ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 686 เรื่องราวในอดีต
ตอนที่ 686 เรื่องราวในอดีต
กลุ่มคนมากหน้าหลายตาต่างแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกันและกัน
เมื่อเห็นทัศนคติของฝั่งภูเขาเขี้ยวมังกรแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการจะลุกล้ำเข้ามาฝั่งของชงซูเก๋อ
หลายคนมองหน้ากันราวประหลาดใจ พร้อมความกลัวเล็กๆ ที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมา
นับตั้งแต่คราวที่ชงซูเก๋อประสบกับการลอบโจมตีและตกต่ำจนถึงจุดนี้ ภูเขาเขี้ยวมังกรก็ได้กลายเป็นผู้นำของสำนักวิชาทั้งหมด
แม้ว่าสำนักกระบี่เมฆาม่วงจะไม่ได้อ่อนแอ แต่เมื่อเทียบกับภูเขาเขี้ยวมังกรแล้ว ภูมิหลังของพวกเขายังอ่อนแอกว่าเล็กน้อย
และจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งกับทางภูเขาเขี้ยวมังกร
สำหรับสำนักอื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ฉู่หลิวเยว่ได้แต่คิดในใจว่า ตนได้ติดหนี้บุญคุณทางสำนักภูเขาเขี้ยวมังกรอีกแล้ว
ทว่าอย่างใดก็ตาม มันก็น่าจะช่วยให้การเดินทางไปยังแดนภังคะในครั้งนี้ราบรื่นได้ตลอดลอดฝั่ง
ถึงนางจะไม่กลัว แต่นางก็ขี้เกียจเกินกว่าจะมาคอยตามสะสางปัญหารายบุคคล
ต่างฝ่ายต่างเริ่มแนะนำตัวเอง
ทุกคนในสำนักภูเขาเขี้ยวมังกรล้วนได้เห็น หรือได้ยินเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจว รวมถึงพรสวรรค์ที่น่าทึ่งของเย่หรานหร่านที่งานประลองในวันนั้นกันมาแล้ว
ฉะนั้นพวกเขาถึงเกรงใจคนทั้งสามเป็นอย่างมาก
แม้ว่าทางภูเขาเขี้ยวมังกรจะมีสาวกมากกว่า แต่เนื่องจากเจี่ยนชูเย่นั้นเป็นคนตรงไปตรงมา คนส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การอบรมของสำนักเขาจึงมีนิสัยที่จริงจังและเคร่งขรึมเหมือนกับเขา
พูดก็พูดเถอะ เจี่ยนเฟิงฉือน่ะ คือคนที่เกเรและดื้อรั้นที่สุดในภูเขาเขี้ยวมังกรแล้ว
ดังนั้น ฉู่หลิวเยว่จึงมีความประทับใจที่ดีต่อภูเขาเขี้ยวมังกรมาตลอด
ไม่นาน หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยสื่อสารกันแล้ว อารมณ์ของพวกเขาก็ดีขึ้น และความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างมองดูพวกเขาด้วยสายตาซับซ้อน
ทั้งสงสัย ทั้งอิจฉา และดูถูกเหยียดหยาม
ทว่าฉู่หลิวเยว่และมู่หงอวี่ต่างก็ไม่สนใจสายตาเหล่านั้น
…
“องค์หญิงสามเสด็จแล้ว!”
หลังจากรออยู่พักหนึ่ง จนผู้คนเกือบเข้ามารวมตัวกันครบแล้ว ในที่สุดซั่งกวนหว่านก็ปรากฏตัวขึ้น
กองทัพทหารม้าทมิฬทำการจัดระเบียบและเปิดทางถนนทั้งสองด้าน
ซั่งกวนหว่านถึงได้ย่างกร่ายเข้ามาช้าๆ
ที่ด้านหลังนางมีผู้อาวุโสประจำสำนักพระราชวังติดตามมาด้วย ซึ่งก็คือผู้อาวุโสชิวซีและผู้อาวุโสตวนมู่ฉุน
ก่อนจะปิดท้ายด้วยเจียงอวี่เฉิง
ตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่ได้อภิเษกสมรสกัน ดังนั้นเจียงอวี่เฉิงจึงไม่เดินเคียงข้างซั่งกวนหว่าน
เมื่อเห็นเหล่านั้นเดินเข้ามา ทั่วทั้งจัตุรัสผิงเหลียงก็เงียบลงทันที
พวกเขาทำความเคารพ
“ถวายบังคมองค์หญิงสาม!”
ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนพลันคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพ
ขณะก้มหัวลง แววตาของนางก็ฉายแววเยาะเย้ยถากถาง
ซั่งกวนหว่านคงอยากได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มานานแล้วสิ?
