ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 655 ติดตาม
ตอนที่ 655 ติดตาม
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่มองมาด้วยความแปลกประหลาดของมู่ชิงเห่อ หนังตาของหรงซิวก็กระตุกขึ้น
หลังจากนั้นเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยพูดขึ้นมาว่า
“เหมือนว่ารองแม่ทัพมู่จะยังใส่ใจเยว่เอ๋อร์อยู่ไม่น้อยเลย”
มู่ชิงเห่อก็สัมผัสได้ว่าเขาสามารถสนทนาต่อไปได้แล้ว
ในเมื่อหรงซิวไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ ถามไปก็คงเปล่าประโยชน์
เขาไปตรวจสอบมันด้วยตนเองน่าจะดีกว่า
“ท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นคนพาฉู่หลิวเยว่มาที่ซีหลิง การทำเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
เขาลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะขอตัวลา
“ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ดังนั้นข้าคงไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของหลีอ๋องแล้ว”
ในตอนที่เขากำลังจะเดินจากไป ทันใดนั้นหรงซิวกลับพูดขึ้นมาว่า
“ช้าก่อนรองแม่ทัพมู่”
มู่ชิงเห่อชะงักฝีเท้า จากนั้นก็เหลือบสายตามองเขาด้วยความประหลาดใจ
หรงซิวส่งยิ้มเล็กน้อย สีหน้าเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว
“ตัวข้านั้นมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะให้รองแม่ทัพมู่ช่วยเหลือ”
…
วังหลวง ตำหนักฮวาหยาง
ฉู่หลิวเยว่เดินทอดน่องอยู่ที่ทะเลสาบด้านหลังตำหนัก
ฉานอี้ที่ยืนมองอยู่ด้านข้าง ก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่ดูท่าทางชอบสวนดอกไม้ที่นี่อย่างมาก เพราะนางยืนจ้องที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว
หิมะตกลงบนศีรษะของนางจนกลายเป็นชั้นบางๆ หนึ่งชั้นแล้ว
แต่เหมือนว่านางยังไม่รู้สึกรู้สาอันใดเลย นางค่อยๆ เดินออกไปทีละก้าว ราวกับว่าลืมทุกอย่างที่อยู่ในสมองหมดแล้ว
สวนดอกไม้แห่งนี้…มันงดงามตรงที่ใดกัน?
ในใจของฉานอี้เต็มไปด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ทำสิ่งอื่นเลย นางจึงต้องระงับความสงสัยเหล่านี้เอาไว้
เสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล
ฉานอี้หันกลับไปมอง และรีบทำความเคารพทันที
“ถวายบังคมเพคะองค์หญิงสาม”
ซั่งกวนหว่านเดินเข้ามา มีบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังช่วยกางร่มให้นางอยู่
สายตาของนางจับจ้องไปยังฉู่หลิวเยว่โดยตรง
หิมะโปรยปราย สะท้อนแก่ดอกไม้ที่บานสะพรั่ง
หญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวสวมชุดสีแดงยืนอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้เหล่านั้น ราวกับเป็นเปลวเพลิง ที่แผดเผาอย่างร้อนแรง
ใบหน้าที่ปราศจากการแต่งแต้มนั้นงดงามอย่างมาก รวมกับว่ากำลังจะหลอมรวมกับหิมะและเหล่าดอกไม้พวกนั้น จึงทำให้คนรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ
ซั่งกวนหว่านกำหมัดในแขนเสื้อแน่นขึ้น
บนโลกนี้ จะมีคนประเภทหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงที่ใด ก็จะกลายเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด
ราวกับว่าแสงสีทั้งหมดจะรวมกันอยู่ที่คนผู้นั้น
เป็นเสน่ห์ที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสทั้งห้า จนยากจะบรรยายความสวยออกมาได้ทั้งหมด
ตัวนางเองก็นับว่าเป็นคนสวย
แต่เหมือนว่าจะต่างกันเล็กน้อย
ในความทรงจำของนาง คนเดียวที่มีรัศมีเฉิดฉายเช่นนี้
คือ ซั่งกวนเยว่!
