ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 699 คืนเดือนดับมารุตเกรี้ยว
ตอนที่ 699 คืนเดือนดับมารุตเกรี้ยว
เปรี้ยง!
ทัณฑ์สวรรค์สายหนึ่งฟาดลงมาอย่างแรง!
เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่น! สะเทือนไปทั้งผืนดิน!
การบีบบังคับสิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และพลังงานอันรุนแรงก็แผ่กระจายไปทั่ว!
สายลมกรรโชกพัดผ่านไปรอบพื้นที่!
ต้นไม้ขนาดใหญ่รอบๆ พวกของฉู่หลิวเยว่ และต้นอื่นๆ ถูกพัดหัก และบางต้นก็ถูกลมพัดจนรากหลุดออกมาจากหน้าดิน!
ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั้งสารทิศ!
ฉู่หลิวเยว่ตกใจเล็กน้อย และกำลังจะขยับตัว แต่กลับรู้สึกได้ถึงพลังอันอ่อนโยนและทรงพลัง ที่กำลังห่อหุ้มตัวเองอยู่
ความผันผวนที่น่ากลัวนั่นถูกปิดกั้นไว้ด้านนอกทันที
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเห็นว่าพี่เหลยสี่ได้สร้างค่ายกลสีขาวขึ้นเพื่อปกป้องพวกเขา
ที่ด้านบนค่ายกลนั้นมีสายฟ้าสีน้ำเงินราวกับน้ำแข็งทอประกายอยู่รำไร
ฉู่หลิวเยว่ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด พลันพบว่าพี่เหลยสี่กำลังถือค้อนอยู่
ดูเหมือนว่าพลังของค่ายกลจะออกมาจากค้อนด้ามนั้น!
“เหอะ คราวนี้รู้แล้วใช่หรือไม่ว่ามันแข็งแกร่งเพียงใด? แรงกระแทกเมื่อครู่นั้นสามารถทำให้พวกเจ้าตายได้เชียว!”
พี่เหลยสี่พ่นน้ำออกมาเสียงเย็นชา บนใบหน้าของเขามีประโยคที่ว่า “รู้ไว้เสียว่าลูกเจี๊ยบอย่างพวกเจ้ายังอ่อนหัดนัก” เขียนไว้อยู่
พี่เหลยสี่ที่อยู่ตรงหน้านั้นมีแต่ความดูถูกเหยียดหยาม ทว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้รังเกียจ แต่กลับขอบคุณเขาอย่างจริงจัง
“ขอบพระคุณท่านพี่เหลยอย่างยิ่ง!”
ส่วนพี่เหลยสี่ที่ไม่คิดว่าฉู่หลิวเยว่จะแสดงความขอบคุณออกมาแทนที่จะกลัว อีกทั้งยังดูจริงจังมาก ทำให้เขาถึงกับตกใจอย่างมาก
ทันใดนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องเก๊กขรึมครึมทำหน้าดุร้ายไปเพื่ออันใด
เจ้าเด็กนี้ จะฉลาดเกินไปหรือเปล่า?
พูดแบบนั้นแล้ว เขาจะพูดต่ออย่างใดเล่า?!
พี่เหลยสี่แทบไปต่อไม่เป็น และทำได้เพียงหลบหน้าอย่างเขินอาย
เมื่อฉู่หลิวเยว่เป็นแกนนำ มู่หงอวี่และเย่หรานหร่านก็ทำตามอย่างไว แล้วพูดพร้อมกันว่า
“ขอบพระคุณท่านพี่เหลยอย่างยิ่ง!”
ดวงตาของเด็กสาวตัวเล็กๆ ทั้งสองเต็มไปด้วยความจริงใจ แลดูเล่นใหญ่มากกว่าฉู่หลิวเยว่เสียอีก
หางตาของพี่เหลยสี่กระตุกเบาๆ
ตัวเขานั้นเป็นคนเถื่อน ที่เคยผ่านการฟาดฟันกระบี่มานักต่อนัก อีกทั้งยังเคยเห็นการตีรันฟังแทงและการปล้นสะดมมามากมาย แต่ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับคำขอบคุณซ้ำๆ จากสาวสวยสามคน
พี่เหลยสี่รู้สึกอึดอัดไม่เป็นตัวของตัวเอง พลางกระชับค้อนในมือ
ราวกับต้องการ… ต้องการให้สาวน้อยเหล่านี้หยุดพูดและหยุดมองเขาด้วยสายตาขอบคุณแบบนั้นจริงๆ!
เมื่อเห็นพี่เหลยสี่ทำท่าทีงุ่นง่าน ฉู่หลิวเยว่ก็แอบหัวเราะในใจ
แม้พี่เหลยสี่ผู้นี้จะดูเลินเล่อและมีเสียงที่หยาบกระด้าง แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนดี
และที่สำคัญคือเขา…เหมือนจะเป็นคนที่ดื้อรั้นพอสมควร
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังช่วยเหลือพวกนาง แต่ก็ยังแสร้งทำตัวร้ายๆ กลบเกลื่อน ราวกับเขากลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาใจดี
ความรู้สึกนี้ ราวกับครั้งเมื่อนางอยู่กับสิบสามผู้พิทักษ์เยว่เลย
และพอคิดถึงคนเหล่านั้น ฉู่หลิวเยว่ก็พลันกระตุกยิ้มแล้วหัวเราะออกมา
พี่เหลยสี่ชะงักตัวแข็งทื่อ
“เจ้า เจ้า เจ้าหัวเราะเหตุใด!”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมเบาๆ
“ไม่มีอันใด ข้าแค่รู้สึกว่าท่านพี่เหลย…เหมือนเพื่อนเก่าคนหนึ่งของข้า”
อย่างใดก็ตาม แม้ว่านิสัยใจคอและบุคลิกจะคล้ายกัน แต่รูปร่างและหน้าตานั้นแตกต่างกันมาก
พี่เหลยสี่รู้สึกสงสัย แต่เขาไม่ได้ถามต่อ เพราะเขารู้สึกอึดอัดที่เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของฉู่หลิวเยว่ ดังนั้นเขาจึงหันหน้าหนี
ห้ามมอง ห้ามมอง!
