ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 692 ลำธารสีรุ้ง
ตอนที่ 692 ลำธารสีรุ้ง
มีแวบหนึ่ง ที่ฉู่หลิวเยว่คิดว่าถวนจื่อเคยมาที่นี่มาก่อน
แต่มันก็แค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น
เพราะนางเจอกับถวนจื่อครั้งแรกที่เชิงเขานอกเขตชายแดนแคว้นเย่าเฉิน แต่ที่นี่คือแดนภังคะของราชวงศ์เทียนลิ่ง
สถานที่ทั้งสองอยู่ห่างกันหลายพันลี้ อีกทั้งยังมีพรมแดนม่านฟ้าขวางกั้น ไม่ว่าจะคิดอย่างใดก็เป็นไปไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่ยังคงตามติดถวนจื่อไม่ห่าง
ซึ่งไม่นานเชียงหว่านโจวก็ตามมาทัน
และพอผ่านไปสักพัก มู่หงอวี่และเย่หรานหร่านก็ตามหลังมา
เมื่อเห็นว่าพวกเขาปลอดภัยดี ฉู่หลิวเยว่ก็สบายใจแล้ว
เนื่องจากถวนจื่อวิ่งหนีออกมากะทันหัน นางจึงไม่มีเวลาอธิบายให้พวกเขาฟัง
มู่หงอวี่เคลื่อนตัวไปด้านหน้าเพื่อประกบฉู่หลิวเยว่ พลางเอ่ยถามอย่างลังเล
“หลิวเยว่ ตอนนี้พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ใดหรือ?”
ป่าหมอกมายาแห่งนี้เงียบสงบจนน่าประหลาด ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเงียบมากขึ้นเท่านั้น
บวกกับท่าทีกระสับกระส่ายของเจ้าหมีตัวน้อยก่อนหน้านี้ มันยิ่งทำให้นางรู้สึกกังวลไม่หยุด
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าเบาๆ
“จู่ๆ ถวนจื่อก็วิ่งไปทางนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันจะไปที่ไหน”
มู่หงอวี่จึงหันมองไปด้านหน้า ก่อนจะเห็นถวนจื่อที่กำลังหยุดรอพวกเขาอยู่
ดูแล้วคงไม่ใช้การวิ่งหนีแบบไร้สาเหตุแน่ๆ
“ถวนจื่อกำลังนำทางพวกเราอย่างนั้นหรือ?” มู่หงอวี่กระซิบถาม
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบ
“คงอย่างนั้น”
แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่รู้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นก็ตาม
“อ๊ะ! พวกเจ้าดูสิ!”
เย่หรานหร่านที่ตามมาข้างหลังอุทานขึ้นมากะทันหัน พร้อมน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดผวาอย่างปิดไม่มิด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกของฉู่หลิวเยว่ก็รีบหันไปมอง
และพอเห็นสิ่งนั้น พวกเขาก็ล้วนทำหน้าตกใจสุดขีด
ผืนป่าที่พวกเขาทิ้งไว้ด้านหลังนั้น ถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำผืนใหญ่น่ากลัว
ต้นไม้เหล่านั้นที่แต่เดิมเคยเขียวชอุ่ม บัดนี้ได้เหี่ยวเฉาไปในบางจุด และเหลือเพียงลำต้นที่เปลือยเปล่าและแห้งกรัง
ในเงามืด พวกมันดูเหมือนผีที่คลานออกมาจากพื้นดิน ทั้งดูหลอนและน่ากลัว!
“นะ นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
มู่หงอวี่เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก แววตาของนางเต็มไปด้วยความสยดสยอง
ใครจะไปคิดว่าเพียงพริบตา ป่าเขียวชอุ่มเมื่อครู่นั้นจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
“คนพวกนั้น!? แล้วคนพวกนั้นล่ะ…”
มู่หงอวี่ชี้นิ้วที่สั่นเครือไปยังพื้นป่านั่น
ก่อนจะเห็นว่าที่ตรงนั้น ไม่มีเงาของคนอยู่เลย!
