ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 677 จับตา
ตอนที่ 677 จับตา
“เจ้าหมายถึง…เกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงหรือ?”
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้วเรียวขึ้น
“ของสิ่งนั้นนับว่าไม่เลว แต่มันถูกเก็บไว้ตำหนักเจาเยว่ (ตำหนักส่องจันทร์) มาโดยตลอด…อีกทั้งคนทั้งซีหลิงต่างก็รู้ว่า นั่นเป็นของซั่งกวนเยว่หากข้านำมันออกไป…”
“คนผู้นั้นจากไปแล้ว หากเก็บสมบัติศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เฉยๆ มันก็จะไม่เกิดประโยชน์ หากฝ่าบาทสามารถนำมาใช้และคุ้มครองพระองค์ได้ นั่นสิถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์สูงสุดแล้ว”
ฉานอี้ดูเหมือนไม่สนใจ และพูดโน้มน้าวขึ้น
“ตอนนี้ท่านมีกำลังพลมากกว่าหมื่นคนแล้ว แล้วอีกอย่างอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่านจะมีงานมหามงคลสมรสอย่างเป็นทางการแล้ว ใต้โลกหล้านี้ไม่มีใครเหมาะจะเป็นนายคนใหม่ของเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงเท่าท่านอีกแล้ว”
สิ่งที่นางพูดทำให้ซั่งกวนหว่านประทับใจอย่างมาก
เกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน
ในตอนที่ซั่งกวนเยว่เพิ่งผ่านวัยปักปิ่น นางก็นำทหารม้าทมิฬออกลาดตระเวนตามชายแดน
ระหว่างทางนั้นเองนางได้เข้าไปในสนามรบโบราณอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็ได้รับชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงตัวนี้มา
ต่อมานางสวมมันต่อหน้าธารกำนัลเพียงครั้งเดียว นั่นคือการปราบกบฏครั้งสุดท้ายที่แดนภังคะ
ลือกันว่าหากนางสวมเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงแล้ว นางสามารถสู้กับจอมยุทธระดับแปดสามคน สุดท้ายก็ยังฆ่าตัดคอพวกเขาทั้งสามคนได้อีกด้วย!
ในตอนนั้นเองเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงก็โด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมา
ซั่งกวนเยว่เป็นองค์หญิงใหญ่ที่ฟ้าลิขิต พบเห็นสมบัติล้ำค่าไม่รู้มากน้อย แต่เกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงจะต้องเป็นอาวุธโบราณสามอันดับแรกที่นางเลือกอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่ามันสุดยอดมาก
แน่นอนว่าซั่งกวนหว่านก็เคยถูกของเช่นนี้ล่อลวง แม้แต่ตอนที่นางเพิ่งจัดการซั่งกวนเยว่ได้แรกๆ นางก็เคยคิดว่าจะนำเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงนี่มาเป็นของตนเอง
แต่หลังจากนั้นชีพจรของนางกลับถูกเผาไหม้ ไม่สามารถฟื้นกลับคืนมาได้เหมือนเดิม นางจึงต้องโยนความคิดนี้ทิ้งไปด้านหลัง
ตอนนี้เมื่อฉานอี้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงทำให้นางจำได้ทันที
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล…”
ซั่งกวนหว่านหรี่ตา ในใจก็มีความคิดร้อยแปดพันเก้าผุดขึ้นมา
“ไปตอนนี้เลย!”