แค่ไม่มองก็ไม่รู้สึกอันใดแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะอีกครา ก่อนจะปล่อยเขาไป
นางเงยหน้าขึ้นมองค่ายกลหลากสีอีกครั้ง
หลังจากทัณฑ์สวรรค์สายแรกผ่าลงมา พลังเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายไป ความผันผวนเองก็ค่อยๆ ลดลง
นางเหลือบมองมันโดยไม่ตั้งใจ แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่าบริเวณด้านล่างบางจุดของค่ายกลนั้น กลายเป็นสีโปร่งใสตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้!
ถึงจุดนั้นจะไม่ใหญ่มาก แต่จากตรงนี้ นางก็สามารถมองเห็นฉากภายในที่ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลอยู่ได้ชัดเจน
มันมีทั้งกองใบไม้ที่ร่วงหล่นและลำธารอีกครึ่งสายที่หายเข้าไป
แน่นอนว่าที่นี่คือป่าหมอกมายา ฉะนั้นบนพื้นย่อมมีกองใบไม้ทับถมเช่นนั้นอยู่ทุกที่
แต่ทว่า ถึงจะเห็นแค่นี้ มันกลับยิ่งทำให้ฉู่หลิวเยว่ตื่นเต้นมากกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าหลังจากสายฟ้านั่นผ่าลงมา สัตว์อสูรที่อยู่ภายในก็ได้กลืนกินพลังส่วนหนึ่งของค่ายกลเข้าไปด้วย จนทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้…
การที่สัตว์อสูรระดับเก้าจะทะลวงขั้นพลังเพื่อกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น จำต้องต้องผ่านการกลืนกินพลังของทัณฑ์สวรรค์ถึงเก้าครั้ง
ซึ่งไม่แน่ว่าเมื่อทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าผ่าลงมาหมดแล้ว บางทีค่ายกลนี้อาจสลายไปจนหมดก็ได้!
และพอถึงตอนนั้น นางก็จะรู้ทุกอย่าง!
ทัณฑ์สวรรค์นี้ผ่าลงมาขัดจังหวะเย่หรานหร่าน
ทว่าหลังจากเห็นการเปลี่ยนแปลงของค่ายกล พวกเขาก็หมดความสนใจ และเรื่องของปีกก็ถูกละทิ้งทันที
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น แล้วเห็นทัณฑ์สวรรค์สายที่สองกำลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว!
แต่นางกลับไม่ได้สังเกตว่าถวนจื่อที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นหลับตาลงอย่างเงียบๆ และปกปิดแสงวิบวับในดวงตาเอาไว้
…
“อ๊ากกก”
ทันใดนั้น เสียงคำรามอันเจ็บปวดก็ดังมาจากด้านหลังทุกคน
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแล้วหันไปมอง
เสียงนี้…ฟังดูเหมือนเสียงของเจียงอวี่เฉิงเลย?
มู่หงอวี่และคนอื่นๆ เองก็หันกลับไปมอง
ป่าไม้ในบริเวณใกล้เคียงแตกหักกระจัดกระจายเพราะผลพวงของการโจมตี
และไกลออกไปนั้น…
ก็ไม่มีใครอยู่เลยสักคน
“เสียงใครตะโกนกัน?”
มู่หงอวี่ถามอย่างกังวล
“ไม่เห็นมีใครเลย…หรือข้าจะหูเพี้ยน?”
เย่หรานหร่านส่ายหน้าทันที “ข้าก็ได้ยิน! มันเหมือน…เหมือนดังมาจากใต้ดิน!”
“ใต้ดินหรือ?”
มู่หงอวี่งุนงงไปชั่วขณะ
เย่หรานหร่านจึงหันไปมองฉู่หลิวเยว่
“หลิวเยว่ เจ้าเองก็ได้ยินใช่หรือไม่? เจ้าว่าเสียงนั่นดังมาจากใต้ดินหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
เจียงอวี่เฉิงเองก็มีความสามารถ หากเขาหนีจากเหตุการณ์นั้นมาได้ ก็คงมาถึงที่นี่แล้ว…
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเสียงของเขาถึงดังมาจากใต้ดิน แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ยังรู้สึกขยะแขยงอย่างมาก
และนางก็ไม่อยากรู้ด้วยว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่
นางหวังเพียงว่าเจียงอวี่เฉิงจะหนีไปได้ และไม่มารบกวนนางที่นี่
แต่เสียงของเจียงอวี่เฉิงยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และฟังดูใกล้เข้ามาเรื่อยๆ!
ฉู่หลิวเยว่เริ่มหวั่นใจ พลันฉุกคิดอันใดขึ้นมาได้
…ครั้นคืนเดือนดับมารุตเกรี้ยว จักถึงยามสังหาร!
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงและทั่วทั้งผืนป่าก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นเงาหนาทึบ ทัศน์วิสัยของทุกคนจึงถูกบดบังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รวมทั้งสัตว์อสูรระดับเก้าที่กำลังทะลวงขั้นพลังปราณ และมีการเคลื่อนไหวมากมาย ซึ่งแม้ว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นจริง แต่มันก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของใครได้
นางลุกขึ้นยืนทันที
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้าไปดูเอง”