ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 633 ยอมแพ้
ตอนที่ 633 ยอมแพ้
เชียงหว่านโจวยืนงุนงงอยู่ที่เดิมมาสักพักใหญ่
นางชนะแล้วหรือ?
ครรลองสายตาของเขาหยุดอยู่ที่แผ่นศิลาสีดำด้านหน้าร่างของนาง ดูท่า ค่ายกลด้านบนคงถูกกางเสร็จเรียบร้อยแล้ว
อีกทั้งเหมิงจิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็มองแผ่นศิลาสีดำฝั่งตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ค่ายกลครึ่งส่วนที่อยู่ด้านบนแตกกระจายไปแล้ว! ในที่สุดก็สลายไปอย่างสมบูรณ์
นี่ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ฉู่หลิวเยว่กางค่ายกลครึ่งหนึ่งของนางเรียบร้อยแล้วจริงๆ และยังทำลายค่ายกลทั้งหมดของเขาอีกด้วย
ใบหน้าของเขาขาวซีด พึมพำไม่หยุดว่า
“นี่เป็นไปได้อย่างใด…”
การแข่งขันเพิ่งเริ่มต้น เขายังไม่ทันได้คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะเริ่มเช่นไร ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับทำสำเร็จแล้ว
เขาพลันเงยศีรษะขึ้นมา เอ่ยตะโกนด้วยสีหน้าเดือดดาล
“เจ้าโกง เจ้าต้องโกงแน่ๆ”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว เลื่อนสายตาชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่ง
“ข้าโกง เจ้ามีหลักฐานหรือ?”
เหมิงจิงสะอึก ทว่าก็ยังคงกำหมัดแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“เจ้า…เจ้าหากว่าเจ้าไม่ได้โกง ปรมาจารย์ขั้นสี่เช่นเจ้าจะสามารถกางค่ายกลครึ่งหนึ่งอย่างสมบูรณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างใด? นี่คือค่ายกลระดับหกนะ”
อีกทั้งเมื่อเทียบกันแล้ว ค่ายกลอันนี้ซับซ้อนกว่าค่ายกลระดับหกธรรมดาอยู่บ้าง ต่อให้เขาเป็นปรมาจารย์ขั้นหกตัวจริงก็ยังต้องใช้ความพยายามมากอยู่ดี
ไม่ต้องพูดถึงฉู่หลิวเยว่เลยด้วยซ้ำ?
“ตัวเจ้าเองทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องของเจ้า ผู้อื่นทำได้แปลว่าผู้อื่นมีความสามารถ ไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นกล่าวให้ร้ายกันที่นี่ ข้าว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดกระมัง? หรือว่าคนของสำนักพันธมิตรเก้าดาราเป็นขี้แพ้ชวนตีเช่นนี้กันหมดเลยหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยันกายลุกขึ้น
ในตอนนั้นเอง บุรุษที่ถูกเชียงหว่านโจวบังคับให้ถอยกลับฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าหาเขา!
เชียงหว่านโจวหันศีรษะกลับไปมองเขาด้วยสายตาเย็นชารอบหนึ่ง
ในใจบุรุษผู้นั้นพลันบังเกิดความขลาดกลัว
จากนั้น เขาก็กัดฟัน ชักกริซสองเล่มข้างเอวออกมา หมายจะแทงเชียงหว่านโจวทั่วร่าง
“ตายซะ!”
ด้านบนของกริซทั้งสองเล่มมีชั้นน้ำแข็งบางลอยวนรอบ ความหนาวเย็นรุนแรงมาก
เชียงหว่านโจวยืนตระหง่านดุจขุนเขา เขาเพียงแค่ยกกระบี่ในมือขึ้นมาอีกครั้ง! สกัดกั้นกริซก่อนถึงร่างอย่างรวดเร็ว
เคร้ง…เคร้ง!
