ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 647 ชวนนางเข้าวัง
ตอนที่ 647 ชวนนางเข้าวัง
“…ท่านผู้นำ ตอนนี้เราจะทำอย่างใดดี?”
บรรยากาศของฝั่งพันธมิตรเก้าดาราหดหู่เสียจนไม่มีใครกล้าพูดอันใดแม้แต่คนเดียว
และมีเพียงผู้อาวุโสคนหนึ่ง ที่ทำใจก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ พร้อมพูดอย่างระมัดระวัง
จางหัวกัดฟันแน่น จนสันกรามนูนเด่น
โดนปรับแพ้ขนาดนี้แล้ว จะยังทำอันใดได้อีกหรือ?
ถ้ารู้แบบนี้แต่ทีแรก เขาคงไม่ผลีผลามเช่นนั้น! และรอแข่งอีกรอบเงียบๆ เสียยังดีกว่า!
ทว่าบนโลกนี้ไม่มียารักษาโรคสำนึกผิดขายหรอกนะ
“กลับ!”
เขาสะบัดแขนเสื้อของตัวเองอย่างแรง พลันหันหลังกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว
สาวกของพันธมิตรเก้าดาราเดินตามเขาไปติดๆ และออกจากสนามประลองไปอย่างหดหู่ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่จ้องมองมา
กระทั่งคล้อยหลังสมาชิกคนสุดท้าย จางหัวก็หันกลับมามองด้วยหางตา
ฉู่หลิวเยว่จึงเงยหน้ามอง พลางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
จางหัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
“คอยดูเถอะ ฉู่หลิวเยว่! เจ้าไม่มีทางอวดดีเช่นนี้ได้ทุกครั้งหรอก! ”
ฉู่หลิวเยว่เหยียดยิ้ม ดวงตาและคิ้วเรียวสวยโก่งโค้งลง
“การอวดทักษะของตัวเองนั้นเป็นเรื่องดี ดีกว่าการแพ้ติดๆ กันหลายรอบเสียอีก!”
จางหัวสำลักจนแทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก เขาห่อตัวด้วยความโกรธ และหายตัวไปจากสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว
และไม่นาน คนของพันธมิตรเก้าดาราก็พากันออกไปจากแอ่งสี่ทิศ
เหลือไว้เพียงเสียงถอนหายใจของฝูงชนนับไม่ถ้วน
จากนั้นการประลองของอีกสามสำนัก ก็จบลงทีละรายการ
มีผู้ชนะเหลืออยู่เพียงไม่กี่สำนัก
ซึ่งจนแล้วจนรอด ตำแหน่งของสี่สำนักหลัก ก็ยังคงเป็นสี่สำนักเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่าสำนักเพลิงศักดิ์สิทธิ์และอีกสามสำนักที่เหลือ ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้กลับไม่ได้แพ้แล้วพาลเหมือนพวกพันธมิตรเก้าดารา
เพราะพวกเขารู้ตัวดีว่าพละกำลังและความแข็งแกร่งของพวกเขานั้น ยังเทียบสำนักภูเขาเขี้ยวมังกรไม่ได้ ซึ่งมันเป็นความพ่ายแพ้ที่สมเหตุสมผล
และกลายเป็นว่าชงซูเก๋อที่พวกเขาเคยคิดว่าเกือบจะแพ้ กลับเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะในวินาทีสุดท้าย และได้ตำแหน่งกลับคืนมา ซึ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจมาก
และในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจด้วย
ขนาดพันธมิตรเก้าดารายังแพ้เลย เช่นนั้นพวกเขาเล่า?
โชคดีที่วันนี้พวกเขาไม่ใช่คู่แข่งของชงซูเก๋อ มิเช่นนั้นคงได้แพ้ราบคาบแล้วกลับบ้านด้วยความอัปยศอย่างพันธมิตรเก้าดาราเป็นแน่!