รูม่านตาของฉู่หลิวเยว่หดตัวลง แล้วใช้สายตาจับจ้องมองอย่างละเอียด
ก่อนจะเห็นหมอกสีแดงจางๆ ที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในป่า
เย่หรานหร่านเด็กที่สุดในกลุ่ม และเมื่อเห็นฉากนี้ นางก็ค่อนข้างหวาดกลัวจนโพล่งถามอย่างอดไม่ได้
“ เพราะเราออกมาไกลเกินหรือเปล่า เลยมองไม่เห็นพวกเขา? แต่จริงๆ แล้วพวกเขายังอยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่?”
ทว่าทุกคนกลับเงียบไม่ตอบ
รอบตัวพวกเขามีเพียงความเงียบงันอันน่าขนลุก
ในที่สุดเย่หรานหร่านก็ทนไม่ไหว ดวงตาของนางแดงเรื่อพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง นางหันมองฉู่หลิวเยว่ทันทีราวกับขอความช่วยเหลือ
“หลิวเยว่…หลิวเยว่ ตกลงมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?”
ความจริงนางเองก็รู้ดีว่า การคาดเดาของตนเมื่อครู่นั้นฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
พวกนางอยู่ห่างจุดนั้นแค่ระยะหนึ่ง แต่มีคนหลายพันคนอยู่ที่นั่น!
หากพวกเขายังอยู่ที่นั่นจริงๆ เหตุใดนางจะมองไม่เห็น?
แม้ว่าทั่วทั้งป่าจะมืดมิด แต่ถ้ามองดีๆ ก็ย่อมมองเห็นรูปร่างของกิ่งก้านและใบของต้นไม้ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็นร่างของคนจำนวนมากเช่นนั้น
ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ… การที่คนพวกนั้นหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง!
หากเมื่อครู่นางไม่เผลอหันกลับไปมอง คงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ที่นั่น!
ฉู่หลิวเยว่ดึงนางเข้ามาปลอบประโลม
“อย่าได้กังวลไปเลย นั่นน่าจะเป็นอายพิศม์ที่กระจายอยู่ในป่าหมอกมายา อายพิศม์นี้มีพิษร้ายแรงและอาจทำให้เกิดภาพหลอนได้ และอายพิศม์นั้นก็ได้แผ่ขยายมาทางด้านนี้แล้ว บางทีสิ่งที่เราเห็นตอนนี้อาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้”
เย่หรานหร่านเริ่มสงบลง
“จะ จริงหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่สบตานางด้วยแววตามั่นใจเต็มร้อย พลางโน้มน้าว
“เจ้าลองคิดดูนะ ขนาดพวกเราสี่คนยังไม่เป็นอันใดเลย ฉะนั้นมันจะเกิดเรื่องแย่ขึ้นๆ กับพวกเขาที่มีกันตั้งหลายได้อย่างใด? ไหนจะท่านผู้อาวุโสกับสาวกของสำนักวิชาเหล่านั้น รวมทั้งกองทัพทหารม้าทมิฬที่มีรองแม่ทัพมู่เป็นคนสั่งการอีก แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่เป็นอันใดอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดที่มาพร้อมเหตุและผล เย่หรานหร่านก็ปักใจเชื่อทันที
มู่หงอวี่เหลือบมองฉู่หลิวเยว่ นัยน์ตาของนางแฝงไปด้วยความกังวล
ฉู่หลิวเยว่จึงส่ายหน้าเบาๆ กลับไปอย่างใจเย็น
“อย่างใดก็ตาม สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายมาก พวกเราต้องออกไปให้เร็วที่สุด! หลังจากที่เราปลอดภัยแล้ว ค่อยหาทางกลับไปเข้าร่วมกับคนเหล่านั้น!”
เย่หรานหร่านเชื่อมั่นในตัวฉู่หลิวเยว่มาก พลางพยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคนั้น
เมื่อมีฉู่หลิวเยว่อยู่ใกล้ๆ นางจะรู้สึกอุ่นใจเสมอ
และสิ่งที่นางทำได้ตอนนี้ก็คือ พยายามอย่าสร้างปัญหา
พอเห็นว่าเชียงหว่านโจวและมู่หงอวี่ที่ยืนอยู่ถัดจากตน ดูสงบนิ่งกว่ามาก เย่หรานหร่านก็รู้สึกผิดและโทษตัวเอง
“ข้าจะทำตามที่หลิวเยว่บอกทุกอย่าง!”