กริซสองเล่มพลันแทงเข้าด้านบนของกระบี่เทพเมฆาสำริด ทว่าถูกหยุดยั้งไว้อย่างง่ายดาย
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะฟันกระบี่เล่มนี้ออกเป็นสองท่อน ขนาดรอยขีดข่วนสักเส้นก็ยังไม่ทิ้งไว้
สีหน้ามุ่งมั่นจะเอาชนะของฝั่งตรงข้ามแข็งค้างไปในชั่วพริบตา
กริซสองเล่มนี้เป็นไพ่ตายของเขา มันตัดผ่านเหล็กราวกับโคลนมาได้ตลอด…
เชียงหว่านโจวพลันถอยหลังไปหนึ่งก้าว หมุนข้อมือคว้ากริซสองเล่มของชายผู้นั้นแล้วยกขึ้น
ชิ้ง…
เสียงเหล็กตัดเสียดสีแหลมหูดังแว่วมา บนตัวกระบี่ปรากฏกลุ่มปักษาสีน้ำเงินบินมาจากทุกทิศทาง
ชายผู้นั้นพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง คิดล่าถอยในทันที
กระบี่เล่มนี้…อันตรายนัก
ทว่าเขายังไม่ทันจะขยับตัว กระบี่ของเชียงหว่านโจวก็มาปรากฏต่อหน้าเขาแล้ว
ไอกระบี่เย็นเยียบปะทะเข้ากับใบหน้าเขาอย่างจัง
ทันทีที่บุรุษผู้นั้นเห็นประกายของมัน เขาก็พลันรู้สึกเย็นยะเยือกที่หน้าอก
ทันใดนั้น ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นปราดขึ้นมา
ลำคอที่แข็งเกร็งของเขาค่อยๆ ก้มศีรษะลงดู
กระบี่เล่มหนึ่งแทงทะลุผ่านหน้าอกด้านขวาของเขา
มีคราบเลือดสีแดงเข้มค่อยๆ ซึมออกมาผ่านเสื้อผ้าบริเวณหน้าอก
ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ทว่ากลับไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
ชิ้ง…
เชียงหว่านโจวชักกระบี่กลับคืน
บริเวณปากแผลรู้สึกราวกับมีเปลวเพลิงคอยแผดเผา ทว่าก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีน้ำแข็งคอยแช่แข็ง
พลังสองสายอันแข็งแกร่งสู้กันเอง ทำให้เขาแทบหมดสติ
พลั่ก!
ร่างกายของเขาพลันทรุดลงบนพื้น
กริซสองเล่มบนมือร่วงระเนระนาดลงบนพื้นเช่นกัน
เชียงหว่านโจวหลุบตามองเขา แล้วเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ของสิ่งนั้นก็เรียกว่าเป็นกระบี่หรือ?”
บุรุษที่ทั้งร่างยังคงนั่งกองไปกับพื้นตัวสั่นเทา ไม่กล้าเอ่ยคำอันใด
เชียงหว่านโจวชี้กระบี่มาทางเขา
“จะยอมแพ้หรือไม่? หากว่าไม่ พวกเราก็มาต่อกัน ครั้งนี้จะเป็นหน้าอกด้านซ้ายของเจ้า”
ชายผู้นั้นพลันตัวสั่นเทาขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ยอมแล้ว…ข้ายอมแพ้!”
เขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย เชียงหว่านโจวกล้าพูดเช่นนี้ ย่อมต้องกล้าทำเช่นเดียวกัน
ความพยศอันโหดเหี้ยมยากจะควบคุมบนร่างของเขา ลมปราณแข็งกร้าวดุจสัตว์ร้าย ล้วนพิสูจน์ว่าคนผู้นี้อันตรายยิ่งนัก
ใครจะรู้ว่าเขาจะสามารถทำเรื่องอันใดออกมาได้อีก!
เชียงหว่านโจวเก็บกระบี่ หมุนกายจากไป
บรรดาผู้ชมต่างก็ตะลึงงัน
การแข่งขันรอบนี้จบสิ้นแล้วหรือ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เชียงหว่านโจวเพียงชักกระบี่ออกมาสองรอบ ก็ชนะแล้วหรือ
เชียงหว่านโจวเดินมายืนตระหง่านอยู่ด้านข้าง หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจากอก เช็ดคราบเลือดที่เปรอะบนกระบี่เทพเมฆาสำริดออกอย่างตั้งอกตั้งใจ
สีหน้าของเขาจดจ่ออย่างมาก ราวกับว่าการที่เพิ่งชนะการแข่งขันรอบนั้นมาไม่สำคัญเท่ากระบี่เล่มนี้
พื้นที่โดยรอบพลันเงียบสงบลง
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่เผยขึ้นและอมยิ้ม
“ดูเหมือนว่าข้าจะพูดไม่ผิด คนของสำนักพันธมิตรเก้าดาราชอบแพ้แล้วพาลจริงๆ ไม่ปากพล่อยพูดไปเรื่อย ก็…ฉวยโอกาสลอบโจมตี แต่ว่าน่าเสียดาย จะมีความคิดหรือคิดแผนการสกปรกมากเท่าใด เมื่ออยู่ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่แท้จริงแล้ว…ก็เป็นเพียงขยะไร้ค่าเท่านั้น”
“เจ้า!”
