ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 650 ตื่นจากการหลับใหล
ตอนที่ 650 ตื่นจากการหลับใหล
ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้สินะ
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเยาะในใจ
ใช่แล้ว เมื่อครั้งที่นางจุดไฟเผาตัวเอง นางได้ทำลายชีพจรดั้งเดิมของซั่งกวนหว่านไปด้วย ส่งผลให้จนถึงตอนนี้ร่างกายของนางก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนางถึงได้รีบร้อนเช่นนี้?
พลังของการเผาชีพจรดั้งเดิมของตนนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง และความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกถาวร
อย่าว่าแต่ซั่งกวนหว่านเลย แม้แต่ผู้ทรงพลังในอดีตอย่างซั่งกวนเยว่ก็ยังทำไม่ได้
ซั่งกวนหว่านไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ แต่นางกลับวางใจแพทย์ประจำตัวมาก
ทว่าผ่านไปปีกว่าแล้วก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ และจะเห็นได้ว่าความพยายามทุกอย่างของนางนั้นไร้ผล
และหากไม่รีบร้อน ซั่งกวนหว่านคงไม่รีบเรียกนางเข้าวังเช่นนี้
“เดิมทีองค์หญิงสามต้องการถามเรื่องนี้นี่เอง ความจริงแล้ว เรื่องมันยาวมาก…”
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลงเชิงทวนความทรงจำ พลางเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“เป็นความจริงที่ข้าเกิดมาพร้อมกับชีพจรดั้งเดิมที่ไม่สมบูรณ์ ข้าพบเซียนหมอมานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่สามารถทำอันใดได้เลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าถูกลักพาตัวไปยังป่าบนภูเขานอกเมืองหลวง และบังเอิญได้พบกับบุคคลลึกลับ…”
“ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และข้าไม่เห็นหน้าของเขา อีกฝ่ายให้ยาและใบจ่ายยาแก่ข้า หลังจากที่ข้ากินยานั่น ข้าก็เริ่มกินยาตามใบสั่งยามาเรื่อยๆ และไม่นานชีพจรดั้งเดิมในร่างกายก็กลับมาเป็นปกติ”
“จากนั้น ข้าก็ตามหาบุคคลลึกลับคนนั้น เพื่อขอบคุณเขาเป็นการส่วนตัว แต่กลับไม่พบเขา ข้าจึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ”
หลังจากฟังจบ ซั่งกวนหว่านก็ยังไม่เชื่อ
“แค่… แค่นี้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง
“เท่านี้เพคะ”
แววตาของซั่งกวนหว่านเย็นชาเล็กน้อย
จะบอกว่าฉู่หลิวเยว่ถูกลักพาตัว แล้วบังเอิญไปพบกับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงหรือ?
ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็เพิ่งพบนางโดยบังเอิญ แต่กลับยื่นมือเข้าช่วยซ่อมแซมชีพจรดั้งเดิมให้นางหรือ?
และหลังจากนั้น คนผู้นั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย?
แล้วคนคนนั้นจะทำไปเพื่ออันใด?
ซั่งกวนหว่านไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญหรอกนะ
นางไม่เชื่อคำกล่าวของฉู่หลิวเยว่เลยสักประโยค
ทว่าเรื่องแบบนี้ นอกจากเจ้าตัวแล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้อีก
หากฉู่หลิวเยว่ไม่ยอมบอกความจริง เช่นนั้นก็หมดหนทางแล้ว
“…โอกาสเช่นนั้นช่างหาได้ยาก…แต่คุณหนูฉู่กลับมีโอกาสได้พบคนเก่งๆ แบบนั้น” ซั่งกวนหว่านกวาดตามองฉู่หลิวเยว่ พลางเอ่ยอย่างมีนัยยะ “ไม่เพียงแต่ช่วยเจ้าฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิม แต่ยังช่วยยกระดับชีพจรดั้งเดิมของเจ้าให้ขึ้นสู่ระดับตี้อีกด้วย…ถ้าใครรู้เข้า คงได้อิจฉาตาร้อนกันทั่วบ้านทั่วเมือง”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มออกมาทันที
“มีคนมากมายจากแคว้นเย่าเฉินเคยถามข้าเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงสามเองก็สนในเรื่องนี้ด้วย?”
