ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 661 บังอาจ
ตอนที่ 661 บังอาจ
ตอนซั่งกวนเยว่ก็เป็นเช่นนี้
วันแต่งงานของนางกับเจียงอวี่เฉิง ก็เป็นวันเดียวกับวันขึ้นครองราชย์
แต่ว่าหลังจากคนตายไปแล้ว ก็ไม่สามารถจัดงานต่อไปได้
ตอนนี้กว่าจะถึงคราวของนาง แล้วจะให้รอช้าอยู่ได้อย่างใด?
ถ้าได้นั่งตำแหน่งนั้นช้าหนึ่งวัน นางก็รู้สึกไม่สบายใจเพิ่มขึ้นอีกวัน
เจียงอวี่เฉิงมองท่าทีหนักแน่นของนาง ราวกับว่านางได้ตัดสินใจลงไปแล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
“แต่ว่า…หว่านเอ๋อร์ หรือว่าเจ้าลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไปแล้วหรือ? หากเจ้าต้องการขึ้นตำแหน่งอย่างสมเหตุสมผลจริงๆ …เช่นนั้นเจ้าจะต้องมีคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่ง…แต่ตอนนี้ร่างกายของเจ้า”
สีหน้าของซั่งกวนหว่านเปลี่ยนไปในทันที นางกัดฟันกรอด
นางจำเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว!
จักรพรรดิทุกคนของราชวงศ์เทียนลิ่ง ตอนที่จะขึ้นครองราชย์จะต้องถือคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งต่อหน้าเหล่าขุนนางน้อยใหญ่!
เพื่อเป็นการยืนยันตัวและฐานะของตนเอง!
และเป็นตัวแทนอำนาจสูงสุดของราชวงศ์เทียนลิ่งอีกด้วย!
แต่อย่างใดก็ตามคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งนี้มีน้ำหนักมากกว่าหมื่นจิน มีเพียงแค่นักรบระดับแปดเท่านั้นที่จะสามารถยกมันขึ้นได้!
ในตอนนี้ชีพจรของซั่งกวนหว่านถูกทำลายจนหมดสิ้น ดังนั้นจึงไม่มีทางทำได้แน่!
แต่สามารถใช้กลวิธีปกปิดคนอื่นว่านางไม่ใช่ตัวขยะ
แต่นางไม่สามารถหลอกลวงปิดบังคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งได้แน่นอน!
“เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากตอนนั้นเจ้าไม่สามารถยกคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งขึ้นมาได้ ขุนนางทั้งหมดจะมองเจ้าอย่างใด? พวกเขาจะคิดว่าเจ้าไม่มีความสามารถและคุณสมบัติที่จะสืบเชื้อสายราชวงศ์เทียนลิ่ง!”
คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งนั้นถือว่าเป็นของวิเศษที่หลงเหลืออยู่ในราชวงศ์เทียนลิ่ง
มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนให้ความเคารพบูชาและนับถือมัน
มันคือความเชื่อของทุกคน
มีเพียงแค่คนที่ได้รับการยอมรับจากคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งเท่านั้น ถึงจะสามารถเป็นจักรพรรดิที่แท้จริงได้!
ถ้าหากซั่งกวนหว่านล้มเหลวทั้งชีวิตนี้นางจะไม่สามารถกำจัดเงาดำนี้ไปได้ตลอดชีวิต!
ซั่งกวนหว่านกัดริมฝีปากแน่น
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดมาตลอดว่าต้องรอให้เสด็จพ่อฟื้นขึ้นมา จากนั้นถึงจะดำเนินแผนการนี้ต่อไป
แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน
แต่อย่างใดก็ตามซั่งกวนหว่านอยากได้ตำแหน่งจักรพรรดิจนอดใจรอไม่ไหวแล้ว!
นางพูดขึ้น
“เช่นนั้นก็ต้องหาทางฟื้นฟูชีพจรของข้าให้กลับมาดังเดิมก็ได้แล้ว! ไม่ว่าอย่างใดงานหมื่นทูรก็ได้จบลงไปแล้ว…”
เจียงอวี่เฉิงมองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นแล้วพูดว่า
“ไม่ได้! ตอนนี้มันยังเร็วเกินไป หากจะทำเรื่องเช่นนี้ มันจะต้องดึงดูดความสงสัยของคนอื่นอย่างแน่นอน…”
“สงสัยแล้วอย่างใด? ตอนแรกก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยในการตายของซั่งกวนเยว่ไม่ใช่หรือ? ผลสุดท้ายแล้วมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่ใช่หรือ?” ซั่งกวนหว่านแค่นหัวเราะ “ตราบใดอำนาจที่แท้จริงยังอยู่ในมือ ไม่ว่าความสงสัยอันใดก็จะสลายไปอยู่ดีนั่นแหละ”
เจียงอวี่เฉิงมองไปที่นางด้วยความเย็นชา
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าใช้ความพยายามไปมากเท่าไรกว่าจะคลี่คลายความสงสัยเหล่านั้นได้?”