สุดท้ายฉู่หลิวเยว่ก็ยอมละสายตาจากนาง แล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนที่แห้งตายอยู่ภายใต้เงามืดนั้นดูเหมือนโครงกระดูกมนุษย์ ที่กำลังร้องโหยหวนและคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
นางเก็บซ่อนห้วงอารมณ์เผยออกมาทางสายตาไว้อย่างมิดชิด ก่อนจะหันกลับไป แล้วไล่ตามถวนจื่อต่อ
“ไปเถอะ!”
…
กลุ่มคนเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูง จนได้ยินเสียงลมหวีดหวิวในรูหูของพวกเขา
ฉู่หลิวเยว่วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลางคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดเมื่อครู่
หมอกสีแดงที่แผ่กระจายไปทั่วนั้นเหมือนอายพิศม์ แต่ก็ไม่ใช่อายพิศม์
ในอดีตนางเคยเข้ามาที่ป่าหมอกมายาแห่งนี้แล้ว
โดยทั่วไปแล้ว อายพิศม์จะปรากฏขึ้นที่ป่าเฉพาะยามกลางคืน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผิดเวลาเท่านั้น แต่ยัง…ผิดสีอีกด้วย!
อายพิศม์ของจริงนั้นเป็นสีขาวซีดไม่ต่างจากควันธรรมดา และไม่ใช่สีแดงแปลกๆ เช่นนี้
นอกจากนี้ นางไม่เคยเห็นต้นไม้เหล่านั้น อยู่ในอิริยาบถเช่นนั้นมาก่อนเลย…
หากเมื่อครู่พวกเขาอยู่ที่นั่นด้วยล่ะก็…
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองถวนจื่อที่วิ่งอยู่ด้านหน้าทันที พลันขมวดคิ้วมุ่น
หรือ…ถวนจื่อจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เลยชิงพาพวกเขาหนีออกมาก่อนแบบนี้?
แต่แล้วถวนจื่อรู้ได้อย่างใด?
แถมยังรู้อีกด้วยว่าต้องวิ่งไปทางใด
ฉู่หลิวเยว่รู้มานานแล้วว่าถวนจื่อนั้นแตกต่างจากเพียงพอนโลหิตทั่วไป แต่จนถึงตอนนี้ นางก็เพิ่งตระหนักได้ว่านางคงประเมินศักยภาพของมันต่ำเกินไป…
และอาจเป็นเพราะภาพที่พวกเขาเห็นครู่ก่อนนั้นรุนแรงเกินไป ผ่านไปครู่ใหญ่ หลายคนก็ยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอันใดออกมา พวกเขาทำเพียงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มพิกัดอย่างเงียบๆ
แม้จะไม่ได้มองย้อนกลับไป แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวที่มองไม่เห็นต้นไม้นั่น ที่กำลังคลืบคลานเข้ามาใกล้ตัว!
ผ่านไปหลายเพลา ถวนจื่อก็หยุดฝีเท้าอีกครั้ง
และครั้งนี้มันไม่ได้เดินต่อ
ฉู่หลิวเยว่จึงกระโจนไปอยู่ข้างถวนจื่อภายในคราเดียว
เชียงหว่านโจวและคนอื่นๆ เองก็ตามมาติดๆ
หลังจากหยุดยืนนิ่งๆ ฉู่หลิวเยว่ก็สังเกตเห็นลำธารเล็กๆ อยู่ด้านหน้าถวนจื่อ
มันหมอบอยู่ตรงริมฝั่งอย่างเชื่อฟัง
“ถวนจื่อ”
ฉู่หลิวเยว่เรียกชื่อของมันหนึ่งครั้ง
ถวนจื่อเงยหน้าขึ้นและกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของนาง
จากนั้นมันก็ยกอุ้งเท้าขึ้นแล้วชี้ไปที่ลำธาร
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองอย่างตั้งอกตั้งใจ
พลันเห็นว่าลำธารสายนั้นเปล่งประกายระยิบระยับด้วยสีสันสดใส! ช่างงดงามเหลือคณา!