ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 665 เวลานาน
ตอนที่ 665 เวลานาน
ชายชุดขาวยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ข้าน้อย หรงซิว”
เจียงอวี่เฉิงนึกย้อนความทรงจำของตัวเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พบว่าตนเองไม่รู้จักคนคนนี้ และไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“ตามหลักแล้วข้าควรจะลงจากรถม้าไปคารวะคุณชายใหญ่เจียง แต่ว่า…ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จึงเกรงว่าข้าจะไม่สามารถทำได้ ดังนั้นหวังว่าคุณชายใหญ่เจียงจะเข้าใจ”
น้ำเสียงของหรงซิวนั้นเบามาก และแฝงด้วยความเกียจคร้านหลายส่วน
เดิมทีมันเป็นการขอโทษ แต่เมื่อหลุดออกมาจากปากของเขา กลับรู้สึกถึงความไร้ระเบียบแบบแผน
ราวกับว่า…เขาไม่เห็นเจียงอวี่เฉิงอยู่ในสายตาเลย
เจียงอวี่เฉิงระงับไฟโกรธ
“เจ้ารู้จักข้า แต่เหมือนว่าข้าจะไม่เคยเจอเจ้ามาก่อน”
ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม
“หรงซิวเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น หากคุณชายเจียงไม่เคยได้พบข้า นั่นก็เป็นเรื่องปกติแล้ว”
เจียงอวี่เฉิงมองไปทางผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา
“คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเจ้าคือใคร เงยหน้าขึ้นมาสิ”
หรงซิวขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น พร้อมพูดด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ได้ยินมาว่าคุณชายเจียงกำลังตามหาคนร้ายอยู่ ข้าสามารถเข้าใจได้ว่าท่านมีใจต้องการตามหา แต่…พวกเราสองคนอยู่ในรถม้าตลอด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ท่านเรียกว่ามือสังหารเลยแม้แต่น้อย…”
“มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แค่ตรวจสอบก็จะได้รู้แล้ว!”
เจียงอวี่เฉิงพูดแทรกหรงซิว สายตายังจดจ้องไปที่แม่นางคนนั้นตาเขม็ง
“เงยหน้า!”
ในวันที่หิมะตกหนัก แต่คนทั้งสองไม่ยอมอยู่ในเรือนอุ่นๆ แต่กลับออกมานั่งรถม้าที่ด้านนอกเนี่ยนะ?
ในใจของเขารู้สึกสงสัยอย่างมาก แม้กระทั่งสายตาที่จับจ้องไปยังผู้หญิงคนนั้นยังเข้มงวดอย่างมาก
รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงซิวหดหายลงไปสามส่วน
ในตอนที่เขากำลังพูดขึ้น ทันใดนั้นเองแม่นางที่ซบอกของเขาอยู่ก็ขยับศีรษะเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นมาว่า
“หรงซิว ในเมื่อคุณชายใหญ่เจียงต้องการหาคนร้าย แน่นอนว่าเขาจะปล่อยผ่านใครไปไม่ได้ แค่ให้เขาดูหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เจียงอวี่เฉิงก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น
เสียงนี้มัน…
ความคิดบางอย่างกำลังแล่นผ่านสมองของเขา และในตอนนั้นเองแม่นางที่อยู่ในอ้อมกอดของหรงซิวก็เงยหน้าขึ้นมามอง
ใบหน้างดงามปรากฏสู่สายตาของเขา
คนคนนั้นคือฉู่หลิวเยว่!
