ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 772 ถูกหลอกขายเสียแล้ว
ตอนที่ 772 ถูกหลอกขายเสียแล้ว
ราวกับว่าจิตใจของฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
นางเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง
แม้จะมองไม่เห็นอันใด แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนจับตามองอยู่
เสียงนั่น นางไม่ได้หลอนไปเองแน่นอน!
เสียงนั้นกำลังร้องเรียกนาง และยามได้ยินก็รู้สึกสนิทสนมยิ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูราวคนแปลกหน้า
เหมือนนางจะไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่ขณะเดียวกัน ก็สัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยที่ดูคลุมเครือ
น้อยคนที่สามารถเรียกนางเช่นนั้นได้ และผู้แข็งแกร่งที่สามาถเข้ามาที่นี่ได้นั้น น้อยยิ่งกว่า!
สุดท้ายแล้ว…คือใครกันนะ?
…
ทันทีที่ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น สามสหายซึ่งเต็มไปด้วยความคาดหวังและความปิติ ก็พลันตัวแข็งทื่อ
“เอ่อ ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี เหตุใดหน้าตาของนังหนูถึงเปลี่ยนไปมากมายเพียงนี้? อีกทั้งยัง…ดูเด็กลงหลายปีด้วย?””
หลานเซียวที่อยู่ข้างหน้าสุด ยกแขนกอดอกและแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบคางเบาๆ พร้อมพูดด้วยความงุนงง
เขาทราบดีว่าหากฝึกตนมานานจนถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว จักทำให้ไม่แก่ชรา
แต่มันก็ขึ้นอยู่กับช่วงอายุด้วย
ถ้าคนอายุยี่สิบและคนอายุแปดสิบผ่านจุดที่ว่านั่นพร้อมกัน อย่างใดเสียก็ย่อมมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน
แต่นอกจากนี้ เขาไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่สามารถย้อนคืนสู่วัยหนุ่มสาวได้เลยนะ…
“หลานเซียว สายตาของเจ้าย่ำแย่กว่าข้าเสียอีก! สาวน้อยนั่นมิใช่นังหนูเสียหน่อย!”
ผู้อาวุโสลำดับห้าลูบเคราสีขาวของตน พลันยิ้มเยอะ
“ไม่ได้เจอนังหนูมาปีสองปี เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือว่านางหน้าตาเป็นอย่างใด? รอให้นังหนูรู้เข้าก่อนเถิด ดูสิคราวนี้เจ้าจะแก้ตัวเช่นไร!”
ปกติแล้วหลานเซียวจะแย้งเขาแน่นอน
ทว่ายามนี้ เขากลับเถียงไม่ออก ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเด็กสาวที่อยู่ข้างล่าง แล้วขมวดคิ้วฉงน
ไม่ใช่สิ…
เขาจำได้ดีว่านังหนูนั่นหน้าตาเป็นอย่างใด เพราะแบบนั้น เขาถึงยังคิดว่าตัวเองไม่น่าพลาด
ทว่าเด็กสาวคนนี้…
“นั่นคือนังหนู!”
ตู๋กูโม่เป่าที่เงียบมาตลอดเอ่ยโพล่งขึ้นมา
แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูเย็นชา แต่เนื่องจากเสียงนั้นคล้ายกับเสียงของทารกมาก มันจึงฟังดูย้อนแย้งกันเล็กน้อย เสมือนเด็กที่แสร้งทำเป็นตัวผู้ใหญ่
หลังจากพูดจบ หลานเซียวและผู้อาวุโสลำดับห้าก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“ถึงรูปร่างหน้าตาจะแตกต่างไปจากเดิม แต่ลมปราณของจิตวิญญาณนั้นยังเป็นนางคนเก่า!”
แม้ตู๋กูโม่เป่าจะอารมณ์ร้าย แต่เขาก็แม่นยำในเรื่องนี้เสมอ
ในเมื่อเขาพูดออกมาขนาดนี้แล้ว แสดงว่ามันย่อมเป็นเช่นนั้นไม่เกินจริง
ผู้อาวุโสลำดับห้าเบิกตากว้างอย่างตกใจ พลันก้มลงมอง เพราะอยากตรวจสอบนางให้ละเอียดกว่าเดิม
แต่ตอนนี้เด็กสาวผู้นั้นถอนสายตากลับไปเสียแล้ว และจากมุมมองของพวกเขา ทำให้เห็นเพียงศีรษะของนางเท่านั้น
“ข้าบอกเลยว่า…ทันทีที่สบตานาง ข้าก็ฟันธงเลยว่านางคือนังหนู ต้องเป็นเป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่นอน”
หลานเซียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมองไปที่ผู้อาวุโสลำดับห้า
“คนที่จำนางไม่ได้ น่าจะเป็นเจ้ามากกว่านะ?”