แต่นี่ก็เป็นการเตือนใจพวกเขาเช่นกัน ชงซูเก๋อในปัจจุบันอาจดูเหมือนเปลือกหอยที่ว่างเปล่า แต่ความจริงนั้นห้ามประมาทเปลือกแข็งๆ ของมันเป็นอันขาด
ดั่งคำว่า หัวเราะทีหลังดังกว่า
ในเมื่อได้บทเรียนตัวอย่างจากเหตุการณ์เมื่อครู่ของพันธมิตรเก้าดาราแล้ว พวกเขาก็ขออยู่อย่างสันติและซื่อสัตย์ดีกว่า
…
งานประชุมสำนักวิชาจบลงอย่างราบรื่น
ข่าวการประลองแพร่กระจายไปยังเมืองซีหลิงอย่างรวดเร็ว
ในหมู่สำนักวิชาทั้งหมด เหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างชงซูเก๋อและพันธมิตรเก้าดารานั้น ได้รับการพูดถึงมากกว่าใคร
โดยเฉพาะเชียงหว่านโจวผู้ชนะศัตรูด้วยกระบี่เล่ม และฉู่หลิวเยว่ผู้เข้าประลองสามครั้งติดต่อกัน เพื่อเปลี่ยนแนวโน้มให้สำนักของตนได้ชัยชนะ ซึ่งถือเป็นข่าวลือที่หนาหูอย่างยิ่ง
แม้แต่คนที่เคยคิดว่าฉู่หลิวเยว่ได้ที่หนึ่งในงานหมื่นทูร เพราะโชคช่วย ก็ยังต้องเปลี่ยนความคิด
ปกติฉู่หลิวเยว่ก็ดังในซีหลิงอยู่แล้ว และตอนนี้ชื่อเสียงของนางก็ยิ่งดังกระฉูด
และกลายเป็นดาวเด่นผู้ไร้เทียมทานอย่างรวดเร็ว
…
ในเขตพระราชวัง ณ ตำหนักฮวาหยาง
สาวใช้สองคนกำลังยืนซุบซิบกันอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวา
“ไอ้หยา เจ้าจะบอกว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นั้น เก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“หากไม่เก่งจะชนะสามครั้งซ้อนได้เช่นไร? คราวนี้ที่ชงซูเก๋อรักษาตำแหน่งสี่สำนักหลักไว้ได้ ก็เพราะนางล้วนๆ!”
“ไหนว่านางเป็นสาวชั้นต่ำที่มาจากครอบครัวจนๆ อย่างใดเล่า?”
“ใครจะรู้ ไม่แน่นางอาจจะซ่อนฐานะของตัวเองไว้ก็ได้? แต่ถึงนางจะยากจน แต่นางก็แข็งแกร่งจริงๆ! เมื่อตอนที่นางมาที่นี่ครั้งแรก นางเป็นแค่จอมยุทธระดับสาม แต่นางก็เอาชนะจอมยุทธระดับห้าได้มากกว่าหนึ่งครั้ง! อีกอย่าง นางเพิ่งมาถึงซีหลิงได้ไม่นาน น่าจะไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ แต่นางกลับข้ามขั้นจากจอมยุทธระดับสามไปสู่จอมยุทธระดับสี่ขั้นสูงแล้ว ความรวดเร็วเช่นนี้…ช่างน่าอิจฉาจริงๆ!”
“นั่นก็จริง…ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธระดับสาม แต่นางกลับมีทักษะทุกด้าน และคนที่มากความสามารถเช่นนี้ ก็ไม่ค่อยมีให้เห็นในเมืองซีหลิง! ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็จะมีองค์หญิงใหญ่ที่…”
“กรี๊ดดด นี่เจ้าอยากตายหรือ! กล้าเอ่ยนามท่านผู้นั้นออกมาได้เช่นไร! เดี๋ยวองค์หญิงสามก็ได้ยินเอาหรอก…”
สาวใช้คนหนึ่งรีบตบแขนหญิงสาวอีกคนและพูดอย่างร้อนรน
หญิงสาวที่ถูกทุบตีกอดแขนของนางด้วยความเจ็บปวด และพูดอย่างไม่เห็นด้วย
“วันนี้องค์หญิงสามเสด็จไปตำหนักชิงเฟิง อีกนานกว่าจะกลับมา…”
“พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอันใดอยู่หรือ?”
จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มนวลทว่าเย็นชาของผู้หญิงคนหนึ่ง ดังมาจากข้างหลังทั้งสองคน
หญิงสาวทั้งสองหันศีรษะไปมองทันที และพอเห็นบุคคลนั้น พวกนางก็รีบคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัว
“ถวายบังคมเพคะ องค์หญิงสาม!”
ซั่งกวนหว่านแต่งกายด้วยชุดประราชวงศ์อันงดงาม พร้อมทั้งเกล้าผมยกสูงและแต่งหน้าสวยงาม พลางยืนมองพวกนางอย่างสง่าผ่าเผย
ฉานอี้ยืนอยู่ข้างกายนาง ราวพร้อมสนับสนุนนางทุกเมื่อ
“เหมือนข้าจะได้ยินว่าพวกเจ้า กำลังพูดถึงพี่สาวข้าหรือ?”
ซั่งกวนหว่านเหลือบมองใบหน้าของทั้งสองและถามอย่างเฉยเมย
“ข้าน้อยผิดไปแล้วเพคะ! องค์หญิงสามโปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด!”
