ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 635 รอข้าครู่หนึ่ง
ตอนที่ 635 รอข้าครู่หนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอขึ้นมา
ในตอนแรกนางก็ได้รับความทรมานมาไม่น้อย ขณะนี้ก็มิรู้ว่าในภายหลังจะเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปเป็นเช่นใด
บาดแผลบนเรือนร่างของนางยังมิหายดี
แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวของฉู่หลิวเยว่ เชียงหว่านโจวก็ผ่านคลายลงนิดหน่อย
ฉู่หลิวเยว่กลับไปอยู่ข้างกายอวี้ฉือซงดังเดิม
ใบหน้าของเหล่าผู้คนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ศิษย์น้องหญิง ที่แท้เจ้าก็เป็นปรมาจารย์ที่มีความโดดเด่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ก่อนหน้านี้เหตุใดถึงมิเคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อน?”
“จริงสิ! สีหน้าของเหมิงจิงเมื่อครู่ อย่าให้พูดเลยว่าน่าเกลียดถึงเพียงใด”
“ศิษย์น้องชายเองก็เช่นกัน นี่ก็ผ่านมาพักหนึ่งแล้ว ดูเหมือนกับว่าพละกำลังจะแข็งแกร่งขึ้นใช่หรือไม่? กระบี่เล่มนั้นของเจ้าช่างมีอานุภาพร้ายแรงเสียจริง!”
อวี้ฉือซงมองคนทั้งสองด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
แม้จะรู้ว่าทั้งสองโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่คิดว่าเด็กทั้งสองจะได้รับชัยชนะรวดเร็วเพียงนี้ ทั้งยังไร้ข้อกังขาจนน่ากลัว ราวกับมีพลังอำนาจเหนือกว่ามาตั้งแต่แรก!
สายตาของเขากวาดมองกระบี่เทพเมฆาสำริดในมือของเชียงหว่านโจวอย่างถี่ถ้วน และมองเห็นบนด้ามกระบี่ ที่มีลวดลายอักขระสีเงินของอสนีบาตเพียงสามเส้น พลันตกตะลึงขึ้นมา
กระบี่เล่มนี้เหมือนเป็นกระบี่ที่ฉู่หลิวเยว่หลอมขึ้นแล้วส่งมอบให้กับเชียงหว่านโจวอย่างใดอย่างนั้น
ทว่าลวดลายอักขระทั้งสามเหล่านี้…เกิดจากอสนีบาตจริงๆ หรือ?
ทันใดนั้น สีหน้าเขาก็กลับแน่นิ่งดังเดิม
หรือว่าบาดแผลบนเรือนร่างของฉู่หลิวเยว่…ก็เกิดมาจากอสนีบาตด้วย?
นอกเหนือจากนี้ แทบจะไม่มีคำอธิบายใดที่ฟังดูสมเหตุสมผลไปมากกว่านี้แล้ว
แต่ในปัจจุบัน แม้แต่นักรบระดับห้านางก็มิใช่ แล้วจะทำสิ่งเหล่านี้ได้เช่นใด?
ภายในจิตใจของเขาปรากฏข้อสงสัยขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วน จนอยากจับฉู่หลิวเยว่มาถามให้ชัดเจนเสียตอนนั้น
หากแต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มิใช่เวลาที่เหมาะสม
และถ้าหากการคาดเดานี้เป็นความจริงล่ะก็ เขาแค่กลัวว่าบาดแผลบนร่างกายของนางนั้น จะร้ายแรงกว่าที่เขาคาดคิดไว้
ฉู่หลิวเยว่มองเห็นอวี้ฉือซงที่ทอดสายตาไปยังกระบี่เมฆาสำริดอย่างครุ่นคิด ในใจคาดเดาว่าเขาคงรู้อันใดบางอย่างเสียแล้ว
ทว่าเดิมทีนางก็มิได้วางแผนจะปิดบังตั้งแต่แรก
อวี้ฉือซงมีความรู้ และประสบการณ์อันเหลือล้น เป็นปกติหากเขาจะสามารถคาดเดาได้
“การแข่งขันประเภทนักรบครั้งที่เก้า! เซี่ยหลิงหยางจากสำนักพันธมิตรเก้าดารา!”
เสียงของผู้ตัดสินดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ซงเหล่า พวกท่านตัดสินใจได้หรือยังว่าจะเอาผู้ใดขึ้นสนาม?”
อวี้ฉือซงหันมาด้วยสีหน้าหวาดหวั่นพลางมองไปยังสถานที่แข่งขัน
มีหนุ่มวัยเยาว์ผู้หนึ่งเดินขึ้นมา
สัดส่วนของเขาดูแข็งแรงและสง่างาม ทั่วทั้งร่างกายเป็นสีดำ ลมปราณบนเรือนร่างมีอำนาจ คาดไม่ถึงว่าเป็นนักรบระดับหกชั้นเยี่ยมเช่นเดียวกัน!