ในตอนนี้ร่างกายของนางถูกเสื้อคลุมสีดำห่ออย่างแน่นหนา มีเพียงใบหน้าเล็กๆ ที่ถูกรังแกโผล่ขึ้นมา แววตาฉ่ำวาวราวกับสายน้ำกระทบแสงในเดือนสารท
เหมือนกับวันที่หิมะจางหาย สายรุ้งพาดผ่าน เหลือเพียงทิวทัศน์ที่งดงามเท่านั้น
เจียงอวี่เฉิงมองแม่นางคนนั้นอย่างตกตะลึง
แน่นอนว่าเขาจำใบหน้าของนางได้ แต่มัน…ก็คล้ายเป็นคนแปลกหน้า
ในความทรงจำของเขา ฉู่หลิวเยว่เป็นคนที่งดงามอย่างมาก แต่ทั้งร่างกายมีรัศมีสันโดษ ปลีกวิเวก ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
แต่ในตอนนี้สีหน้าที่ดูอ่อนโยน ความอบอุ่นในแววตาที่หาได้อย่างยากยิ่ง เหมือนจะทำให้จิตใจของผู้คนที่พบเห็นอ่อนยวบเป็นลูกบอล และอดไม่ได้ที่จะตกหลุมรักนาง
ฉู่หลิวเยว่มองหน้าเขา
“ที่ข้าไม่ได้เปิดเผยหน้าตาเมื่อครู่ เพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอคุณชายใหญ่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ในเมื่อคุณชายใหญ่เจียงต้องการที่จะตามหาคนร้าย ข้าจึงต้องทำเช่นนี้ หวังว่าคุณชายใหญ่จะให้อภัยข้านะเจ้าคะ”
เมื่อพูดจบนางก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังเขินอายอยู่หลายส่วน และยังรู้สึกวาบหวามในใจ
เจียงอวี่เฉิงไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างใด ในสมองของเขาขาวโพลน จากนั้นเขาก็ถามขึ้นอย่างไม่รู้ตัวว่า
“เขาเป็นใครหรือ?”
หรงซิวกระชับเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้แน่นขึ้น จนเกือบจะปิดใบหน้าเล็กๆ ของฉู่หลิวเยว่จนมิด จากนั้นก็ยิ้มขึ้นบางๆ พร้อมพูดว่า
“ข้าเป็นคู่หมั้นของเยว่เอ๋อร์”
เจียงอวี่เฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง ในตอนนั้นสมองของเขาก็ว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างใด
ตอนที่มู่ชิงเห่อไปแคว้นเย่าเฉิน ประเด็นสำคัญที่สุดไม่ใช่ให้เขาไปค้นหาคนที่มีชีพจรตี้จิง
แต่ความจริงแล้วคือการพาฉู่หลิวเยว่ให้มาเข้าร่วมงานหมื่นทูร
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดเรื่องราวของฉู่หลิวเยว่ให้เจียงอวี่เฉิงฟังมากนัก
ส่วนเรื่องที่นางมีคู่หมั้นแล้ว เขาก็ไม่เคยพูดถึงมาก่อน
แน่นอนว่าเจียงอวี่เฉิงไม่มีทางรู้
แต่เมื่อครู่นี้ที่เขาได้เห็นรอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่ ความทรงจำของเขาก็ทับซ้อนขึ้นมาทันที
คนผู้นั้น ก็เคยยิ้มเช่นนี้เหมือนกัน
รอยยิ้มที่ดูเหมือนเขินอาย แต่ก็มีความสุข ราวกับว่าแสงสว่างทั้งหมดได้รวมอยู่ที่แววตาของนาง ประกายแสงช่างเจิดจ้า
หัวใจของเจียงอวี่เฉิงเหมือนถูกอันใดบางอย่างรัดจนแน่น ภาพเหตุการณ์ทั้งสองซ้อนทับไปมา จนทำให้เขารู้สึกสับสนอย่างมาก
ไม่รู้ว่าเหตุใด มือที่เขากำลังกำดาบอยู่ถึงได้สั่นขึ้นมา
หรงซิวมองไปด้วยสายตาเย็นชา ในใจก็แค่นหัวเราะออกมาหนึ่งครั้ง แต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่
“คุณชายใหญ่เจียง ในเมื่อท่านตรวจสอบแล้วว่ามันไม่มีอันใด เช่นนั้นพวกเราจะไปได้หรือยัง?”
ตอนนั้นเองเจียงอวี่เฉิงถึงได้สติคืนมา
เขาหันไปมองหรงซิว แววตาก็เย็นชาลงเล็กน้อย
เขาก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นจึงสามารถมองความคิดของอีกฝ่ายออก
ท่าทางต้องการครอบครองอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์นั้น มันช่าง…รังเกียจเสียจริง!
เมื่อคิดได้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองคนกำลังทำเรื่องอย่างว่าบนรถม้า เหมือนว่ามีเปลวไฟเข้ามาแผดเผาในหัวใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าความโกรธเหล่านี้มาจากที่ใด แต่เหมือนว่าพวกมันกำลังจะแผดเผาอวัยวะภายในของเขาทั้งหมดแล้ว!
“หิมะตกหนัก พวกเจ้าทั้งสองกำลังทำอันใดอยู่น่ะ?”