แต่เมื่อนางลุกขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ก็กลับมาเป็นปกติ
ซั่งกวนหว่านหยุดฝีเท้ายืนนิ่ง ดวงตาของนางกวาดมองทุกคนในที่นี้
“ครั้งนี้ข้าเองก็จะไปยังแดนภังคะ เพื่อหาโอสถมาให้เสด็จพ่อของข้า แม้ว่าในแดนภังคะจะมีสมบัติอยู่มากมาย แต่ก็มีอันตรายมากเช่นกัน ข้ารู้สึกขอบใจพวกเจ้าทุกคนมาก ที่พร้อมใจกันไปที่นั่นเพื่อช่วยเหลือข้า”
คำพูดเหล่านั้นช่างฟังดูถ่อมตน
“หากผู้ใดสามารถหาสมบัติที่ข้าต้องการได้ ข้าจะให้รางวัลแก่คนผู้นั้นแน่นอน! ยกเว้นของที่ข้าต้องการเพียงไม่กี่ชิ้น ส่วนของที่เหลือทั้งหมด จะตกเป็นของคนผู้นั้นไปโดยปริยาย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของใครหลายคนก็เริ่มเปล่งประกายวิบวับไปด้วยความปรารถนา
ใครก็ตามที่กล้าไปค้นหาสมบัติที่แดนภังคะ ล้วนแล้วแต่ถูกความโลภครอบงำทั้งสิ้น
เมื่อครู่ซั่งกวนหว่านบอกว่า ยกเว้นสิ่งที่นางต้องการ ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็จะตกเป็นของพวกเขา
เช่นนั้นแล้วจะไม่ให้พวกเขาดีใจจนเนื้อเต้นได้อย่างใด?
“ขอบพระทัยองค์หญิงสาม!”
ซั่งกวนหว่านยิ้มบาง
“หวังว่าการเดินทางของพวกเจ้าจะผ่านไปด้วยดี จงทำให้มันเป็นการเดินทางที่คุ้มค่า! รองแม่ทัพมู่ เชิญ…”
มู่ชิงเห่อกำหมัดพลางก้าวไปด้านหน้า และถวายบังคม
“กองทัพทหารม้าทมิฬหนึ่งพันนายจะถูกแบ่งออกเป็นสองหน่วย หน่วยแรกจะอยู่ข้างหน้า และหน่วยที่สองจะอยู่ข้างหลัง! จงดูแลองค์หญิงสามและทุกคนให้ปลอดภัย!”
เมื่อพูดจบเขาก็ยกแขนขวาขึ้น!
ทันใดนั้นกองทัพทหารม้าทมิฬที่อยู่ข้างหลังเขา ก็แยกออกจากตรงกลาง และแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างเป็นระเบียบ!
เสียงส้นรองเท้าเหล็กที่เหยียบบนพื้นหินอ่อนขัดเงานั้นช่างทรงพลังยิ่งนัก
กองทัพทหารม้าทมิฬที่ถูกแบ่งออกเป็นหน่วยละห้าร้อยนาย ก้าวเข้าสู่ขบวนเดินทางทีละคน
จากนั้นซั่งกวนหว่านและคนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาอยู่ในรัศมีของมู่ชิงเห่อ ราวกับว่าเขากำลังคุ้มกันความปลอดภัยให้นางตลอดเวลา
ต่อท้ายด้วยเหล่าสาวกของสำนักวิชาใหญ่ต่างๆ
และปิดขบวนด้วยทหารม้าทมิฬห้าร้อยนายของหน่วยที่สอง
ทุกคนที่ยืนอยู่รอบๆ คุกเข่าลงและพูดเสียงดังว่า
“น้อมส่งเสด็จองค์หญิงสาม!”
“เคลื่อนพลได้!”
มู่ชิงเห่อส่งเสียงเด็ดขาด!
จากนั้นความเร็วของค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นช้าๆ!
จากนั้นเงาของผู้คนเหล่านั้นก็หายวับไปทันตา!
…
แดนภังคะอยู่ห่างจากซีหลิงมาก
ถึงจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่ก็ยังเสียเวลาไปมากพอสมควร
โชคดีที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษ และได้รับการบำรุงรักษาตรวจสภาพทุกวัน ดังนั้นจึงมีคลื่นความผันผวนเข้ามารบกวนระบบขนส่งไม่มากนัก
ทุกคนที่อยู่ในนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากมันเลยสักนิด
แม้จะมีผู้คนจำนวนมาก แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้มู่ชิงเห่อได้จัดเตรียมให้คนถือไข่มุกธาราประธีปไว้แล้ว มันจึงช่วยปัดเป่าความมืดได้อย่างง่ายดาย และเงาของผู้คนก็สว่างขึ้นเล็กน้อย
ไข่มุกธาราประธีปนั้นมีราคาแพง และคนธรรมดาไม่สามารถซื้อได้
แต่สำหรับองค์หญิงสามน่ะหรือ?