…
ตำหนักเจาเยว่
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่มีเกียรติที่สุดในวังหลวง รองลงมาจากตำหนักเฉียน ตำหนักที่ประทับของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
เพราะที่นี่เคยเป็นที่ประทับขององค์หญิงใหญ่
ความหรูหราและผู้คนที่เคยพลุกพล่านก็ได้หายไป ตอนนี้ตำหนักเจาเยว่กลายเป็นสถานที่ที่โดดเดี่ยวและรกร้างอย่างมาก
นอกจากองครักษ์ที่ถูกส่งให้เฝ้าที่ตำหนักนี้ ก็แทบจะไม่มีใครมาที่นี่เลย
เพราะว่าองค์หญิงใหญ่ธาตุไฟเข้าแทรกและสิ้นพระชนม์ไป พูดไปก็ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร กอปรกับอำนาจทั้งหมดตอนนี้อยู่ในมือขององค์หญิงสาม ดังนั้นจึงมีคนพูดเรื่องนี้น้อยมาก
แม้ว่าในสายตาของคนทั้งโลกจะเห็นว่าองค์หญิงสามและองค์หญิงใหญ่สนิทกันมาก
แต่คนที่อยู่ในวังหลวงมานาน ที่มีความคิดก็สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
ดังนั้นตอนที่ซั่งกวนหว่านมาถึงคนที่อยู่ในตำหนักเจาเยว่จึงตกใจกันเป็นอย่างมาก
“องค์หญิงสามทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”
ซั่งกวนหว่านโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เดินเข้าตำหนัก และเดินตรงเข้าไปในห้องบรรทม
“ข้าแค่จะเข้ามาดูเฉยๆ พวกเจ้ามีเรื่องอันใดไปทำก็ไปทำเถอะ”
หลังจากทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาก็รอจนซั่งกวนหว่านเดินเข้าห้องบรรทมไปแล้ว พวกเขาก็ลอบสบสายตา จากนั้นก็เดินแยกย้ายไป
ตั้งแต่องค์หญิงใหญ่จากไป องค์หญิงสามมาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้ง นางมาพร้อมแววตาตาแดงก่ำ
หนึ่งปีที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่เท่าไร
ส่วนวันนี้ที่มาอย่างกะทันหันก็ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดใจจริงๆ
แต่ไม่ว่าอย่างใดพวกเขาก็จะต้องปรนนิบัติอย่างระมัดระวังอยู่ดี
…
ซั่งกวนหว่านเดินเข้าห้องบรรทมไป
เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมาที่ห้องนี้นานแล้ว มีกลิ่นฝุ่นจางๆ ในอากาศ
เมื่อแสงแดดส่องเข้ามา ก็ทำให้เห็นฝุ่นที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้วมุ่น หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก ในใจรู้สึกทั้งโกรธทั้งน่าขัน
ใครจะไปคิดเล่าว่าตำหนักเจาเยว่ที่เคยงดงามที่สุด จะมีจุดตกต่ำเช่นนี้ได้อย่างใด?
หากเป็นเวลาปกติ นางจะรีบออกไปตำหนิบ่าวเพื่อแสดงความรักอันลึกซึ้งต่อพี่สาวอย่างแน่นอน
แต่วันนี้นางไม่มีอารมณ์และเกียจคร้านเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนั้นด้วย
นางเดินไปที่ข้างเตียงแล้วลูบมันด้วยความแผ่วเบา หลังจากสัมผัสถึงรอยขรุขระแล้ว นางก็ใช้นิ้วกดลงไป ตู้ไม้จันทน์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เลื่อนออกทันที
เส้นทางลับสายหนึ่งปรากฏแก่สายตา
ซั่งกวนหว่านเดินเข้าไป แล้วเคาะที่ผนังอยู่สองสามครั้ง
“แกร๊ก”
เส้นทางลับเปิดออก!
เกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงวางอยู่ตรงนั้น!
แม้ว่าในห้องที่มืดมิด แต่เกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงตัวนี้ก็ยังคงเปล่งแสงสว่างจางๆ บนเสื้อเกราะตัวนั้นมีปราณที่ล้ำค่าและสูงส่งเกินกว่าจะบรรยายแผ่กระจายออกมา!
เมื่อมองไปคล้ายกับจะสามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณและกลิ่นคาวเลือดพวยพุ่งออกมาจากเกราะได้!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซั่งกวนหว่านเห็นเกราะตัวนี้
แต่ทุกครั้งที่เห็นหัวใจของนางจะสั่นสะท้านอยู่เสมอ!
นี่คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ไม่สามารถเทียบได้กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปได้เลย!
ซั่งกวนหว่านตื่นเต้นมากจึงยื่นมือเข้าไปลูบอย่างอดไม่ได้
สัมผัสที่เย็นเยียบและแข็งแกร่งและมีแรงกดดันที่ทรงพลังแผ่กระจายออกมา
ถ้าสวมลงบนร่างกายของนางจริงๆ แล้วละก็…จะเป็นอย่างใดกันนะ?