สาวใช้ทั้งสองก้มหน้ายอมรับความผิดพลาด และกระแทกหน้าผากกับถนนลูกรังอย่างแรง จนได้เลือด
ซั่งกวนหว่านหลุบสายตาลงมองเล็บที่นางเพิ่งทาสีไปใหม่อย่างไร้อารมณ์
“การพูดถึงราชวงศ์ในที่ลับถือเป็นความผิดทางอาญา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า พวกเจ้ากำลังพูดถึงพี่สาวของข้า มันไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง ฉานอี้…”
“หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ”
“ไล่พวกมันออกจากวัง และห้ามให้พวกมันเข้ามาในวังอีกตลอดชีวิต”
“เพคะ!”
ได้ยินเช่นนี้ สาวใช้ทั้งสองก็ตกใจ พลันร้องไห้อ้อนวอนทันที
“องค์หญิงสามเพคะ พวกเราสำนึกแล้ว! ได้โปรดอย่าไล่พวกเราออกไปเลยนะเพคะ!”
พวกนางรับใช้ในตำหนักฮวาหยางมาเป็นเวลานาน และได้ยินข่าวลือมามากมาย
อย่างเช่น คนที่สร้างความขุ่นเคืองให้องค์หญิงสาม จักถูกไล่ออกจากวัง ทว่าความจริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ก้าวเท้าออกจากวังด้วยซ้ำ แต่กลับหายตัวไปอย่างเงียบๆ
และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งที่รอพวกนางอยู่นั้นคืออันใด
นั่นเป็นเหตุผลที่ทั้งสองร้องขอความเมตตาอย่างหนักหน่วง
ฉานอี้ขยิบตาให้ขันทีสองคนที่อยู่ไม่ไกล และไม่นานก็มีคนสองสามคนเข้ามาปิดปากสาวใช้ทั้งสองแล้วลากออกไป
พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ค่อยๆ เบาลง
ฉานอี้เอ่ย
“องค์หญิงสามโปรดวางใจ พวกนางจะไม่สามารถขวางหูขวางตาท่านได้อีก”
ความตื่นตระหนกปรากฏบนหว่างคิ้วของซั่งกวนหว่านเล็กน้อย
“กำชับพวกเขาให้เก็บกวาดให้เรียบร้อย”
“โปรดวางใจได้เพคะ”
จากนั้นซั่งกวนหว่านก็เดินไปยังห้องบรรทมของตน
ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว นางกลับถามออกมาอย่างใคร่รู้
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่งานประชุมสำนักนั่น?”
ฉานอี้จึงอธิบายเรื่องนี้ให้นางฟังโดยสังเขป
แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับสำนักพระราชวัง แต่พวกเขาก็สมควรได้รู้ ในสิ่งที่ควรรู้
ขณะรับฟัง การแสดงออกของซั่งกวนหว่านก็ค่อยๆ เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
“…รวมๆ ก็จะประมาณนี้เพคะ ตอนนี้ทั่วทั้งซีหลิงเอาแต่พูดเรื่องนี้กันไม่หวาดไม่ไหว”
ฉานอี้เอ่ย
ซั่งกวนหว่านยิ้มเยาะทันที
“ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นางเพิ่งมาอยู่ที่ซีหลิงได้หนึ่งเดือน แต่กลับโดดเด่นขึ้นมาถึงเพียงนี้”
ฉานอี้ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“เมื่อก่อนข้าไม่รู้เลยว่านางเป็นจอมยุทธระดับสาม…แต่ก็บังเอิญจริงเชียว หรือว่าคนที่มีคำว่า “เยว่” ในชื่อจะเป็นแบบนี้กันหมด?”
ฉู่หลิวเยว่นั้นค่อนข้างคล้ายกับพี่สาวผู้อายุสั้นของนาง
ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ ชื่อหรือ…รูปลักษณ์!
มันเหมือนมากเสียจน นางรู้สึกเจ็บเหมือนมีหนามทิ่มแทงหัวใจทุกครั้งที่มอง
“ว่าก็ว่า แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกอายคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้!”
ฉานอี้เอ่ยต่อทันที
“แต่นางเป็นคนชั้นต่ำ จะมาเทียบกับองค์หญิงสามได้อย่างใด?”
ซั่งกวนหว่านเดินไปที่ประตูห้องนอน แต่ขณะกำลังจะก้าวเข้าไป ก็จำต้องหยุดชะงัก
“เจ้าไปเชิญนางเข้าวังเสีย แค่ไปเชิญนางว่า…ข้าชื่นชมในตัวนาง และอยากชวนนางเข้ามานั่งคุยกันในวัง”