ซั่งกวนหว่านกลอกตามอง จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ด้านหน้าของเจียงอวี่เฉิง
ใบหน้าที่เย่อหยิ่งจองหองของนาง ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย
นางเอนตัวซบลงในอ้อมกอดของเขา มือทั้งสองข้างก็กอดเอวของอีกฝ่ายไว้ แล้วพูดอย่างออดอ้อนว่า
“หว่านเอ๋อร์รู้อยู่แล้ว อวี่เฉิงนั้นดีต่อข้ามากที่สุด ไม่ใช่หรือ?”
นางไม่ได้แทนตัวเองว่า “ข้า”
“ไม่ว่าอย่างใดสถานการณ์ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่มีอันใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ บางทีอาจจะมีเพียงวิธีที่ทำให้ข้าฟื้นฟูชีพจรเท่านั้น…ต่อให้ไม่ทำตอนนี้ หลังจากนี้ก็ต้องทำอยู่ดี ขอแค่ระวังตัวให้มากหน่อย จะต้องไม่เกิดปัญหาอย่างแน่นอน”
มือของนางกำลังปัดป่ายอยู่ที่แขนของเขาอย่างช้าๆ ใบหน้าก็มีประกายความเศร้าหมอง
“ตอนนี้พวกเราทั้งสองคนต่างบาดเจ็บ พลังของเจ้าใช้เวลาแค่หนึ่งปีกว่าก็ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว แต่ว่าข้า…”
เจียงอวี่เฉิงหลับตาลง เพื่อปิดบังความโกรธในแววตา
เขาเกลียดที่ซั่งกวนหว่านพูดถึงเรื่องนี้มากที่สุด ราวกับกำลังย้ำเตือนว่านี่ไม่ใช่แขนของเขา!
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้รู้สึกผิดปกติอันใด แต่ในส่วนลึกของเขากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
ถ้าวันนี้เขาไม่ตอบตกลงไป ซั่งกวนหว่านจะไม่หยุดพักอย่างแน่นอน
หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็พยักหน้า
“ได้”
ซั่งกวนหว่านเงยหน้ามองเขาอย่างดีใจ
“เจ้าเห็นด้วยแล้วหรือ? จริงหรือ?”
มุมปากของเจียงอวี่เฉิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นส่งไม่ถึงดวงตาของเขา
“แน่นอน เรื่องนี้ ข้าจะวางแผนด้วยตนเอง เจ้าแค่สนใจตรวจสอบเรื่องทางฝ่าบาทก็พอแล้ว”
“อือ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าอวี่เฉิงไม่มีทางไม่สนใจข้าหรอก!”
ซั่งกวนหว่านพูดขึ้น พร้อมกอดเขาแล้วถามว่า
“จริงสิ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็กำหนดวันแต่งงานไปเลยดีหรือไม่?”
เจียงอวี่เฉิงกำลังคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของนาง เขาจึงต้องรีบกลืนคำพูดเหล่านั้นลงท้องอย่างรวดเร็ว
เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า
“วันที่หก เดือนแปดเป็นอย่างใด?”