ก้นบึ้งภายในจิตใจของอวี้ฉือซงมีความฉงนวูบผ่าน สำนักพันธมิตรเก้าดารามีลูกศิษย์ที่เป็นนักรบระดับหกเพิ่มขึ้นถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด เมื่อก่อนพลังอำนาจของสำนักพันธมิตรเก้าดาราก็มิได้อ่อนแอ และมีลูกศิษย์ที่โดดเด่นไม่น้อยเช่นกัน
แต่ก็มิจำเป็นถึงกับต้องมาถึงระดับนี้!
ทักษะการสู้รบในระดับนี้ แทบจะนำมาเปรียบเทียบกับทักษะการสู้รบของสำนักภูเขาเขี้ยวมังกรได้!
เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่า ในช่วงเวลาอันสั้นที่ไม่ถึงปี จู่ๆ ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยของสำนักพันธมิตรเก้าดารา ก็เกิดการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว…
“ซงเหล่า”
อวี้ฉือซงมิมีการตอบรับแม้แต่น้อย เขาผู้นั้นจึงเตือนขึ้นอีกรอบ
อวี้ฉือซงขมวดคิ้ว
ลูกศิษย์ของสำนักงานชงซูเก๋อเดิมที่มีไม่ได้มีเยอะ นอกเสียจากผู้คนเหล่านั้นที่ขึ้นสนามไปแล้ว เหลืออยู่เพียงมิกี่คนเท่านั้น
และในกลุ่มศิษย์ของเขา ก็เหมือนจะไม่มีใครที่สามารถสู้รบกับเซี่ยหลงหยางได้เลย
“สำนักชงซูเก๋อยังสามารถขึ้นสนามได้อีก ก็คงต้องเป็นคนเหล่านั้นแล้ว ตามหลักแล้วต้องเลือกที่ความสามารถถึงจะถูกต้อง เหตุใดซงเหล่าจึงไม่ตัดสินใจเสียทีเล่า? หรือว่า…เลือกไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ในช่วงเวลาแบบนี้ จางหัวจะไม่พลาดเย้ยหยันอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เชียงหว่านโจวเป็นนักรบคนสุดท้ายของพวกท่านที่อยู่ในระดับหก เมื่อครู่ได้ลงสนามไปแล้ว ท่านเลือกไม่ได้อีกแล้ว ซงเหล่า ข้าคิดว่าท่ามกลางคนที่เหลือ…ไม่ว่าท่านจะเลือกใครก็ล้วนเหมือนกันหมด เช่นนั้นก็เลือกๆ ไปเถิด”
ลูกศิษย์ของสำนักชงซูเก๋อมีสีหน้าไม่พอใจ
“เจ้าสำนักเก๋อ ข้ายังไม่ขึ้นสนาม ให้ข้าไปเถอะ!”
“ยังมีข้า! แม้ว่าระดับจะเทียบเท่ากับเซี่ยหลิงหยางไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะพ่ายแพ้ ให้เราสู้กับพวกเขาเถอะ!”
อวี้ฉือซงกวาดสายตามองศิษย์ไม่กี่คนตรงนั้นทั้งหมด ภายในใจรู้สึกคลุมเครือ ทั้งยังรู้สึกเจ็บแปลบ
เจ้าเด็กเหล่านี้…ล้วนนิสัยดีกันทุกคน ทั้งที่รู้ว่าเมื่อขึ้นสนามไปจะไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่ยอมท้อถอย
ทว่า…จะให้เขาทนดูศิษย์ของตัวเองโดนรังแกก็คงไม่ได้
พลันเสียงที่คุ้นเคยก็แทรกขึ้นมา
“ท่านอาจารย์ ข้าไปเอง”
อวี้ฉือซงชายตามองแวบหนึ่ง ก่อนจะเบิกตากว้าง
“หลิวเยว่ พูดอันใดของเจ้า?”
ฉู่หลิวเยว่เผยรอยยิ้มออกมา
“ข้าพูดว่า ให้ข้าเข้าร่วมการประลองรอบนี้เถอะ!”
ขณะที่อวี้ฉือซงกำลังจะปฏิเสธ เขาก็เห็นฉู่หลิวเยว่กะพริบตาแล้วกล่าวเสียงแผ่ว
“ท่านอาจารย์ ลูกศิษย์มีความสามารถเพียงไหน ท่านก็รู้อย่างกระจ่างแล้วมิใช่หรือ?”
อวี้ฉือซงตะลึงงัน
พลันภาพเหตุการณ์ที่ฉู่หลิวเยว่กลืนกินทรายรวมศูนย์ ก็หวนกลับเข้ามาฉายในสมองอย่างกะทันหัน
นางคือไพ่ใบสุดท้ายที่มีความเก่งกาจถึงขั้นสูงสุด!
ในบรรดาศิษย์ทั้งหมด ถ้าจะให้พูดว่าใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับเซี่ยหลิงหยางได้ละก็ เช่นนั้น…หากมิใช่ฉู่หลิวเยว่ ก็คงไม่มีใครเหมาะสมไปมากกว่านี้แล้ว!
“แต่ว่า…”
“ไม่ตงไม่แต่อะไรแล้ว” ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ หางตาแสดงออกถึงรอยยิ้มที่ทั้งอบอุ่นและแน่วแน่
“ข้าจะช่วยท่านและศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย รักษาจุดยืนของสำนักงานชงซูเก๋อ! ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาเหยียบย่ำสำนักงานลงซูเก๋ออย่างเด็ดขาด!”
