ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 688 ป่าหมอกมายา
ตอนที่ 688 ป่าหมอกมายา
เมื่อก่อนมันเคยเป็นช่องทางที่มีไว้สำหรับเดินทางเข้าออกแดนภังคะ
แต่นั่นเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากสมัยขององค์ไท่จู่
ซึ่งหลังจากมันอยู่ท้าสายลมและแสงแดดเป็นเวลาหลายพันปี บวกกับการก่อวินาศกรรมโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจของผู้คนจำนวนมากหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ก็ถูกปิดตาย
กระทั่งปัจจุบัน มันก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าออกแดนภังคะ สำหรับกองทัพทหารม้าทมิฬจำนวนมาก
แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้
…
ซั่งกวนหว่านมองค่ายกลเคลื่อนย้ายตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย
“ดูๆ แล้วเหมือนค่ายกลนี่จะเพิ่งถูกสร้างขึ้นได้ไม่นานเลยนะ? หรือว่ารองแม่ทัพมู่เป็นคนสร้างมันขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของมู่ชิงเห่อชะงักไปพักหนึ่ง
ทว่าไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
“นี่คือสิ่งที่องค์หญิงใหญ่สร้างขึ้น”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างใจเย็น
รอยยิ้มบนหน้าของซั่งกวนหว่านพลันหายไปทันตา
“…เป็นสิ่งที่พี่สาวคนโตทิ้งไว้เองหรือ…ข้าไม่รู้มาก่อนเลย”
ดวงตาของเจียงอวี่เฉิงกระตุกเล็กน้อย พลางมองไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นอีกครั้ง
เดิมทีฉู่หลิวเยว่นึกว่ามู่ชิงเห่อจะอธิบายเพิ่มอีกสองสามคำ เช่น ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่ถูกสร้างขึ้นเมื่อใด
แต่มู่ชิงเห่อกลับเงียบไม่ได้ขยายความต่อ
เขาทำเพียงเอ่ยว่า
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้มีขนาดใหญ่และได้รับการดูแลอย่างดี พวกเราทุกคนสามารถเข้าไปด้านในของแดนภังคะได้พร้อมกัน”
ซั่งกวนหว่านยิ้มเหยพลางพยักหน้า และไม่ได้ถามอันใดต่อมากนัก
ส่วนฉู่หลิวเยว่กำลังเล่นกับแหวนเฉียนคุนในมือของนางอย่างเบื่อหน่าย
“จิ๊”
ก็แค่ค่ายกลเคลื่อนย้ายอันเดียวมิใช่หรือ มีอันใดที่ต้องรู้สึกผิดด้วยหรือไร
ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ จะไม่ได้สังเกตเห็นคลื่นใต้น้ำที่กำลังปั่นป่วนนี้
ตอนนี้หลายคนกำลังขบคิดกันอย่างขะมักเขม้น และคิดแต่เรื่องที่จะเข้าไปในแดนภังคะเท่านั้น
ภายใต้การชี้นำของมู่ชิงเห่อ ทุกคนก็พากันเดินไปอยู่บนยังค่ายกลเคลื่อนย้าย เพื่อเดินทางไปยังแดนภังคะ!
…
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ดูเสถียรมาก…มันไม่มีผันผวนใดๆ เลย…พูดแล้วมันก็คล้ายกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เราใช้มาที่นี่เมื่อครู่เลยนะ!”
“อันนั้นเป็นขององค์ไท่จู่ที่สร้างไว้ตอนท่านมาที่นี่ และได้รับการบำรุงรักษาอย่างอุตสาหะมานับพันปี ดังนั้นมันจึงใช้งานได้ง่ายโดยไม่ขัดข้อง แต่อันนี้…ไหนว่าเป็นของที่องค์หญิงใหญ่สร้างไว้มิใช่หรือ?”
“องค์หญิงใหญ่เกิดมาพร้อมกับชีพจรเทียนจิง ความสามารถของนางนั้นที่ไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา กับอีแค่สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่ ถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปหน่า?”
“น่าเสียดายที่หลังจากนั้น… เมื่อก่อนคนในซีหลิงมักลือกันว่าองค์หญิงใหญ่น่ะ เป็นผู้สืบเชื้อสายขององค์ไท่จู่เลย และก็คาดว่า จะเป็นคนที่สามารถทะลวงขอบเขตพลังปราณของจอมยุทธระดับเก้าได้ด้วย…น่าเสียดายจริงๆ เชียว!”
