ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 660 วันแต่งงาน
ตอนที่ 660 วันแต่งงาน
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน และคนที่เข้ามาใหม่คือ เจียงอวี่เฉิง นั่นเอง
เขาเดินตรงมาทางนี้ ใบหน้าประดับรอยยิ้มเล็กน้อย
“หว่านเอ๋อร์ ข้ากำลังคิดว่าจะเข้าวังไปพบเจ้าพอดีเลย เพื่อคุยเรื่องงานแต่งงาน แต่เจ้าก็มาที่นี่พอดี”
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ ในใจของซั่งกวนหว่านก็รู้สึกหวานล้ำ ใบหน้าดูดีขึ้นมากกว่าเดิม
เจียงอวี่เฉิงพูดไปด้วย พร้อมเดินเข้ามานั่งข้างๆ พวกนางด้วย จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า
“เหตุใดถึงไม่บอกก่อนเล่าว่าจะมา? เมื่อเจ้ามาแล้วที่จวนไม่มีคนออกมาต้อนรับเลย เป็นการละเลยเจ้าอย่างมาก”
“ไม่เป็นไร จู่ๆ ข้าก็แค่อยากมาเท่านั้น จึงพาแค่ฉานอี้มาที่นี่ แล้วอีกอย่างที่นี่ก็มีอวี่จือคอยต้อนรับข้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
ซั่งกวนหว่านพูดยิ้มๆ
“หื้ม?” เจียงอวี่เฉิงเหลือบสายตาไปมองเจียงอวี่จือ “แล้วเมื่อครู่นี้พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอันใดกันอยู่หรือ?”
เขากวาดสายตามองตัวของเจียงอวี่จืออย่างช้าๆ ตอนนั้นเองก็ทำให้เจียงอวี่จือรู้สึกร้อนตัวขึ้นมา
นางก้มหน้าลงแล้วพูดพึมพำว่า
“ก็…ก็ไม่มีเรื่องอันใด…”
“นางบอกว่าช่วงนี้ไม่ได้ออกจากจวนเลย ไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอันใดสนุกๆ ขึ้นบ้าง ดังนั้นจึงขอให้ข้าเล่าเรื่องราวให้นางฟังบ้าง”
ซั่งกวนหว่านต่อบทสนทนาอย่างราบรื่นและไม่เปลี่ยนสีหน้า และเหมือนว่ากำลังมองเจียงอวี่เฉิงด้วยความโกรธเล็กน้อย
“จะว่าไปแล้วนางก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงขังนางเอาไว้ในจวนล่ะ? เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางรู้สึกน้อยใจไปหมดแล้ว? ไม่เช่นนั้นครั้งนี้ก็ปล่อยนางไปสักครั้งดีหรือไม่?”
เจียงอวี่จือลอบส่งสายตาให้นางด้วยความซาบซึ้ง
“คือว่า…” เจียงอวี่เฉิงมองใบหน้าของพวกนางทั้งสองแล้วหัวเราะขึ้นมา “ในเมื่อหว่านเอ๋อร์ขอร้องด้วยตนเองเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ข้าจะปฏิเสธ อวี่จือ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การลงโทษกักบริเวณของเจ้าเป็นอันยกเลิก”
เจียงอวี่จือเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจ
“แต่ว่า เรื่องที่ข้าสั่งเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ เจ้าจะต้องจำไว้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว…จะไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว! ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ! ขอบพระทัยองค์หญิงสามเพคะ!”
เจียงอวี่จือรู้สึกอุดอู้มาตั้งนานแล้ว เดิมทีที่นางออกมาเพื่อจะมาขอร้องท่านพี่เกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก แต่ก็สำเร็จเสียแล้ว!
แล้วจะไม่ให้นางดีใจได้อย่างใด?
ในตอนนั้น นางก็นับว่าซั่งกวนหว่านเป็นผู้มีพระคุณของนางแล้ว
เจียงอวี่เฉิงยิ้ม แล้วหยิบแหวนเฉียนคุนออกมาวงหนึ่ง
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากออกไปข้างนอกตั้งนานแล้ว เอาไปสิ วันนี้เจ้าจะเอาไปซื้ออันใดก็ได้ แต่ว่า ต้องพาลุงฝูไปด้วย”
ลุงฝูคือผู้อาวุโสในจวนตระกูลเจียง เขามีวรยุทธ์ระดับเจ็ดขั้นปลายแล้ว
มีเขาติดตามไปด้วย เขาก็สามารถปกป้องคุ้มครองเจียงอวี่จือได้
เจียงอวี่จือกรีดร้องอย่างมีความสุข และรีบคว้าแหวนเฉียนคุนไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ากลัวเจียงอวี่เฉิงจะเปลี่ยนใจ จากนั้นนางก็พูดขึ้นว่า
“ข้าทราบแล้ว! ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ!”