ผู้อาวุโสลำดับห้าหน้าแดงเถือกอย่างอับอาย
“จะ จะโทษข้าฝ่ายเดียวก็ไม่ได้…ใครจะรู้ว่านังหนูนี่ หน้าตาเปลี่ยนไปขนาดนี้? นะ นี่ นี่…นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างใด?”
สิ่งที่ผู้อาวุโสลำดับห้าถามนั้น คือสิ่งที่อีกสองคนเองก็อยากรู้
หลานเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“หรือนังหนูนั่นจะคิดว่าตนไม่สวยพอ? จึงหาเรื่องเปลี่ยนหน้าใหม่?”
ตู๋กูโม่เป่ามองเขาราวมองคนปัญญานิ่มก็มิปาน
“เจ้าคนวิปริต เจ้าคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเจ้าหรือ! เจ้าสามารถเปลี่ยนใบหน้าได้ตามต้องการ แล้วนังหนูต้องทำเช่นนั้นด้วยหรือ?! อีกอย่างนะ บนโลกนี้มีใบหน้าของผู้ใดงดงามสู้ใบหน้าเก่าของนางได้ด้วยหรือ?”
ถึงหลานเซียวจะไม่พอใจที่ถูกด่าว่าเป็น “คนวิปริต” แต่ก็จำต้องเห็นด้วยกับประโยคหลัง
“ก็ถูกของเจ้า”
ถ้าไม่ใช่เพราะรักใคร่เทิดทูนนังหนู เขาคงถลกหนังหน้าของนางออกมาตั้งนานแล้ว
ใบหน้านั่นคือความงามที่หาได้ยากบนโลกใบนี้!
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย พร้อมประกายความปลาบปลื้มที่ปรากฏในดวงตาของเขา
“ทว่า รูปลักษณ์ของนางในปัจจุบันนั้นยังดูเยาว์วัยนัก รอให้นางโตกว่านี้อีกนิด ประเดี๋ยวก็กลายเป็นสาวงามดั่งเมื่อก่อนแล้ว…แต่พูดก็พูดเถอะ ตกลงแล้วมันเกิดปัญหาเช่นนี้กับนางได้อย่างใด?”
สีหน้าของของตู๋กูโม่เป่ามืดมนลงทันตา
“ไม่เพียงแค่ใบหน้าของนาง ทว่ากายภาพทั้งหมด…ล้วนเปลี่ยนไปด้วย!
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของอีกสองคนที่เหลือเปลี่ยนไปเช่นกัน
หากเปลี่ยนแค่ใบหน้า พวกเขาย่อมไม่ได้สงสัยมากนัก
แต่นี่กลับเปลี่ยนไปทั้งตัวราวสลับร่าง
สิ่งที่ต้องรู้เลยคือ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ร่างกายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง!
ทั้งตำแหน่งตันเถียน!
หยวนตัน!
ชีพจรดั้งเดิม!
ซึ่งเมื่อละทิ้งร่างกายแล้ว สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็จะถูกละทิ้งไปเช่นกัน!
แถมนังหนูยังเป็นผู้ที่มีชีพจรเทียนจิงด้วย!
ทั้งสามคนตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
ก่อนหน้านี้ พวกเขามาที่นี่ด้วยการจับจุดกระแสจิตวิญญาณของนังหนู แต่กลับคิดไม่ถึงว่า นอกจากจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่แล้ว ร่างกายของนังหนูจะถูกแทนที่ด้วยกายใหม่เช่นนี้!
นี่มันเกิดบ้าอันใดขึ้นกันแน่?
“…พวกเจ้าว่า ที่นางหายตัวไปในช่วงไม่กี่ปีมานี้…เป็นเพราะนางลืม หรือเพราะ…เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนาง?”
ผู้อาวุโสลำดับห้ากล่าวอย่างเชื่องช้า
พวกเขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้มาก่อนเลย
นังหนูผู้นี้เป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ ทั้งยังมีพรสวรรค์และพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่ตอนนั้นนางยังรอดจากเงื้อมมือของพวกเขาไปได้ แล้วจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับคนอย่างนางได้เช่นไร?