ราคาแค่หลักแสนนั่นเป็นแค่เรื่องขี้ประติ๋ว
การเดินทางเช่นนี้ ทำให้หลายคนแอบอิจฉาและอดทึ่งไม่ได้
“องค์หญิงช่างไม่ธรรมดาจริงๆ นางใช้ไข่มุกธาราประธีปนี้ราวกับได้มาโดยไม่เสียตังค์อย่างนั้นแหละ”
“เจ้าเป็นใคร และองค์หญิงสามเป็นใคร? ในอีกไม่กี่เดือน ราชวงศ์เทียนลิ่งทั้งหมดก็จะตกเป็นของนาง นับประสาอันใดกับไข่มุกธาราประธีปนี่?”
“จริงสิ! ตอนนั้นข้าได้ยินมาว่า… ขบวนเสด็จขององค์หญิงใหญ่นั้นใช้คนเยอะกว่านี้มากเลยนะ? แต่น่าเสียดายที่องค์หญิงใหญ่ใช้เพียงทหารม้าทมิฬเท่านั้น พวกเราเลยไม่เห็นมัน”
“สถานะขององค์หญิงใหญ่นั้นเทียบได้กับจักรพรรดิในปัจจุบัน แม้จะอยู่ในฐานะองค์หญิง นางก็ยังสามารถระดมกองทัพทหารม้าทมิฬได้เป็นแสนนาย แต่องค์หญิงสามกลับ…เทียบไม่ติดเลย แต่นั่นคือทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่อดีต พูดไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว!”
…
คนรอบข้างกระซิบกันเสียงแผ่ว
ทว่าฉู่หลิวเยว่มีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ดีเยี่ยม จึงทำให้นางได้ยินมันชัดเจน
นางทำทีไม่ได้ยิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองราวไม่ได้ตั้งใจ
ที่ด้านหน้า มู่ชิงเห่อยืนอยู่ข้างซั่งกวนหว่าน และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ดูเหมือนว่าเขา…กำลังอธิบายสถานการณ์ที่แดนภังคะให้นางฟัง
“…องค์หญิง อันดับแรกพวกเราจักต้องเดินทางไปยังแท่นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ชายแดนฝั่งตะวันตกเสียก่อน จากนั้นค่อยใช้เส้นทางนั่นเข้าสู่แดนภังคะ ซึ่งภายในแดนภังคะนั้นมีเส้นทางถอดยาวหลายร้อยลี้ที่เต็มไปด้วยอายพิศม์ ท่านอาจต้อง…”
ขณะที่มู่ชิงเห่อค่อยๆ อธิบาย ซั่งกวนหว่านเองก็ตั้งใจฟังเช่นกัน
จากมุมของฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของซั่งกวนหว่านได้ และเห็นเพียงการพยักหน้าเป็นครั้งคราว ราวกับว่านางจริงจังมาก
ฉู่หลิวเยว่ขยับมุมปากเล็กน้อย พลางคิดในใจ
สิ่งที่มู่ชิงเห่อพูดมานั้นมีรายละเอียดค่อนข้างมาก
ทว่าในตอนที่นางไปยังแดนภังคะนั้น ไม่มีใครบอกรายละเอียดเกี่ยวกับอันตรายทั้งหมดนี้ให้นางฟังเลย
และแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านางต้องประสบภยันตรายมากมายเพียงใด
สิ่งที่มู่ชิงเห่อพูดมานั้น คือประสบการณ์ทั้งหมดที่เขาได้รับจากการต่อสู้ในแดนภังคะเป็นเวลาหลายปี
และก็เป็นประสบการณ์ของนางด้วย
คนทั่วไปรู้เพียงว่ามู่ชิงเห่อสมัครใจเข้าร่วมกองทัพทหารม้าทมิฬ และใช้เวลาอยู่ในกองทัพถึงสิบปี กระทั่งเขาประสบความสำเร็จทางทหารอย่างยิ่งใหญ่ และในที่สุดก็ปราบกบฏในแดนภังคะได้ เขากุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ และเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการรักษาตำแหน่งขององค์หญิงใหญ่ที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปมั่นคงอย่างมาก
แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าองค์หญิงใหญ่เคยเข้าออกแดนภังคะหลายครั้งต่อหลายครั้ง
มู่ชิงเห่อในปัจจุบันนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ก็เทียบกับตัวเขาเมื่อในสิบปีก่อนไม่ได้
หากไร้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ ของซั่งกวนเยว่ เขาอาจจะเสียชีวิตในแดนภังคะไปนานแล้ว
อย่างใดเสียในตอนนี้ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นอดีตไปเสียแล้ว