เจียงอวี่เฉิงฝืนบังคับอารมณ์ในใจของตัวเองลง แล้วถามขึ้นเสียงเย็น
หรงซิวยกยิ้มขึ้นอย่างมีเสน่ห์ จากนั้นเขาก็อธิบายขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า
“วันนี้เยว่เอ๋อร์ถูกองค์หญิงสามเรียกเข้าไปในวังหลวง แต่เมื่อเห็นว่าหิมะตกหนัก ข้าจึงจ้างรถม้าเพื่อมารับนาง พูดถึงรถม้าแล้ว ก็ต้องขอบคุณรองแม่ทัพมู่ ถ้าไม่มีเขา ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหารถม้าดีๆ เช่นนี้มาจากที่ใด และไม่น่าจะได้มาอย่างง่ายดายเช่นนี้”
คำพูดสั้นๆ แค่สองประโยค แต่ข้อมูลที่มาได้กลับครบถ้วน
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้าง แล้วเงยหน้ามองเขา
คาดไม่ถึงว่ารองแม่ทัพมู่จะช่วยหรงซิวหารถม้าคันนี้มาให้?
พวกเขาเจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วมู่ชิงเห่อจะตอบตกลงให้ความช่วยเหลือกับเรื่องแบบนี้ได้อย่างใด
เจียงอวี่เฉิงตกใจอย่างมาก ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วหันมองหน้าฉู่หลิวเยว่
“วันนี้องค์หญิงสามเรียกเจ้าเข้าวังหรือ? นางเรียกหาเจ้าด้วยเหตุใด?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ก็แค่คุยเรื่อยเปื่อยเท่านั้น หลังจากนั้นองค์หญิงสามกำลังยุ่งเกี่ยวกับการดูแลฝ่าบาท ข้าจึงกลับมา”
ดูจากสีหน้าของฉู่หลิวเยว่แล้ว น่าจะยังไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
แต่ในใจของเจียงอวี่เฉิงกลับอยู่ไม่สุข
มันจะกะทันหันเกินไปแล้ว!
วันนี้นางมาหาเขาที่จวนอย่างกะทันหัน พวกเขาสองคนคุยกันอยู่ตั้งนาน แต่นางก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย! นางคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาและไม่ควรบอกเขางั้นหรือ หรือว่านางจงใจปิดบังเขา?
แล้วก็ยังมีมู่ชิงเห่อ ที่เขาให้ไปตรวจสอบบ้านหลังนั้นในถนนลิ่วอวิ๋นเหตุใดถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับหรงซิว? ช่วยเหลืองั้นหรือ?
แต่ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม สิ่งที่หรงซิวพูดมาก็มีเหตุผล อีกทั้งไม่ว่าเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่เข้าวัง หรือมู่ชิงเห่อออกหน้าช่วยเหลือ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเสแสร้งได้
คำพูดอธิบายสองประโยค ไม่มีตรงไหนที่ดูผิดแปลกไปเลย
ความสงสัยที่มีในใจของเจียงอวี่เฉิงค่อยๆ จางลงไป ในที่สุดเขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าว
”เอาล่ะ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ในเมื่อสืบค้นจนกระจ่างแล้ว พวกเจ้าก็ไปได้!”
พูดจบเขาก็โบกมือหนึ่งครั้ง องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างของเขาก็รีบหลีกทางให้ทันที
ม้าเหล่านั้นดูเหมือนมีจิตวิญญาณ มันรีบยกกีบขึ้น แล้วเดินไปด้านหน้าทันที
แต่มันเพิ่งยกเท้าขึ้น ยังไม่ทันได้เดินไปไหน ทันใดนั้นเหมือนเจียงอวี่เฉิงนึกอันใดขึ้นมาได้ จึงรีบเข้าไปขวางรถม้าเป็นครั้งที่สอง
เขาจ้องทั้งสองคนตาเขม็ง พร้อมแผ่แรงกดดันออกมา ก่อนจะถามขึ้นอย่างเคร่งเครียดว่า
“ไม่ถูกต้อง องค์หญิงออกจากตระกูลเจียงไปสักพักหนึ่งแล้ว ฉู่หลิวเยว่เองก็ควรจะออกจากวังหลวงตั้งนานแล้วถึงจะถูกต้อง เหตุใดพวกเจ้าถึงใช้เวลาบนถนนนานขนาดนี้?”
ฉู่หลิวเยว่กระชับผ้าในมือแน่นขึ้น
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำของผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้าง ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เรื่องเวลานั้น…ไม่นับว่านานหรอกมั้ง? หรือว่าสำหรับคุณชายเจียงแล้วคิดว่ามันนาน?”