เมื่อพูดจบ นางก็รีบวิ่งออกไปทันที
“ลุงฝู! ลุงฝู! รีบไปเร็วเข้า!”
เมื่อเห็นว่าเจียงอวี่จือหายลับไปจากสายตาแล้ว เจียงอวี่เฉิงก็ถอนหายใจออกมา
เขาเบนสายตาหันไปมองซั่งกวนหว่าน
“หว่านเอ๋อร์ ที่เจ้ามาวันนี้…”
เขาไม่เชื่อว่าจู่ๆ ซั่งกวนหว่านจะอยากมาที่นี่จริงๆ
ซั่งกวนหว่านจ้องหน้าเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดสิ่งที่จั่วหมิงซีรายงานวันนี้ซ้ำอีกรอบ
ยิ่งพูด ใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น
“…เรื่องมันก็ประมาณนี้ แต่ตอนนี้ใต้เท้าจั่วกำลังสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่าเขาไม่มีหลักฐานเท่านั้น ส่วนข้าก็คิดไปคิดมาแล้ว จึงคิดว่าควรนำเรื่องนี้มาปรึกษากับเจ้า”
ซั่งกวนหว่านพูดไปด้วย พร้อมกับสังเกตสีหน้าของเจียงอวี่เฉิงไปด้วย
ดูไปแล้ว…เหมือนว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ…
เดิมทีแล้วนางไม่ได้ต้องการที่จะสงสัยเจียงอวี่เฉิง แต่นางก็ไม่มีทางเลือก ดังนั้นจึงต้องมาเพื่อหยั่งเชิงเขาดู
แต่ตอนนี้นางก็คิดว่าเป็นนางที่คิดมากเกินไป
แต่ถ้าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แล้วจะเป็นใครได้เล่า?
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วแน่น
“คนที่เข้าออกตำหนักชิงเฟิงทุกวันนั้นมีไม่กี่คน หรือว่าจะมีคนเข้ามายุ่มย่ามกับมันจริงๆ ดังนั้นจึงทำให้ฝ่าบาท…”
เขาลุกขึ้นยืนอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะเดินไปเดินมา คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าใครกันแน่ที่มีโอกาสที่จะลงมือ
ความจริงแล้วเขาก็รู้สึกผิดปกติมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงที่ใด
หากตามสิ่งที่จั่วหมิงซีพูด บางที…เขาควรจะต้องตรวจสอบให้ละเอียดแล้ว
“เซียนหมออีกสองคนที่เหลือเล่า? พวกเขาพูดว่าอย่างใดบ้าง?”
ซั่งกวนหว่านพูดอย่างจนปัญญา
“ข้ายังไม่ได้ไปถามเขาเลย วันนี้เป็นเวรของใต้เท้าจั่ว เซียนหมออีกสองคนที่เหลือจึงไม่ได้เข้าวังมา”
เจียงอวี่เฉิงพูดเสียงเรียบ
“ในเมื่อใต้เท้าสามารถเจอปัญหานี้ได้ พวกเขาอีกสองคนที่เหลือก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่พวกเขากลับไม่เคลื่อนไหวอันใดเลยจนถึงตอนนี้ ท่าทางเช่นนี้…”
“เจ้าหมายความว่า อาจจะเป็นฝีมือของสองคนที่เหลือหรือ?” ซั่งกวนหว่านชะงักไป จากนั้นก็รีบพูดปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้ สองคนนั้นเป็นคนที่ข้าคัดเลือกมาอย่างดี และติดตามข้ามาหลายปี ไม่มีทางหักหลังข้าแน่นอน…”
“บนโลกนี้มีอันใดบ้างที่จะซื่อสัตย์กันตลอดไป?” เจียงอวี่เฉิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ น้ำเสียงสงบนิ่ง
ในตอนนั้นเหมือนซั่งกวนหว่านโดนคำพูดโจมตีอย่างแรง ใบหน้าเปลี่ยนสีทันที
บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที หลังจากนั้นซั่งกวนหว่านก็พูดขึ้นว่า
“เช่นนั้น…ข้าจะกลับไปตรวจสอบเรื่องนี้ภายหลัง”
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้า
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เจ้าต้องระวังตัวด้วย”
ไม่รู้ว่าซั่งกวนหว่านกำลังคิดอันใดอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตอบรับอันใด
ส่วนเจียงอวี่เฉิงก็เริ่มคำนวณแผนการที่อยู่ในใจ
เขายังต้องไปไต่สวนคนที่เหลือกว่าครึ่ง…
“หว่านเอ๋อร์…”
“อวี่เฉิง ช่วงนี้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำลังกระตุ้นให้พวกเราเลือกฤกษ์วันแต่งงาน เจ้ามีความเห็นว่าอย่างใด?”
