้าของเจียงอวี่จือเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สิ่งที่ท่านพี่พูดนั้นมันช่างไม่น่าฟังเกินไปแล้ว!
แต่นางยังไม่ทันพูดอันใดออกมา เจียงอวี่เฉิงก็พูดต่อว่า
“มิน่าล่ะหลังจากที่เจ้าออกมาได้ไม่นาน จึงถูกคนสะกดรอยตามและทำร้าย…เจ้ายังพูดอีกหรือว่าเจ้าไม่ได้ล่วงเกินใคร?”
ในที่สุดเจียงอวี่จือก็ได้สติคืนมา
“พี่ ท่านจะบอกว่าชายสวมหน้ากากผู้นั้น…เป็นคนจากหอร้อยโอสถหรือ?”