ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 623 อย่าทำให้ความพยายามของนางสูญเปล่า
ตอนที่ 623 อย่าทำให้ความพยายามของนางสูญเปล่า [รีไรท์]
เหนือท้องนภา กลุ่มเมฆดำเคลื่อนตัวมารวมกัน สามลมกู่ร้องคำราม พลันโลกทั้งใบก็มืดลงอย่างรวดเร็ว!
เกิดลมหมุนภูเขา พัดพาดใส่ใบไม้จนเกิดเสียงดัง
ฉู่หลิวเยว่ผุดลุกขึ้นยืน พลางกระชับกระบี่ในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ชายเสื้อของนางโบกสะบัด พร้อมกับผมสีดำยาวที่ปลิวไสว
ระหว่างท้องฟ้าและพื้นดินบนโลกที่มืดดับ นางคือดวงไฟที่เจิดจ้าที่สุด!
ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ก้อนเมฆสีดำที่ก่อตัวหนาขึ้นด้านบน และเพียงพริบตา ร่างที่เกือบจะโปร่งใสก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านาง
เขาคือ องค์ไท่จู่!
เขาลอยอยู่บนอากาศ และเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง
แม้ร่างนั้นจะเป็นเพียงจิตสำนึกที่หลงเหลืออยู่ แต่ก็ยังมีความโดดเด่นและสง่างาม
ดวงตาของเขากวาดฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า และในที่สุดก็ตกลงไปที่กระบี่เทพเมฆาสำริด แล้วพยักหน้าด้วยความชื่นชม
หลังจากขัดเกลามาเกือบเดือน กระบี่เทพเมฆาสำริดที่แต่เดิมมีขนาดใหญ่ ก็ได้ลดขนาดเล็กลงจนพอดีมือ
สีสนิมด้านนอกถูกขัดออกจนเกลี้ยงเกลา และเผยให้เห็นแก่นวิญญาณสีน้ำเงินที่อยู่ภายใน และแม้ในยามที่ท้องฟ้ามืดมิด มันก็ยังคงส่องแสงเรืองรอง และบริสุทธิ์ออกมาจางๆ
“สาวน้อย ไม่ว่าเจ้าจะลับคมกระบี่ได้สำเร็จหรือไม่ แต่ก็ถือว่าเจ้าได้ลงมือทำแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เกร็งไปทั้งตัว พลางพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม
“เช่นนั้น ก็ขอเชิญองค์ไท่จู่…”
เพียงพริบตา องค์ไท่จู่ก็ยกเท้าขึ้น พลันร่างนั้นก็ดีดพุ่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าร่างเสมือนลูกศรที่ถูกปล่อยออกจากคันธนู
ทันใดนั้นการบีบบังคับอันทรงพลัง ก็หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขา!
เหนือก้อนเมฆหนาทึบ พลังงานจากสวรรค์และโลกนับไม่ถ้วนกำลังรวมตัวกันอย่างดุเดือด พลันเกิดกระแสแห่งความผันผวนขึ้น!
กระแสความผันผวนของพลังปราณเริ่มขยายตัว ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และกลืนกินเมฆสีดำที่อยู่รายล้อมทั้งหมดเข้าไป
หากมองจากด้านล่างแล้ว ก็จะเห็นเหมือนภาพดวงตาสีดำขนาดใหญ่ ที่ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า
มันทั้งมืดมน ลึกล้ำและกว้างใหญ่
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับตกตะลึง!
ถึงตอนนี้องค์ไท่จู่จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตสำนึกที่หลงเหลืออยู่ แต่เขาก็ยังสามารถแสดงแสดงอภินิหารเช่นนี้ได้
พลังปราณที่มหัศจรรย์เช่นนี้ แม้แต่นักรบระดับเก้าก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
ในใจของนางแอบสงสัยว่า องค์ไท่จู่ในตอนนั้นไม่สามารถทะลวงขอบเขตได้จริงๆ หรือ…
ทว่ามันก็เป็นเพียงความคิดชั่ววูบเท่านั้น
ขณะเดียวกันกระบี่เทพเมฆาสำริดในมือนางก็สั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง!
พรึบ!
ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้าลงมอง
ก่อนจะเห็นเปลวไฟสีน้ำเงินลุกซู่ขึ้นบนกระบี่เทพเมษาสำริด!
ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ กระบี่เล่มงามก็ยิ่งสั่นสะท้าน!
ราวกับว่ามันถูกเรียกโดยพลังงานบางอย่าง และกำลังจะหลุดออกไปจากมือของนาง!
ฉู่หลิวเยว่กำมือทั้งสองข้างแน่นและยกกระบี่ขึ้นสูง
จนฝ่ามือของนางเริ่มชา
โชคดีที่การขัดเกลาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้น ได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายของนางอย่างมาก ไม่เช่นนั้น ตอนนี้นางคงทิ้งกระบี่เล่มนี้ไปแล้วแน่ๆ
ตู้ม!
ทว่า จู่ๆ ก็มีเสียงดังตู้ม
นางเงยหน้าขึ้นมองทันควัน
เหนือท้องฟ้า มีคลื่นความผันผวนของพลังปราณสีดำขนาดใหญ่กำลังหมุนอย่างช้าๆ และเสียงนั้นก็มาจากมัน
ท่ามกลางท้องนภาอันมืดมน เกิดอสนีบาตสีเงินฟาดผ่า และเคลื่อนตัวไปมาราวงูที่กำลังเลื้อยอยู่ในนั้นอย่างดุเดือด!
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากแน่น พลังภายในของนางไหลเวียนเร็วมากจนแทบปะทุออกมา!
เพียงพริบตา อัสนีบาตสายนั้นก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็วและความแรงที่น่าอัศจรรย์ มันพุ่งใส่ฉู่หลิวเยว่โดยตรง!
เปรี้ยง!
มันฉีกกระชากทะลุห้วงอากาศออกมา ราวกับพุ่งออกมาจากรอยแยกของท้องฟ้าสีดำ
มันทรงพลังเสมือนมือล่องหนที่กำลังแบ่งแยกโลก และสวรรค์ให้ออกจากกัน
ตู้ม!
ทันใดนั้น ลำแสงสีเงินแวววาวก็ตกลงบนกระบี่เทพเมฆาสำริด!
มีแสงสะท้อนเจิดจรัสพร่าตา
ทั้งฉู่หลิวเยว่ และแม้แต่ครึ่งหนึ่งของยอดเขาเยี่ยนหลิน ก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยแสงจ้าแทบจะในทันที
ฉู่หลิวเยว่มือสั่นจนสัมผัสได้!
พลังอันน่าสะพรึงกลัวหลั่งไหลออกมาจากกระบี่เทพเมฆาสำริด และแพร่กระจายไปทั่วร่างของนางอย่างเร็ว
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วกายบาง!
ราวกับว่าเนื้อและกระดูกของนางกำลังโดนฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ
พร้อมกลิ่มไหม้ของบางสิ่งที่กำลังถูกเผา
พลันมีแผลไหม้พุพองปรากฏขึ้นบนผิวหนังของนาง รวมทั้งรอยไหม้สีดำที่ทำเอาคนมองถึงกับตื่นตระหนก!
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันแน่น ไม่ว่าจะเจ็บเพีบงใด นางก็สามารถกรีดร้องออกมาได้
องค์ไท่จู่ที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าขมวดคิ้วเมื่อเห็นฉากนี้ พลันกำหมัดแน่น
“อดทนไว้…สาวน้อย”
โดยปกติแล้ว ผู้ที่กล้ากระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ และใช้ตัวเองเป็นภาชนะให้กับอาวุธโบราณนั้น จะต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ซึ่งฉู่หลิวเยว่ในปัจจุบันนั้นแทบไม่ใช่นักรบระดับห้าด้วยซ้ำ
แต่แล้วนางกลับกล้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ และความจริงแล้ว นางยังต้องทนรับความเจ็บปวดมากกว่าคนอื่นๆ ด้วย
แต่ไม่ว่านางรับทัณฑ์สวรรค์ครั้งแรกได้หรือไม่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวกำหนดว่ากระบวนการทั้งหมดนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลว!
ขอเพียงแค่นางอดทนจะถึงที่สุด…
ทว่าทันใดนั้น สีหน้าขององค์ไท่จู่ก็เปลี่ยนไป พลันมองไปยังภาพเบื้องหน้า
ไกลออกไป มีเงาของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังวิ่งขึ้นมาบนยอดเขาเยี่ยนหลิน
เขาคือ เชียงหว่านโจว!