ซั่งกวนหว่านได้สติกลับคืนมาแล้ว แต่คำพูดที่นางพูดออกมานั้น ทำให้เจียงอวี่เฉิงตกตะลึงไป
“อันใดนะ? เหตุใดพวกเขาถึงมาเรียกร้องอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า? ก็บอกกับพวกเขาไปแล้วไม่ใช่หรือว่าอยู่ในช่วงหลายเดือนนี้?”
“พวกเขาต้องการระบุวันที่แน่นอน แม้ว่าพวกเราจะหมั้นกันไปแล้ว แต่วันแต่งงานของพวกเรานั้นก็ยังไม่ได้กำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกร้อนใจอย่างมาก อีกทั้งพวกเขาไม่ได้เรียกร้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ว่ามันผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่…เจ้าไม่ได้สนใจมันเท่านั้น”
น้ำเสียงของซั่งกวนหว่านแฝงความพอใจด้วยเล็กน้อย
ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องหมั้นหมาย เจียงอวี่เฉิงมักจะผลัดออกไปแล้วบอกให้รอ รอ และรอ
ตอนแรกก็บอกว่าเพราะเรื่องที่ซั่งกวนเยว่ตาย พวกเขาทั้งสองคนไม่สามารถมารักกันเร็วเกินไปนัก
แต่ตอนนี้ คนก็ตายไปได้เกือบสองปีแล้ว เขาก็ยังจะประวิงเวลาอยู่!
ตอนนี้อำนาจของราชวงศ์เทียนลิ่งก็อยู่ในมือของนางอย่างแท้จริงแล้ว หรือว่างานแต่งงานนี้ก็ยังต้องสังเกตสีหน้าของคนตายด้วย?
ยิ่งไปกว่านั้น นางกับเจียงอวี่เฉิงก็หมั้นกันมาเกือบครึ่งปีแล้ว แต่วันแต่งงานกลับยังไม่ถูกกำหนดขึ้นเสียที
แม้กระทั่งนางเองที่คิดเรื่องนี้ทีไร ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นในทุกที
เจียงอวี่เฉิงรีบเดินก้าวไปด้านหน้า พร้อมกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้ แล้วพูดโน้มน้าวว่า
“หว่านเอ๋อร์ ข้าไม่ใส่ใจที่ไหนกัน ข้าใส่ใจกับเรื่องนี้มากเกินไปต่างหาก ดังนั้นจึงต้องรอบคอบให้มากที่สุด! ตอนนี้รากฐานของพวกเราเพิ่งจะมั่นคง…แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ฝ่าบาทยังไม่ทรงฟื้น…”
“หรือว่าถ้าชาตินี้ทั้งชาติเสด็จพ่อไม่ฟื้นขึ้นมา พวกเราก็ไม่ต้องแต่งงานกันแล้ว?” ซั่งกวนหว่านพูดขึ้นอย่างโมโห
เจียงอวี่เฉิงรู้สึกลำบากใจ
“ราชวงศ์เทียนลิ่งมีกฎมาตลอดว่า มีเพียงผู้ที่แต่งงานเท่านั้น ถึงจะสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งได้อย่างแท้จริง! ในวันมงคลสมรส ยังเป็นวันราชาภิเษกของข้าด้วย! แม้ว่าตอนนี้อำนาจทั้งหมดจะอยู่ในมือของข้าแล้ว แต่ข้าก็ยังเป็นแค่องค์หญิงสามเท่านั้น! หากแต่งงานช้าหนึ่งวัน ฐานะของข้าก็ลดทอนหนึ่งวัน!”
ซั่งกวนหว่านจ้องหน้าเจียงอวี่เฉิง พร้อมพูดอย่างช้าๆ ชัดๆ ว่า
“และข้าจะไม่รออีกต่อไปแล้ว!”