แต่ฉู่หลิวเยว่เป็นคนที่มีฐานะธรรมดา แต่ร่างกายของนางกลับมีรัศมีของความสูงส่งออกมาจางๆ ด้วย…
ซั่งกวนหว่านรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ฉู่หลิวเยว่ก็หันหน้ากลับมา ก่อนจะคารวะนางหนึ่งครั้ง
ซั่งกวนหว่านยิ้มแล้วถามขึ้นว่า
“ด้านนอกหิมะตกแล้ว เหตุใดคุณหนูฉู่ถึงยังมาชมดอกไม้อยู่ที่นี่ล่ะ?”
“เพราะข้าไม่เคยเห็นดอกไม้บานในฤดูนี้เลย จึงรู้สึกสงสัยอย่างมาก ก็เลยยืนดูอยู่นานไปสักเล็กน้อย ทิวทัศน์เช่นนี้ หากอยากจะดูคงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้น ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มของความอิจฉา
ซั่งกวนหว่านกลับรู้สึกไม่เห็นด้วย ก่อนจะแสดงสีหน้าเสียใจเล็กน้อยออกมา
“เมื่อครู่ใต้เท้าจั่วกล่าวว่า ช่วงสองวันมานี้สุขภาพของเสด็จพ่อดีขึ้นมาก ข้าจึงอยากไปดูด้วยตนเอง จึงเกรงว่าวันนี้จะไม่สามารถอยู่กับคุณหนูฉู่ได้นาน”
ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจความหมายของนางดี จึงพูดขึ้นว่า
“หากองค์หญิงมีธุระก็รีบไปจัดการเถิด ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”
ซั่งกวนหว่านพยักหน้า
“ช่วงนี้ข้านั้นได้รับสมุนไพรมาหลายชนิด ทั้งหมดล้วนเป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่ง น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่เซียนหมอ จึงไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นจึงขอมอบให้คุณหนูฉู่จะดีกว่า”
เมื่อพูดจบ นางก็ยกมือขึ้นมา
นางกำนัลที่อยู่ด้านหลังก็รีบสาวเท้าขึ้นมา พร้อมส่งกล่องสามใบให้นาง
ฉู่หลิวเยว่ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับของนั้นไป
“ขอบพระทัยองค์หญิงสาม”
จากนั้นทั้งสองคนก็คุยกันต่อแค่ไม่กี่ประโยค ซั่งกวนหว่านก็ขอตัวจากมา
ฉานอี้จึงส่งฉู่หลิวเยว่ออกนอกวังหลวง
…
หลังจากฉู่หลิวเยว่เดินออกจากวังหลวงแล้ว นางก็เดินอยู่คนเดียวตามท้องถนน
เมื่อครู่ตอนที่นางอยู่สวนดอกไม้ด้านหลังของตำหนักฮวาหยาง ดูเหมือนว่านางกำลังชื่นชมดอกไม้อย่างละเอียด แต่ความจริงแล้วนางกำลังวัดตำแหน่งร่องน้ำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอยู่
ร่องน้ำแห่งนั้นอยู่ใกล้พื้นดินมาก เมื่อนางยืนอยู่ตรงนั้น ก็สามารถสัมผัสได้ถึงเสียงน้ำและทิศทางน้ำที่อยู่ด้านล่างได้อย่างละเอียด
ตอนนี้ภาพของร่องน้ำแห่งนั้นถูกวาดขึ้นในสมองของนางแล้ว
ถ้านางเดาไม่ผิดแล้วละก็ร่องน้ำแห่งนี้เป็นธารน้ำไหล ไหลมาจากภูเขาหยูฉวนไปทาง…
ทันใดนั้นเองฉู่หลิวเยว่ก็ชะงักฝีเท้า แววตามีความประหลาดใจปรากฏขึ้น
เหมือนว่าร่องน้ำนี้จะไหลไปทางหอบรรพกษัตริย์?!
ต้องบอกก่อนว่า หอบรรพกษัตริย์เป็นตำหนักที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
ทั้งภายนอกและภายในตำหนัก นอกจากจะมีทหารยามเฝ้าอยู่แล้ว ด้านในนั้นยังมีการจัดวางค่ายกลที่แน่นหนาอีกด้วย!
ที่แห่งนั้นสร้างตั้งแต่สมัยองค์ไท่จู่แล้ว ก้อนอิฐก้อนหินแต่ละก้อน ต้นหญ้าแต่ละต้น ล้วนถูกคัดสรรอย่างพิถีพิถัน และไม่สามารถเสียหายได้โดยง่าย
แต่คาดไม่ถึงว่าซั่งกวนหว่านจะขุดร่องน้ำไปยังที่นั่น?