“ข้าเคยเห็นแต่คนที่ชีพจรดั้งเดิมบางส่วนได้รับความเสียหาย จากการปะทะภายนอกแล้วฟื้นตัว แต่ข้ายังไม่เคยเห็นคนที่เกิดพร้อมชีพจรดั้งเดิมที่ไม่สมบูรณ์ แล้วยังสามารถเป็นผู้ฝึกตนได้ ตัวข้านั้นสงสัยจริงๆ ข้าจึงถามเจ้าแบบนั้น”
ซั่งกวนหว่านกล่าวพลางถอนหายใจ
“คนที่ทำแบบนี้ได้ต้องเป็นคนที่มีวิชากล้าแกร่ง ถ้ามีโอกาส ข้าเองก็อยากเจอคนนั้นจริงๆ…”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มอย่างจริงใจ
“อย่าว่าแต่ท่านเลย ข้าอยากเจอคนๆ นั้นมากกว่าใคร และอยากขอบคุณเขามากๆ แต่น่าเสียดาย… คนๆ นั้นมาและจากไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อให้ค้นหาทุกที่แล้วก็ไม่พบแม้แต่เงา”
ซั่งกวนหว่านรู้สึกเหนื่อยหน่าย
มีเพียงฉู่หลิวเยว่เท่านั้น ที่รู้ว่าความจริงแล้วมันเป็นเช่นไร!
ในเมื่อนางไม่อยากพูด แล้วใครจะบังคับนางได้?
ตอนนี้นางกำลังเป็นดาวเด่นของซีหลิง ที่ใครๆ ต่างก็จับตามองนางทุกความเคลื่อนไหว นางจึงไม่สามารถลงมือกับฉู่หลิวเยว่ได้
ขณะเดียวกัน ก็มีคนนำสารมาบอกนางที่นอกประตู
“ถวายบังคมองค์หญิงสาม ใต้เท้าจั่วมาถึงแล้วเพคะ”
ซั่งกวนหว่านรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เหตุใดใต้เท้าจั่วถึงมายามนี้กัน?”
ฉายอี้ตอบกลับเสียงเบา
“องค์หญิงเพคะ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้ใต้เท้าจั่วจะมาตรวจชีพจรให้ท่าน และครั้งก่อนท่านก็กำชับไว้ว่า หลังจากตรวจวัดชีพจรแล้ว ใต้เท้าจั่วจักต้องรายงานสถานการณ์ขององค์จักรพรรดิให้ท่านทราบด้วย”
ฉู่หลิวเยว่จิกมือกับที่วางแขน
“อ๊ะ ข้าลืมไปเสียสนิทเลย บอกให้เขารออยู่ที่โถงข้างๆ สักครู่ เดี๋ยวข้าจะรีบตามไป”
ซั่งกวนหว่านพูดจบก็หันมามองฉู่หลิวเยว่
“ข้ามีราชกิจต้องไปจัดการ รบกวนคุณหนูฉู่รอที่นี่สักครู่หนึ่ง หากรู้สึกเบื่อ เจ้าสามารถขอให้ฉานอี้พาชมรอบตำหนักฮวาหยางได้”
ฉู่หลิวเยว่รีบรับคำทันที
“องค์หญิงสามเชิญเถิด…”
จากนั้นซั่งกวนหว่านก็หมุนตัวเดินออกไปข้างนอกอย่างเร็ว
ฉู่หลิวเยว่ชะโงกหน้ามองออกไป ก่อนจะเห็นร่างของจั่วหมิงซียืนอยู่ข้างนอกนั่น
“ใต้เท้าจั่ง เหตุใดวันนี้ถึงมาเร็วเช่นนี้?”
นั่นคือเสียงของซั่งกวนหว่าน
จั่วหมิงซีรีบทำความเคารพ พลางเอ่ย
“กระหม่อมทำจี้หยกเสร็จแล้ว จึงนำมาให้ท่านได้ชม”
เกิดประกายสงสัยขึ้นในสมองของฉู่หลิวเยว่ทันที!
จี้หยกหรือ?