เมื่อสองวันก่อน ฉู่หลิวเยว่รับรู้แล้วว่านางใกล้จะลับคม และขัดเกลากระบี่เสร็จแล้ว นางจึงแจ้งเชียงหว่านโจวไว้ล่วงหน้าว่านางจะขึ้นมาหลอมกระบี่เทพเมฆาสำริดบนยอดเขาเยี่ยนหลิน
ตอนนั้นนางเตือนเชียงหว่านโจวว่า ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นก็ห้ามเข้าใกล้ยอดเขาแห่งนี้เด็ดขาด
หากนางหลอมกระบี่เสร็จเรียบร้อย นางจะกลับลงไปเอง
ดังนั้นฉู่หลิวเยว่จึงอยู่ลับคมกระบี่บนยอดเขาทั้งวันทั้งคืน และเชียงหว่านโจวก็คอยลอบสังเกตการณ์จากบนภูเขาชิงหยวนทั้งวันทั้งคืนเช่นกัน
เดิมทีก่อนหน้านี้ทุกอย่างอยู่ในความสงบ แต่เมื่อเขาเห็นทัณฑ์สวรรค์ตกลงมาใส่ฉู่หลิวเยว่โดยตรง เชียงหว่านโจวก็จนควบคุมตัวเองไม่ได้ และรีบวิ่งมาทันที
อย่างใดก็ตาม เวลานี้ทั่วทั้งยอดเขาเยี่ยนหลิน ถูกปกคลุมไปด้วยพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์ รวมทั้งความคลั่งไคล้ และความน่าสะพรึงกลัวที่กำลังบีบอัดอย่างบ้าคลั่ง ต้นไม้ที่อยู่โดยรอบได้รับผลกระทบ และถูกทำลายไปทีละน้อย
เรียกได้ว่าเป็นการทำลายล้างได้เลยทีเดียว
เชียงหว่านโจวกำหมัดแน่น และระดมพลังภายในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
ทว่าในขณะที่เขากำลังจะใช้พลังของตัวเอง ม่านพลังที่มองไม่เห็นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
พร้อมกับเสียงทุ้มลึกที่ดังอยู่ในรูหู
“ถ้าไม่อยากเป็นภาระให้นาง ก็จงถอยออกไป!”
เชียงหว่านโจวขมวดคิ้วมุ่น พลันเงยหน้ามอง!
ทว่าแสงแวววาวเจิดจ้า และลมกรรโชกนั้นทำให้เขามองไม่เห็นอันใดสักอย่าง แม้แต่เงาของฉู่หลิวเยว่เองก็ยังพร่าเลือนไปหมด
จิตใจของเขาเริ่มอยู่ไม่สุข แต่ในขณะที่กำลังจะพุ่งตัวไปข้างหน้าโดนไม่สนใจคำเตือน เสียงทุ้มนั่นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“นางกำลังหลอมกระบี่ให้เจ้าอยู่”
เชียงหว่านโจวที่ก้าวไปได้ครึ่งก้าวแล้ว จำต้องหยุดกะทันหัน ดวงตาของเขาฉายแววตื่นตระหนก
ก่อนหน้านี้เขาพอจะได้ฟังเรื่องนี้จากฉู่หลิวเยว่มาบ้าง แต่ครั้นได้เห็นนางโดนทัณฑ์สวรรค์ฟาดใส่เช่นนั้น มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการของเขาไปมากโข
ทว่ายามได้ยินประโยคเมื่อครู่ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าความเจ็บปวด และความทรมานที่ฉู่หลิวเยว่กำลังประสบอยู่ในขณะนั้น ล้วนเป็นเพราะเขา
ตอนนี้เขาทั้งรู้สึกผิด สำนึกผิด และเจ็บปวด…
ราวกับมีมือล่องหนกำลังบีบเค้นหัวใจของเขา จนเขาหายใจไม่ออก!
“หากเจ้าเข้ามา ไม่เพียงแต่จะเป็นภาระ แต่ยังจะทำให้นางขาดสติด้วย เช่นนั้นความทรมานที่นางต้องแบกรับ ก็จะสูญเปล่า!”
ทุกคำที่เอ่ยออกมานั้นเปรียบเสมือนค้อนหนักๆ ที่ทุบลงมากลางใจของเชียงหว่านโจว!
เขากำหมัดแน่นจนอุ้งมือเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด และท้ายที่สุด เขาก็ยอมถอยออกไป