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแน่นขึ้น
ที่ซั่งกวนหว่านทำเช่นนี้ นางคิดจะทำอันใดกันแน่?
ทันใดนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างรีบร้อนจากด้านหลัง
“เร็วสิ! เร็วเข้าสิ! คุณชายใหญ่เรียกแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังมัวแต่โอ้เอ้อยู่เล่า?”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตาไปมอง เห็นเป็นชายคนหนึ่งกำลังเดินไปด้วยท่าทางรีบร้อน
ด้านหลังของเขามีชายติดตามอีกสี่คน
คนผู้นี้น่าจะยังมีอายุไม่เกินยี่สิบปี แต่ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเสียงเร่งเร้าจากชายคนที่อยู่ด้านหน้า หนึ่งในนั้นจึงพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า
“พวกเราก็อยากจะรีบอยู่หรอก แต่คุณชายใหญ่เรียกด่วนขนาดนี้ แม้กระทั่งเวลาจัดการตัวเองยังไม่มีเลย…”
“นั่นสิ! เขาไม่ได้เรียกเรามาตั้งหนึ่งปีแล้ว ใครจะไปรู้เล่าว่าวันนี้จะโดนเรียกตัวน่ะ? แบบนี้มันกะทันหันเกินไปแล้ว!”
“หึ ด้วยสภาพของพวกเราตอนนี้…อยากเร็วก็เร็วไม่ได้หรอก! แล้วยังต้องพาน้องสี่ไปอีก…”
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองคนกลุ่มนั้นด้วยความรวดเร็ว พร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อย
คาดไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะพิการทั้งหมด
สองคนในกลุ่มนั้นมีแขนข้างเดียว ส่วนอีกคนหนึ่งมีขาข้างเดียว แล้วยังมีคนที่ถูกเรียกว่า “น้องสี่” นั่นอีก หนังตาของเขาโบ๋ลึกลงไปเป็นหลุม เหมือนว่าเขาจะตาบอด
ส่วนชายที่ตะโกนขึ้นเสียงดัง ใบหน้าของเขาก็มีรอยแผลเป็นอยู่สองรอย และมันทำลายใบหน้าของเขาให้เสียโฉม จึงดูน่ากลัวอย่างมาก
รอยแผลเป็นนั้นทำให้เขาขมวดคิ้วแน่นขึ้น ดูแล้วยิ่งทวีความดุร้ายและกระหายเลือด
“พวกเจ้าอยากตายแล้วใช่หรือไม่ มัวแต่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่นั่น!”
พวกเขาเริ่มเงียบเสียงไป และพยายามเร่งความเร็วให้มากที่สุด
ฉู่หลิวเยว่จึงขยับเท้าถอยหลังเพื่อหลีกทางให้เขา
พวกเขาเดินผ่านตัวของนางไปอย่างรีบร้อน
ในตอนนั้นหิมะกำลังตกลงมา ผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนนก็น้อยลงกว่าเดิมมาก
คนเหล่านั้นกำลังเดินมุ่งหน้าออกไป ระยะห่างค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีฉู่หลิวเยว่กำลังจะสาวเท้าเดินออกไป แต่ตอนนั้นนางก็ได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งพูดขึ้นมา
“…ที่พวกเราเป็นอยู่ตอนนี้ มันต่างจากคนตายแล้วที่ใดกัน? ถ้ารู้ว่าที่นั่นอันตรายขนาดนี้ หนึ่งปีก่อนข้าไม่ควรติดตามคุณชายใหญ่ไปเลย…จึงต้องกลายเป็นไอ้แขนด้วนเช่นนี้ วรยุทธ์ก็ไม่มีทางก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว…เป็นได้แค่ไอ้ขยะเท่านั้น!”
เสียงของเขานั้นเบามาก แต่ฉู่หลิวเยว่กลับได้ยินอย่างชัดเจน
ส่วนคนอื่นๆ ก็เหมือนจะตกตะลึงไปเช่นกัน พวกเขาจึงเงียบเสียงลง
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแน่น
คุณชายใหญ่…
หนึ่งปีก่อน…
ที่อันตราย…
หรือว่า “คุณชายใหญ่” ที่พวกเขาพูดถึงจะเป็นเจียงอวี่เฉิง?
ตอนนี้พวกเขากำลังจะไปที่จวนตระกูลเจียงอย่างนั้นหรือ?
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกไป จากนั้นก็ค่อยๆ ติดตามไปอย่างเงียบๆ