ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 666 สามารถจับต้องได้
ตอนที่ 666 สามารถจับต้องได้
ฉู่หลิวเยว่รับรองด้วยชีวิตเลยว่า นางเห็นใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงดำมืดขึ้นมาภายในชั่วพริบตา
นางเหลือบสายตามองหรงซิวอย่างเงียบๆ
คำพูดนี้ช่างรุนแรงอย่างมาก
เป็นพิษร้ายแก่ชายแท้
แต่ว่า…นางชอบมันมาก!
หรงซิวไม่รอให้เจียงอวี่เฉิงโมโห เขายังพูดต่อว่า
“การได้อยู่กับคนรักของตนเอง ต่อให้ได้พูดคุยเรื่องที่น่าเบื่อที่สุด ทำเรื่องที่น่าเบื่อที่สุด ก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนุกมาก ดังนั้นข้าจึงหลงลืมเวลาไป”
เขายื่นมือออกมาแล้วสางผมให้กับฉู่หลิวเยว่อย่างช้าๆ
“ข้ากับเยว่เอ๋อร์ไม่ได้เจอกันตั้งนาน รู้สึกคิดถึงกันอย่างยิ่ง ข้ายังกลัวว่าจะมองหน้านางไม่พอ ไฉนเลยจะมาสนใจดูเวลาเล่า?”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและอ่อนโยน แววตาที่มองไปฉู่หลิวเยว่ช่างลึกซึ้ง เหมือนว่ากำลังมองของที่ล้ำค่าที่สุดบนโลกนี้
ในใจของฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกเหมือนมีอันใดบางอย่างมากระแทกเบาๆ เต็มไปด้วยความหวานและเปรี้ยวในใจ
ร่องรอยความกังวลที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความอุ่นใจเท่านั้น
ขอแค่มีผู้ชายคนนี้อยู่ ปัญหาทุกอย่างของนาง เขาจะช่วยแก้ไขได้ทุกอย่าง
นางไม่ต้องกังวลใจอันใดเลย เพียงตั้งใจดูและตั้งใจฟังก็พอแล้ว
เจียงอวี่เฉิงกำหมัดกรอด เพราะเขาใช้แรงมากเกินไปข้อนิ้วจึงกลายเป็นสีขาว เส้นเลือดสีเขียวที่หน้าผากก็เต้นตุบๆ
คำพูดของหรงซิวนี่มัน…ทำให้เขาเถียงไม่ออกเลยแม้แต่ครึ่งคำ!
อีกทั้งภาพที่คนทั้งสองกำลังตระกองกอดกัน มันช่างแสลงสายตาเขาเหลือเกิน
“ไป!”
เขาสูดลมหายใจเขาลึกๆ แล้วหมุนตัวเดินออกมา
องครักษ์ทั้งหลายก็รีบติดตามเขามาทันที
หลังจากนั้นไม่นาน เงาร่างของคนผู้นั้นก็ได้หายไปจากมุมถนนแล้ว
ในที่สุดรอบด้านก็เงียบเสียงลงแล้ว แรงกดดันที่อยู่รอบๆ ก็สลายหายไป
หรงซิวลดผ้าม่านลง เพื่อตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลง แล้วค่อยถอนหายใจออกอย่างช้าๆ
เกือบไปแล้ว…นางเกือบจะหนีไม่รอดแล้ว!
หากหรงซิวไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างทันเวลา เกรงว่านางคงถอนตัวจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ยากแล้ว
เจียงอวี่เฉิงผู้นี้เป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างมาก นางทำร้ายเขา เขาจะต้องสืบต้นตอของนางจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน
เกรงว่าช่วงนี้ซีหลิงคงจะครึกครื้นขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
“ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ?”
หรงซิวขมวดคิ้วแน่น
“เจ้านี่ใจกล้าจริงๆ เลยนะ”
ฉู่หลิวเยว่ถูกเขาเย้ยหยัน แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอันใด แต่กลับถามขึ้นมาอย่างสนใจว่า
“ที่เจ้าออกมาวันนี้ เพื่อมารับข้าจริงๆ น่ะหรือ? หรือว่า…ตั้งใจมารอข้าที่นี่?”