ซั่งกวนหว่านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นค่อยๆ หยิบชุดเกราะออกมาอย่างระมัดระวัง เมื่อโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขนนางถึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
นี่สิถึงจะเป็น…ปราณที่แข็งแกร่ง!
ชุดเกราะนี้ต้องทำพันธสัญญา
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ชีพจรของนางเสียหาย จึงทำได้แค่มองมันเฉยๆ
รอให้ร่างกายของนางกลับมาเป็นปกติเมื่อไร…เกราะตัวนี้จะต้องเป็นของนางแน่นอน
ซั่งกวนหว่านเก็บเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงใส่ไปในแหวนเฉียนคุนอย่างระมัดระวัง หลังจากทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ นางจึงสืบเท้าเดินจากมา
ฉานอี้กำลังรออยู่ที่หน้าประตู
ซั่งกวนหว่านเดินออกมาพร้อมพูดเสียงเรียบว่า
“ห้องนอนของพี่หญิงใหญ่ไม่ได้ทำความสะอาดมานาน นางกำนัลของตำหนักเจาเยว่ละเลยหน้าที่ ให้ไล่ออกจากวังหลวงทั้งหมด”
ฉานอี้น้อมรับคำสั่ง
“เพคะ”
…
ตระกูลเจียง
“คุณชายใหญ่ ครั้งนี้ท่านจะไปกับองค์หญิงสามไม่ได้นะขอรับ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าร่างกายของท่าน…”
เฟิงซานหยวนมาที่ห้องหนังสืออีกครั้ง และพยายามโน้มน้าวคุณชายใหญ่อย่างเต็มที่
เจียงอวี่เฉิงนั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าไร้อารมณ์
“ท่านไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างใดข้าก็จะต้องไป”
ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น แต่เพราะ…เขาไม่วางใจในตัวซั่งกวนหว่าน
ซั่งกวนหว่านต้องการฟื้นฟูชีพจรอย่างเร็วที่สุด และเขาก็ตอบตกลงแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่า เมื่อนางเริ่มลงมือ นางก็มาไม้นี้!
นางพาผู้อาวุโสในวังและทหารม้าทมิฬไปก็ช่างเถิด แต่การที่สำนักใหญ่ส่งศิษย์ไปเข้าร่วมสำนักละสิบคน นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?
คนอื่นไม่รู้ แต่เขากลับรู้ดีที่สุด!
ซั่งกวนหว่านรีบร้อนมากเกินไปแล้ว!
เฟิงซานหยวนขมวดคิ้วแน่น
“แต่ว่าถ้าท่านกับองค์หญิงสามล้วนไปที่แดนภังคะ แล้วซีหลิงล่ะขอรับ?”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกน้องคนอื่นก็ได้แล้ว ตอนนี้ปัญหาส่วนใหญ่ล้วนแก้ไขสำเร็จแล้ว ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนคงไม่เกิดอันใดขึ้นหรอก”
เจียงอวี่เฉิงเอ่ยคัดค้าน
สองปีมานี้ เขายึดหลักใครตามข้ารอด ใครขวางข้าร่วง
ควรฆ่าก็ฆ่า ควรจับก็จับ
สิ่งที่จะเป็นภัยคุกคามต่อเขา เขาล้วนจัดการไปพอประมาณแล้ว
เดิมทีเขาไม่เป็นห่วงพวกเห็บพวกไรหรอก เพราะพวกมันไม่สามารถสร้างคลื่นลมอันใดได้
“แต่ยังมีทางฝ่าบาท…”
“เพื่อทำการสืบหาปัญหาทางด้านนั้น ข้าจึงต้องออกจากเมืองซีหลิง”
เจียงอวี่เฉิงพูดอย่างสื่อความนัย
เฟิงซานหยวนจึงไม่พูดมากอีก
ก๊อกๆ!
“คุณชายใหญ่ รองแม่ทัพมู่มาขอเข้าพบขอรับ!”