ลึกๆ แล้วพวกเขาไม่เชื่อการคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้
แต่ถ้านี่เป็นความจริง…
สรุปแล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ถึงทำให้นางสลับร่างแล้วไปอยู่ในจุดที่ต้องเริ่มต้นใหม่อย่างนั้น?
ผู้อาวุโสลำดับห้าเอ่ย
“รอไปก่อน! ดูเหมือนว่าตอนนี้นังหนูกำลังสู้กับเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ รอให้นางออกมาแล้วค่อยถามก็ยังไม่สาย”
ตู๋กูโม่เป่ากำหมัดแน่น พร้อมไอสังหารที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง
หลานเซียวคิ้วขมวดมุ่น เพราะกลัวว่าเขาจะก่อเรื่องแล้วฆ่าทุกคนที่นี่ ก่อนจะโพล่งออกไปอย่างเร่งรีบ
“ไอ้หยา พี่เป่า! เจ้าใจเย็นหน่อยเถิด! ไม่ใช่ว่านังหนูจะไม่ออกมาเสียหน่อย! รอให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นเสียก่อนแล้วค่อยเค้นเอาความจริงจากนางก็ได้! ต่อให้ยามนี้เจ้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก็ไร้ประโยชน์!”
ตู๋กูโม่เป่ากัดฟันกรอด พลันเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ
“ไอ้เจ้าเด็กหรงซิวนั่น มันหายหัวไปตายอยู่ที่ใดกัน!”
…
จู่ๆ องค์ชายผู้ซึ่งกำลังตรวจเอกสารอยู่ที่โต๊ะ ก็จามออกมา
เขาวางพู่กันในมือลง พลางนวดหว่างคิ้วแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
เหมือนจะถูกใครนินทาอยู่หรือเปล่านะ…
เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะตรวจดูเอกสารทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จสิ้น จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง
ทันใดนั้น ร่างสีขาวราวกับหิมะก็กระโจนพุ่งผ่านอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็ว!
นายทหารทุกคนที่เฝ้าอยู่นอกตำหนัก เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
ผ่านไปเพียงไม่นาน เหตุใดสัตว์อสูรขององค์ชายถึงดูแข็งแกร่งขึ้นเพียงนี้?
คราแรกเสวี่ยเสวี่ยย่างกรายไปทั่วพื้นที่เปิดโล่งหน้าตำหนัก พลันมีชั้นน้ำแข็งควบแน่นบนพื้น!
จากนั้นร่างของมันก็พุ่งเข้าไปข้างในตำหนัก แล้วหายไปในพริบตา!
คราวนี้เสวี่ยเสวี่ยเลือกที่จะบุกเข้ามาทางหน้าต่าง
โชคดีที่ตำหนักแห่งนี้กว้างขวางพอ และสิ่งของที่ใช้ล้วนเป็นของชั้นยอด ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกลัวว่าพวกมันจะได้รับความเสียหายจากเจ้าตัวขนนั่น
เสวี่ยเสวี่ยกระโดดเข้าไปในห้อง
หรงซิวมองมัน ริมฝีปากบางๆ ของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย
“มาได้ถูกเวลาเสียจริง”
เสวี่ยเสวี่ยเดาได้อยู่แล้วว่าเจ้านายต้องการให้มันทำอันใด มันกระดิกหางอย่างมีความสุข และจ้องมองหรงซิวด้วยดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกทั้งสองข้างของตนอย่างตั้งใจ
ผ่านไปสักพัก หรงซิวก็กดยิ้มมุมปาก แล้วพูดว่า
“เจ้านำไปก่อนได้เลย”
เดิมทีเขาวางแผนจะพาเสวี่ยเสวี่ยไปด้วยทีหลัง แต่ดูแล้วตอนนี้…คงรอต่อไปไม่ได้แล้ว
เสวี่ยเสวี่ยดีใจมาก มันหมุนตัวแล้วพุ่งออกไปทันที!
กรรร์!
เสียงคำรามนั่นดังสะท้านฟ้า!
ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่ระเบิดออกมาราวอัดอั้น!
หรงซิวเลิกคิ้วเรียวสวยของตนขึ้นเล็กน้อย ในขณะมองดูร่างที่หายไปจากครรลองสายตาอย่างรวดเร็ว
ความโกรธของคนเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกปวดหัวมาก
เห้อ ส่งเสวี่ยเสวี่ยล่วงหน้าไปก่อนก็แล้วกัน