เกิดเสียงซุบซิบนินทาจากทั่วสารทิศ
ฉู่หลิวเยว่ยืนฟังเงียบๆ และมองไปยังซั่งกวนหว่านที่ยืนตัวแข็งทื่อทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างหน้า
ถึงนางจะตายไปแล้ว และถูกซั่งกวนหว่านเข้ามายึดรังนกของนางไป แต่มันก็ยังมีบางสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือทดแทนกันได้อยู่
อย่างเช่น… ความจริงที่ว่า ซั่งกวนหว่านจะไม่มีวันได้ครอบครองชีพจรเทียนจิงอย่างใดล่ะ!
แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็สามารถทำให้ซั่งกวนหว่านเจ็บช้ำน้ำใจไปตลอดชีวิตแล้ว
ตั้งแต่นางก้าวขึ้นมาอยู่บนตำแหน่งนี้ นางก็ถูกคนเอาไปเปรียบกับซั่งกวนเยว่ไม่หยุดหย่อนเลยมิใช่หรือ?
ส่วนเทียบได้หรือไม่ได้นั้น แค่มองก็น่าจะรู้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกได้ทันทีว่าการเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่านัก
แม้ว่าจะยังไม่สามารถแสดงตัวได้ แต่คนเหล่านี้ก็ได้ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นแล้ว
แต่ถ้ายิ่งได้เห็นสีหน้าจะเป็นจะตายพูดไม่ออกของคนพวกนั้นบ้าง คงไม่เลวเลย!
มู่ชิงเห่อคนให้สมญานามแก่แดนภังคะแห่งนี้ก็จริง แต่…ความจริงแล้วมันเป็นสถานที่ของนางต่างหาก!
“หลิวเยว่ นั่นเจ้าหัวเราะด้วยเหตุใด?”
มู่หงอวี่ที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างแปลกใจ
ฉู่หลิวเยว่กดยิ้มลึกขึ้น พลันทำทีกะพริบตาปริบๆ
“ไม่มีอันใด ข้าแค่คิดว่าเราใกล้ถึงแดนภังคะแล้ว ไหนจะสมบัติมากมายอีก แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว”
มู่หงอวี่คลายความสงสัย พลันยิ้มตอบ
“ข้าเองก็เหมือนกัน!”
เย่หรานหร่านชูมือขึ้น
“ข้าด้วย!”
เหลือเพียงเชียงหว่านโจวเท่านั้นที่ยังเก็กท่าดูเย็นชาเช่นเคย
เขาเหลือบมองพวกนางเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลง
…
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็เดินทางมาถึงทางออกของค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกครั้ง!
หลายคนเริ่มรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะข้างนอกนั่น…คือแดนภังคะของจริงแล้ว!
มู่ชิงเห่อหันมามอง พลันพูดเสียงขึงขัง
“ทุกคนเตรียมพร้อม…ไป!”
เกิดการบีบอัดและระเบิดของพลังปราณขึ้นมาอีกรอบ!
ทุกคนรีบออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายกันทันที!
ทว่าครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาน้อยกว่าเดิมมาก ทุกคนล้วนรีบปรับตัวให้เข้ากับแสงโดยรอบทันทีที่ออกมา
เพียงฉู่หลิวเยว่ก้าวออกไป นางก็ได้ยินเสียงหอบหายใจดังอยู่รอบตัว
นางหยุดฝีเท้าแล้วก้มหน้ามอง
ก่อนจะเห็นศิลาสีเทาขาวบริเวณใต้ฝ่าเท้า วางเรียงทอดยาวไปด้านหน้าหลายสิบลี้
ส่วนด้านหลังก็เป็นทะเลทรายสีทอง คล้ายกับฉากที่นางเพิ่งเห็นเมื่อครู่ก่อน
ด้านซ้ายมือเป็นป่าทึบ และด้านขวามือเป็นทะเลสาบที่แผ่ขยายออกไปทั่วสารทิศ
ผืนป่ากว้างใหญ่และไร้ขอบเขต ทะเลสาบกว้างใหญ่เสมือนเชื่อมต่อกับท้องฟ้า เปล่งประกายด้วยคลื่นสีเงินวิบวับราวกับกระจกบานใหญ่
“แผ่นศิลาแห่งนี้คือศูนย์กลางของแดนภังคะ หรือที่เรียกว่าสามเหลี่ยมสีเทา นอกจากนี้มันยังเชื่อมต่อกับทะเลทรายจันทราสีชาด ทะเลสาบกระจกและป่าหมอกมายาอีกด้วย”
มู่ชิงเห่อยืนอธิบายอยู่ข้างๆ ซั่งกวนหว่าน
คราวนี้เขาจงใจเปล่งเสียงออกมาดังๆ เพื่อให้คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นได้ยินเขาอย่างชัดเจน
“สถานที่ทั้งสามแห่งนี้มีบรรยากาศที่แตกต่างกัน ดังนั้นสถานการณ์อันตรายที่อาจเกิดขึ้นภายในนั้น ก็แตกต่างกันด้วย แม้แต่ผู้มีประสบการณ์ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด ดังนั้น ขอทุกคนจงระมัดระวังและพยายามหลีกเลี่ยงการไปไหนมาไหนคนเดียว”
จิตใจของทุกคนสั่นสะท้านและต่างก็ระแวดระวังในสิ่งที่ได้ยิน
เมื่อก่อนมันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน ทว่าตอนนี้เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเอง พวกเขาก็รู้แล้วว่ามันเป็นสถานที่แบบใด!