ซั่งกวนหว่านมีใบหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“นั่นมันอีกตั้งครึ่งปีไม่ใช่หรือ? นานเกินไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเป็นวันที่หกเดือนหกล่ะดีหรือไม่? ตอนนั้นทุกอย่างน่าจะเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว”
แม้ว่าจะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงนั้นไม่ใช่เลย
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้าเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็เป็นวันที่หกเดือนหก”
…
หลังจากนั้นเจียงอวี่เฉิงก็นั่งพูดคุยกับซั่งกวนหว่านอยู่สักพัก หลังจากได้กำหนดเรื่องบางอย่างได้แล้ว ซั่งกวนหว่านจึงออกไปจากที่นี่ด้วยความพึงพอใจ
ตอนนี้นางคิดวิธีที่จะรับมือกับตาแก่พวกนั้นได้แล้ว
นางได้ไขข้อกังวลใจไปได้สองเรื่อง นางจึงรู้สึกมีความสุขอย่างมาก แต่นางกลับมองสายตาที่หมดความอดทนของเจียงอวี่เฉิงไม่ออกเลย
หลังจากที่นางเดินจากไปแล้ว เจียงอวี่เฉิงก็นั่งอยู่ในห้องโถงคนเดียวอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากจัดการอารมณ์ของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินกลับไปที่เรือนหวู่ถง
ในเมื่อเรื่องนี้ได้เริ่มเตรียมการลงมือแล้ว เช่นนั้นทางด้านของเขาก็ต้องเร่งทำเวลาบ้างแล้ว
โดยเฉพาะ…ห้ามให้อวี้ฉือซงจับเบาะแสอันใดได้เป็นอันขาด!
ดังนั้นเขาต้องรีบคลี่คลายปัญหานี้ให้ได้เร็วที่สุด!
…
ทุกคนในเรือนหวู่ถงก็ยังยืนรออยู่ที่นี่อยู่ตลอด
หิมะก็ยังตกอย่างต่อเนื่องไม่หยุด จนตอนนี้หิมะทับถมกันจนถึงน่องแล้ว อากาศหนาวถึงกระดูก
แต่ภายในลานนั้นกลับเงียบอย่างมาก ไม่มีเสียงบ่นแม้แต่น้อย
แม้กระทั่งสีหน้าไม่พอใจพวกเขาก็ไม่กล้าแสดงออกมา
ซุนฉียืนอยู่ตรงหน้าบันไดหน้าเรือน พร้อมกวาดสายตามองทุกคน จากนั้นสุดท้ายเขาก็มองเข้าไปในห้องด้านใน
เซี่ยมู่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น เมื่อมองดูแล้ว เขาดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
แต่ซุนฉีกลับรู้สึกโมโหอย่างมาก
เซี่ยมู่คนนี้ มีบางอย่างที่ผิดปกติจริงๆ!
ตอนที่คุณชายใหญ่เดินจากไป ท่าทางของเขาก็บอกอย่างชัดเจนว่าเซี่ยมู่คนนี้มีปัญหา
แต่เขากลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาไม่เพียงแต่จะไม่กังวลถึงสถานการณ์ของตนเอง กลับยังนั่งพักผ่อนอย่างสงบนิ่ง เหมือนว่ากำลังอยู่ที่บ้านของตัวเองอย่างใดอย่างนั้น!
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้สึกเลยว่า เซี่ยมู่คนนี้จะไม่รู้จักชั่วดีขนาดนี้!
จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉีต้าเหออีกครั้ง ตั้งแต่ที่ออกมาจากห้องสอบสวน เขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ มาโดยตลอด!
ได้ยินมาว่าทั้งคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว แต่เหตุใดถึงต่างกันขนาดนี้?
ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายใหญ่อาจจะกลับมาสอบสวนอีกรอบ จึงไม่สามารถทำอันใดเซี่ยมู่ได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงให้คนไล่เซี่ยมู่ออกจากห้อง แล้วให้เขานั่งคุกเข่าที่ด้านนอกหนึ่งวันหนึ่งคืน!
“คุณชายใหญ่”
ทันใดนั้นที่ด้านนอกก็มีเสียงบ่าวชายดังขึ้น
ทุกคนในเรือน รวมถึงซุนฉี ก็รีบหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นก็เห็นว่าเจียงอวี่เฉิงกำลังเดินเข้ามา
บนพื้นมีหิมะหนาหนึ่งชั้น แต่บนพื้นที่เขาเดินผ่าน กลับไม่ทิ้งรอยเท้าของเขาเลย
ทุกคนจึงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก และรีบก้มหน้าทำความเคารพ
“คารวะคุณชายใหญ่!”
เจียงอวี่เฉิงเดินตรงเข้าไปในห้องทันที โดยไม่สนใจเสียงทำความเคารพเหล่านั้น
หลังจากเพิ่งเดินเข้าไป เขาก็เห็นองครักษ์สองคนกำลังยืนอยู่ ส่วนด้านข้างของพวกเขานั้นก็มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจ
คนคนนั้นคือเซี่ยมู่
ทันใดนั้นเจียงอวี่เฉิงก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
“บังอาจ!”