เหมิงจิงขัดจังหวะนาง ใบหน้าของเขาขึ้นสีด้วยความอับอาย
“เจ้ามันอวดดี!”
ฉู่หลิวเยว่ขยิบตาครั้งหนึ่ง เอ่ยตอบด้วยความจริงใจอันมากล้น
“ข้าชนะแล้ว เสี่ยวโจวเองก็ชนะแล้ว พวกเราไม่ได้อวดดี หรือว่าการได้รับชัยชนะจากพวกเจ้าก็ถือเป็นความอวดดีด้วย?”
“จะ…เจ้า!”
“แม้กระทั่งเด็กน้อยยังรู้ว่าควรเคารพในความแข็งแกร่ง หากคิดลงขันพนันต่อก็ต้องเตรียมใจแพ้เอาไว้ แล้วเหตุใดพวกเจ้าสำนักพันธมิตรเก้าดาราจึงไม่รู้เล่า? การแข่งขันเมื่อครู่ คนโดยเยอะถึงเพียงนี้ล้วนเห็นกันหมด เจ้ายังคิดปฏิเสธอีกหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้เหมิงจิงโมโหเสียจนหัวหมุน และคับแค้นใจจนอกแทบระเบิด
แผ่นอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง จากนั้นก็ก้าวฉับพุ่งตรงมาเผชิญหน้ากับฉู่หลิวเยว่
“ข้าอยากเห็นค่ายกลของเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่ยันกายลุกขึ้นพลางยิ้มอย่างเบิกบาน
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ได้! ถ้าหากเจ้าอยากดู ก็ไปดูเสีย”
เหมิงจิงเดินไปยังหน้าแผ่นศิลาสีดำ สองตาจ้องเขม็ง ดูอยู่สักพักหนึ่ง
ยิ่งดู สีหน้าของเขายิ่งดูไม่ได้
บนค่ายกลอันนั้นถูกกางได้อย่างดีจริงๆ อีกทั้งยังกางออกมาได้สมบูรณ์แบบ ข้อผิดพลาดเล็กน้อยล้วนไม่มีปรากฏ
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า
“เป็นอย่างไร หาหลักฐานว่าข้าโกงเจอหรือไม่?”
เหมิงจิงยืนนิ่งไม่ขยับ ใบหน้าของเขาซีดเผือด
ฉู่หลิวเยว่เพิ่มเสียงดังขึ้นกว่าเก่าเล็กน้อย
“หือ?”
เหมิงจิงกัดฟันเอ่ยตอบ
“ครั้งนี้นับว่าเจ้าชนะ”
พูดจบ ก็ตัดสินใจจากไป
ฉู่หลิวเยว่เข้าไปขวางด้านหน้าของเขา
“อันใดคือ ‘นับว่าข้าชนะ’? การแข่งรอบนี้ เดิมทีก็เป็นข้าชนะอยู่แล้วนี่นา”
สีหน้าของเหมิงจิงไม่อาจใช้คำว่าดูไม่ได้มาบรรยายได้อีก
หลังจากที่เขาเข้าสำนักพันธมิตรเก้าดารา เขาเป็นคนที่โดดเด่นและมีศักยภาพในบรรดาศิษย์ด้วยกัน ได้รับความเคารพอย่างมาก
มิเช่นนั้นก็คงไม่ปล่อยให้เขาได้เข้าร่วมการแข่งขันของปรมาจารย์รอบสุดท้ายนี้
เดิมทีเขามั่นใจเต็มอกว่าตนจะชนะ และไม่เห็นฉู่หลิวเยว่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ทว่าใครจะคาดคิดว่าสุดท้ายเขาจะแพ้ได้อย่างน่าอดสูเช่นนี้
สำหรับเขาแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นความอัปยศครั้งใหญ่
“ข้าแพ้แล้ว!”
เมื่อมาถึงทางตัน ในที่สุดเขาก็เอ่ยคำสามคำนี้ออกมาอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงด้วยความพึงพอใจ
“แค่นี้ก็พอแล้วหรือ? เสียเวลาข้าไปโดยเปล่าประโยชน์จริง”
ทั่วทั้งร่างกายเหมิงจิงชาวาบ เขารู้สึกราวกับว่าโดนตบหน้ากลางที่แจ้ง
ฉู่หลิวเยว่ปรบมือ ก้าวเดินจากไปอย่างผ่อนคลาย
เหมิงจิงพลันหมุนกายแล้วเอ่ยถาม
“ค่ายกลนั่น…เจ้าทำลายมันเร็วขนาดนั้นได้อย่างใดกันแน่?”