หรงซิวหัวเราะออกมาโดยไม่ปริปากพูดอันใดสักคำ
ถ้าพูดอย่างจริงจังก็คือทั้งสองอย่าง
ตอนแรกเขาได้ยินมาว่าซั่งกวนหว่านเรียกนางให้เข้าวัง เขาจึงรู้สึกเป็นห่วงอยู่หลายส่วน
แต่มู่ชิงเห่อมาพอดี ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย
ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถหารถม้าดีๆ ได้ เพียงแต่ว่า…เขารู้สึกไม่ชอบหน้ามู่ชิงเห่อก็เท่านั้นเอง
แต่สุดท้ายเขากลับไม่สามารถรับฉู่หลิวเยว่ออกมาได้
แต่รถม้าคันนี้ก็มาถึงแล้ว
ดังนั้นเขาจึงมีพยานและหลักฐานพร้อม และช่วยล้างมลทินที่มีต่อฉู่หลิวเยว่ได้อย่างหมดจด
ต่อให้เจียงอวี่เฉิงยังมีข้อสงสัย เขาก็ไม่มีทางพบข้อบกพร่องอย่างแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองเขาครู่หนึ่ง นางน่าจะเดาได้บางส่วนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“หรงซิว เหตุใดทุกครั้งที่ข้าต้องการเจ้า เจ้ามักจะอยู่ข้างๆ เสมอเลยล่ะ?”
ไม่ใช่หนึ่งครั้ง ไม่ใช่สองครั้ง
แต่เป็นทุกครั้ง
ทุกครั้งที่นางคิดว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ตอนที่ไม่มีทางให้หนีรอด เขามักจะปรากฏตัวขึ้นเสมอ พร้อมดึงนางออกจากอันตรายและกลับเข้าสู่อ้อมแขนของเขา
บนโลกใบนี้ เหตุใดถึงมีคนเช่นนี้อยู่ คนที่รู้เรื่องราวของนางทุกอย่าง ชอบสิ่งที่นางชอบ เกลียดสิ่งที่นางเกลียด
พร้อมมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้นางเสมอ
ใบโลกนี้จะมีคนที่เข้าอกเข้าใจนางจริงๆ หรือ?
หรงซิวเคาะเบาๆ ตรงคิ้วที่ผูกเป็นปมของนาง
“ข้าเคยสัญญาไปแล้ว ข้าจะต้องทำให้ได้อย่างแน่นอน”
มือข้างหนึ่งของฉู่หลิวเยว่กำลังจับกระดุมหยกบนเสื้อของเขา จากนั้นก็ถามเขาอย่างมึนงงว่า
“ข้าจำไม่ได้แล้วว่าเจ้าเคยพูดเช่นนี้มาก่อน…”
หรงซิวมองนางด้วยแววตาลึกซึ้ง ราวกับในแววตาของเขามีคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนจะพวยพุ่งออกมา และในที่สุดมันก็เข้าสู่ความสงบ
ตอนนั้นเองดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเสน่หา
“ความจริงแล้วกระดุมนี้มีวิธีแกะ เจ้าอยากให้ข้าสอนหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตาฉ่ำน้ำจับจ้องมาทางเขา
“ไม่ต้องสอน ข้าก็ทำเป็น!”
เจ้ากำลังดูถูกใครกัน?!
เมื่อเห็นผมยาวสลวยของนาง และถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ ท่าทางเหมือนหนอนไหม ตอนนี้นางกำลังโกรธมาก ใบหน้าแดงก่ำ จึงทำให้ดูน่ารักอย่างมาก
หรงซิวหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
“ดี! เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าซ้อมมือโดยไม่เก็บเงิน ดีหรือไม่?”
รถม้าเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอีกครั้ง
เมื่อตัวรถแกว่งไปมา มือของฉู่หลิวเยว่ก็หลุดพลาดไปเล็กน้อย นางสามารถแกะกระดุมออกครึ่งหนึ่งอย่างยากลำบาก
ฉู่หลิวเยว่ย่นจมูกขึ้น แล้วออกแรงเพิ่มอย่างไม่พอใจ!