หรือจี้หยกที่ว่านั่นจะเป็น…
“เช่นนั้นก็ดี จี้หยกนี้เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกสถานะของใต้เท้าจั่ว ทีหลังก็ควรระวังให้มากกว่านี้ และอย่าทำหายอีก”
“น้อมรับคำสอนขององค์หญิงสาม พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ตามข้ามาทางนี้…”
…
พวกเขาสองคนเดินเข้าไปในห้องโถงข้างๆ พร้อมเสียงพูดคุยที่ค่อยๆ เบาลง
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
หรือว่าจี้หยกที่หล่อนออกมาจากตัวเจี่ยนเฟิงฉือวันนั้นจะเป็นของใต้เท้าจั่ว?!
ใต้เท้าจั่วบอกว่าทำหาย
แสดงว่าเจี่ยนเฟิงฉือเก็บมันได้หลังจากที่เขาทำหล่น ไม่ก็ไปฉกมาจากใต้เท้าจั่วหรือ?
และเมื่อลองนึกถึงท่าทีมีพิรุจของเจี่ยนเฟิงฉือในวันนั้น…
ชัดเจนเลยว่าเขาเข้าไปในวังมา!
เป็นไปได้ว่า เขาจะเป็นคนเข้าไปในห้องนอนของท่านพ่อ!
แต่เขาจะทำเช่นนั้นไปด้วยเหตุใด?
ราวกับมีหมอกหนาปิดบังเส้นทางด้านหน้า จนฉู่หลิวเยว่คาดเดาไม่ออก
ร่างบางลุกพรวดขึ้น
ฉานอี้จึงรีบถามทันที “คุณหนูฉู่ต้องการเดินชมตำหนักหรือเจ้าคะ?”
ฉู่หลิวเยว่หันไปยิ้มให้นาง
“ไม่รู้จะเป็นการรบกวนเจ้าหรือไม่?”
ฉานอี้กล่าวอย่างเคารพ
“คุณหนูฉู่อย่าได้เกรงใจ องค์หญิงสามทรงตรัสเองเช่นนั้น ท่านก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เช่นนั้นให้ข้าพาท่านไปชมสวนดอกไม้ด้านหลังดีหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับเสียงเบา
“ขอบคุณเจ้ามากนะ”
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกไปจากตำหนัก
หลังจากออกไปแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เหลือบมองไปทางห้องโถงด้านข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ และพึมพำเสียงต่ำ
“ความจริงแล้วท่านผู้นั้นคือใต้เท้าจั่วหมิงซี ข้าได้ยินมาว่าท่านเป็นเซียนหมอที่เก่งกาจ”
ฉานอี้ทำทีใช้ร่างของตนบดบังสายตาของฉู่หลิวเยว่ ใบหน้าของนางดูสุภาพทว่าเย็นชา
“ใต้เท้าจั่วเป็นเซียนหมอประจำราชวงศ์ที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ทว่า เหตุใดคุณหนูฉู่ถึงดูสนใจเรื่องนี้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ตระหนักความระแวดระวังในน้ำเสียงของนาง พลันยิ้มตอบ
“ไม่หรอก ข้าแค่ได้ยินท่านอาจารย์บอกว่า ในวังมีเซียนหมอมากความสามารถประจำราชวงศ์อยู่หลายคน ข้าจึงรู้สึกแอบชื่นชมในใจ และข้าก็ไม่ได้คิดว่าวันนี้ตัวเองจะโชคดีที่ได้พบคนเหล่านั้น”
ฉานอี้ชำเลืองมองนาง ก่อนจะค่อยๆ ขจัดความสงสัยในใจออกไป
ได้ยินว่าฉู่หลิวเยว่เองก็เป็นเซียนหมอ ประโยคเมื่อครู่จึงฟังดูสมเหตุสมผล
“สวนดอกไม้ด้านหลังอยู่ทางนั้น คุณหนูฉู่โปรดตามข้ามา”
ฉานอี้กล่าวพลางเดินนำไปด้านหน้า
ฉู่หลิวเยว่จึงรีบสาวเท้าตามไปติดๆ
…
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ซั่งกวนหว่านและจั่วหมิงซี เข้าไปในห้องโถงด้านข้างแล้ว พวกเขาก็เข้าประเด็นทันที
“ใต้เท้าจั่ว อาการของท่านพ่อเป็นอย่างใดบ้าง? มีท่าทีว่าท่านจะตื่นขึ้นมาหรือไม่?”