หัวใจอวี้ฉือซงวูบไหว!
หลังจากเงียบงันมาเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็พยักหน้า
“ตกลง! ทั้งหมดที่เหลือ…ข้าขอส่งต่อให้เจ้า!”
ลูกศิษย์ที่เหลือล้วนตกใจ
ทว่าเมื่อเห็นอวี้ฉือซงมีสีหน้าที่แน่วแน่ พวกเขาก็ไม่สามารถโต้เถียงอันใดได้อีก และทำได้เพียงให้กำลังใจฉู่หลิวเยว่อย่างไม่หยุดหย่อน
“ศิษย์น้องหญิง เราหวังพึ่งเจ้าแล้ว!”
“ทำเต็มที่นะ ศิษย์น้องหญิง! ทำให้สุดความสามารถก็พอแล้ว!”
“พวกข้าจะรอเจ้ากลับมา!”
ฉู่หลิวเยว่ส่งรอยยิ้มพร้อมทั้งพยักหน้าให้แก่คนทั้งหลาย
“ท่านอาจารย์ รวมทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้า โปรดวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง”
พูดจบนางก็หันกลับไป และเดินไปยังตรงกลางของสนามแข่ง
เมื่อเห็นว่าคนผู้เข้าประลองเป็นฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง ผู้ชมทั้งหมดก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา และทุกอย่างก็เงียบลง
จางหัวขมวดคิ้วจนเกิดรอยย่น และพูดขึ้นมาว่า
“ฉู่หลิวเยว่เคยลงแข่งแล้วมิใช่หรือ? ใยจึงมาอีก?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
“เมื่อครู่ข้าเข้าร่วมการแข่งขันของปรมาจารย์ ทว่าข้อกำหนดของการแข่งขันคือ หนึ่งคนจะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันเดียวกันอย่างต่อเนื่องได้ แต่ก็ไม่ได้กำหนดว่าคนคนนั้น จะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันอย่างอื่นในเวลาเดียวกันได้ มิใช่หรือ?”
ผู้ตัดสินซึ่งอยู่ข้างกันพิจารณาอย่างใคร่ครวญก่อนจะพยักหน้า
“แท้จริงแล้วก็ไม่มีข้อกำหนดเช่นนี้”
“ช่างเล่นแง่ได้ถูกคอกันเสียจริง”
ถึงแม้ฉู่หลิวเยว่จะมีความชำราญในการสู้รบ แต่นางคงไม่สามารถเอาชนะนักรบระดับหกได้ง่ายถึงเพียงนั้นเป็นแน่!
ได้ยินเช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมา แต่หาได้สนใจไม่
นางไม่สนว่าเขากำลังจะเอ่ยอันใด
เอาเป็นว่าตอนนี้แข่งให้ชนะก่อน แล้วค่อยว่ากันดีกว่า!
นางมองเซี่ยหลิงหยางที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“ฉู่หลิวเยว่จากสำนักงานชงซูเก๋อ ขอท้าประลอง!”
เซี่ยหลิงหยางสำรวจฉู่หลิวเยวาอย่างละเอียดหนึ่งรอบ
ช่วงนี้ฉู่หลิวเยว่มีชื่อเสียงอย่างมากในซีหลิง
คนทั้งหลายล้วนบอกว่านางนำฝีมือของนักรบระดับสาม มาใช้ในการเอาชนะนักรบระดับห้า อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ขั้นสูง และพละกำลังที่แข็งแกร่ง
ต่อมานางก็คว้าลำดับหนึ่งจากงานหมื่นทูรมาได้ ช่างเป็นที่น่าสนใจเสียจริงๆ
“แท้จริงแล้วเจ้าจะแน่สักแค่ไหนเชียว”
เซี่ยหลิงหยางเอ่ยปากด้วยสีหน้าอันหยิ่งทะนง
“อย่างใดก็ตาม ทักษะของนักรบระดับหกและนักรบระดับห้านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงเจ้าจะเอาชนะนักรบระดับห้าขั้นต้นได้ แต่เจ้าอาจทำเช่นนั้นกับนักรบระดับห้าขั้นสูงไม่ได้ เช่นเดียวกับระดับหกที่ยังห่างไกลจากทักษะระดับเจ้า! คนหนุ่มสาวสมัยนี้ทุ่มเทกับการแข่งขันมากเกินไป ซึ่งบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องดี…”
ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดจบ จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็กวักมือเรียกหนิงจื้อชิง ซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งของสนาม และกำลังจะเข้าร่วมการแข่งขันเซียนหมอครั้งสุดท้าย
“ข้าคือตัวแทนเข้าร่วมการประลองเซียนหมอครั้งสุดท้าย! รบกวนเจ้ารอข้าอยู่ตรงนั้นครู่เดียว เดี๋ยวข้าไป! ส่วนเจ้าก็รีบเริ่มได้แล้ว! ข้ายังต้องไปแข่งเซียนหมอต่อ!”