“แควก”
ฉู่หลิวเยว่จ้องกระดุมหยกที่หลุดออกมาอยู่กลางฝ่ามือด้วยสายตาว่างเปล่ารวมถึงเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นเพราะแรงกระชาก ทำให้นางพูดอันใดไม่ออก
นี่…นี่นางควรทำอย่างใดดี…
หรงซิวเอนตัวพิงผนังรถม้า ก่อนจะยิ้มอย่างเกียจคร้าน แล้วพูดอย่างใจกว้างว่า
“เยว่เอ๋อร์ ข้าสอนเจ้าได้จริงๆ นะ ไม่เห็นจะต้องกดดันตนเองขนาดนี้เลย…”
ฉู่หลิวเยว่มองกระดุมด้วยสายตาไร้ความผิด แล้วยิ้มเหยเก
“คือว่า…ความจริงข้าเองก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าของเจ้าคุณภาพแย่มาก…”
สายตาหรงซิวที่มองมาเหมือนเข้าใจทะลุปรุโปร่ง แต่เขาแค่ยิ้มแล้วไม่ได้พูดออกมา
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว!
…
ท่ามกลางหิมะตกหนัก รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไป
บนท้องถนนกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิมแล้ว นอกจากรอยล้อรถสองรอยที่ยาวเป็นทาง ก็เหมือนว่าจะไม่มีอันใดเกิดขึ้นอีกแล้ว
ทางด้านของเจียงอวี่เฉิงก็ยังรู้สึกว่ามีกองเพลิงมาสุมอกอยู่
เมื่อหันกลับมา ฉากเหล่านั้นก็ยังวนเวียนอยู่ในสมองของเขาอยู่
ท่าทางเขินอายและบอบบางของแม่นางคนนั้น ท่าทางเช่นนี้มีให้เห็นเฉพาะตอนที่นางอยู่กับคนในใจเท่านั้น
เดิมทีนางก็เป็นคนที่สวยมากอยู่แล้ว เรื่องนี้เจียงอวี่เฉิงรู้ตั้งนานแล้ว
นางกับคนผู้นั้นมีส่วนคล้ายกัน เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าของนาง ก็ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงไป หลังจากที่ได้เจอกัน มักมีความรู้สึกว่าเขาจะไม่ได้เจอนางอีกต่อไปแล้ว
เขาบอกตนเองอยู่ในใจเสมอ
ว่าคนทั้งสองนั้นต่างกันมาก เดิมทีก็ไม่มีอันใดที่สามารถมาเทียบกันได้เลย
โดยเฉพาะตอนที่เขามองออกไปจากเรือนฉินในสวนเทพเนรมิต ในใจของเขาสามารถแยกทั้งสองคนออกจากกันได้อย่างสมบูรณ์
เขาจึงคิดว่าอาการใจเต้นแรงได้มลายหายไปหมดแล้ว
แต่เมื่อได้เจอกันอีกครั้งในวันนี้ เขากลับพบว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
บนร่างกายของฉู่หลิวเยว่เหมือนจะมีรัศมีแปลกๆ บางอย่าง ที่ทำให้เขาอดมองซ้ำอีกครั้งไม่ได้
นางเหมือนกับคนผู้นั้น แต่ก็ไม่เหมือน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่ได้มีเบื้องหลังทางตระกูลที่สูงส่ง ดังนั้นนิสัยใจคอและการเลี้ยงดูก็ไม่สามารถนำมาเทียบกับคนคนนั้นได้เลย แต่นางกลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าเล็กน้อย
และในกระดูกดำของนางคงเป็นความดื้อรั้นและการยืนหยัด
คนที่ไม่เคยผ่านความลำบาก คงไม่มีความรู้สึกแบบนี้
หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง คนนั้นเหมือนกับดวงอาทิตย์เหนือเมฆา ทำได้เพียงแต่มอง ต่อให้เขาเคยหมั้นหมายกับนาง แต่เขาก็รู้สึกตลอดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามีอันใดกั้นอยู่เสมอ มีบางครั้ง เขายังรู้สึกว่าเขาเอื้อมไม่ถึงแขนเสื้อของนางเสียด้วยซ้ำ
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่เหมือนกัน
นางงดงามสดใสเหมือนกัน แต่กลับสามารถจับต้องได้
เหมือนว่าแค่เขายื่นมือออกไป นางก็สามารถกลายมาเป็นของเขาได้แล้ว…
เจียงอวี่เฉิงส่ายหน้าอย่างแรง เพื่อที่จะสะบัดความคิดเหล่านั้นให้ออกไป
แต่สิ่งทำให้เจียงอวี่เฉิงรู้สึกมึนงงและสับสนก็คือ ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ความคิดนี้กลับชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
เพราะว่า…ฉู่หลิวเยว่ที่เป็นเช่นนี้…เหมือนว่าเขาจะไม่มีทางต้านทานได้เลย
“คุณชายใหญ่!”