มู่ชิงเห่อหันมองซั่งกวนหว่าน
“องค์หญิง ท่านต้องการไปที่ใดก่อนหรือ?”
ซั่งกวนหว่านยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ทว่านางไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ใบหน้างดงามยังคงดูสงบมาก
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเคยมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้นในป่าหมอกมายา ข้าสงสัยว่ารองแม่ทัพมู่เคยเห็นมันหรือไม่?”
มู่ชิงเห่อส่ายศีรษะ
“กระหม่อมยังไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่… ในป่าหมอกมายา มีสัตว์อสูรระดับสูงจำนวนมากอาศัยอยู่”
ตอนแรกซั่งกวนหว่านรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง นางก็รู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที
เมื่อก่อนนางเคยมีสัตว์อสูรในครอบครอง แต่เมื่อชีพจรดั้งเดิมถูกทำลาย สัตว์อสูรก็ถูกเผาจนตาย
และต่อมา เนื่องจากนางไม่สามารถฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิมของตัวเองได้ นางจึงไม่สามารถทำสัญญากับสัตว์อสูรตัวใหม่ได้
ทว่านี่เป็นโอกาสของนางแล้ว!
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถซ่อนความปรารถนาของตัวเองได้ และมองไปยังซั่งกวนหว่านทีละคน
“ข้ารู้สึกว่าตำนานอสูรศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่นั้นไม่ใช่เรื่องปรัมปราทั่วไป บางทีอาจมีบางอย่างอยู่ในป่าหมอกมายาจริงๆ ก็ได้ เช่นนั้นก็ไปที่นั่นกันก่อนดีกว่า!”
ซั่งกวนหว่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ตัดสินใจได้
มู่ชิงเห่อเอ่ยอย่างลังเล
“องค์หญิง ป่าหมอกมายาคือจุดที่อันตรายที่สุด ท่านคิดจะ…ไปที่นั่นจริงหรือ?”
อันตรายที่สุดหรือ?
เช่นนั้นก็ยิ่งดีมิใช่หรือ?
ซั่งกวนหว่านคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพยักหน้าตอบไป
“เพื่อเสด็จพ่อ ต่อให้อันตรายเพียงใด ข้าก็จะไป! ไปที่ป่าหมอกมายากัน!”
มู่ชิงเห่อไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด ก่อนจะนำทางพานางไปที่นั่น
“เชิญทางนี้ขอรับ…”
จากนั้นทั้งขบวนเสด็จก็มุ่งหน้าไปที่นั่นโดยพร้อมเพรียงกัน
มู่ชิงเห่อก้าวเท้าไปข้างหน้าพลางเอ่ย
“อายพิศม์ที่กระหม่อมเคยบอกไป แพร่กระจายออกมาจากป่าหมอกมายา ฉะนั้นยามที่ท่านเข้าไป ท่านต้องใช้พลังจากชีพจรดั้งเดิมสร้างค่ายกลขึ้นมาคลุมร่างของท่านไว้… มิเช่นนั้นอายพิศม์จะทะลวงเข้าไปทำลายหยวนตันของท่าน”
ซั่งกวนหว่านชะงักฝีเท้า พร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นวิตกกังวล
ชีพจรดั้งเดิมของนางถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ แล้วนางจะทำแบบนั้นได้อย่างใด?