ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 774 สำนึกผิด
ตอนที่ 774 สำนึกผิด
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ช่าง…น่าเบื่อเสียจริง
เนื่องจาก คราแรก เป็นองค์หญิงสามเองที่ทรงนำกองทัพทหารม้าทมิฬหนึ่งพันนาย และศิษย์หลายคนจากสำนักวิชาต่างๆ ไปยังแดนภังคะแห่งนั้น
ทัพของนางนั้นทั้งแข็งแกร่งและองอาจ!
แต่ทว่ายามนี้…แถมสภาพแบบนี้ด้วย มันจะดูเกินความคาดหมายของทุกคนไปหน่อยหรือเปล่า
หลู่ชานและคนอื่นๆ เองก็งงงวยเช่นกัน
ตามแผนที่ตกลงกันไว้ ความจริงพวกขององค์หญิงสามจะกลับมาที่นี่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ทว่าตอนนี้มันนานถึงหนึ่งเดือนแล้วหรือ?
อีกอย่าง ถ้าพูดตามหลักแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะกลับมา พวกเขาต้องแจ้งให้คนที่รอทราบ
แต่พวกเขากลับไม่ได้ส่งสารอันใดมาเลย
ถ้าไม่เห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นหมุนวนล่ะก็ พวกเขาคงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้ว!
มีรอยแผลเป็นทั่วใบหน้าของซั่งกวนหว่าน ที่แม้จะมีผ้าคลุมหน้าปิดไว้ ก็ยังปิดไม่มิด
ด้วยความสิ้นหวังและอับอาย นางจึงต้องใช้หมวกคลุมทับไว้อีกที
ดังนั้น แม้สภาพของนางจะดูน่าสงสัย แต่ท้ายที่สุดมันก็สามารถช่วยปิดบังรอยแผลเหล่านี้ไว้ได้หมด
มีสายตานับไม่ถ้วนแอบมองนางจากจุดอับ รวมทั้งมองนางอย่างเปิดเผย!
หากคนอื่นๆ ได้เห็นรูปลักษณ์ที่เสียโฉมของนาง ไม่รู้เลยว่าจะเกิดการปรามาสอันใดขึ้นหรือไม่!
ฉะนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าการปรากฏตัวครั้งนี้จะนำไปสู่การคาดเดาและถกเถียงกันต่างๆ นาๆ แต่นางก็ยังยืนยันที่จะทำเช่นนั้น
เดิมทีนางอยากจะนั่งรถม้ากลับวัง แต่เพราะกลับมากะทันหัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถเตรียมรถม้าให้นางได้ทัน
เมื่อสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาเสร็จเรียบร้อย ซั่งกวนหว่านก็ยกเท้าแล้วก้าวไปข้างหน้า
เจี่ยงอวี่เฉิงเองก็เดินตามนางไป โดยทิ้งระยะห่างไว้ครึ่งก้าว
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ กองทัพทหารม้าทมิฬและสาวกของสำนักวิชาต่างๆ ที่เหลือรอด ก็แยกย้ายกันกลับไปยังที่ของตน
ช่างเป็นภาพที่น่าอายยิ่งนัก
ปุถุชนโดยรอบมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
“เกิดอันใดขึ้นกันน่ะ? จะ…จะจากไปเช่นนี้เลยหรือ?”
“ข้าเคยคิดว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างเฉิดฉายเสียอีก…แต่นี่มันต่างจากที่ข้าคิดไว้มาก!”
“พวกเจ้ามองไม่ออกหรือว่า จำนวนของทหารม้าทมิฬลดลงเพียงใด? ไหนจะศิษย์จากสำนักวิชาเหล่านั้นอีก ดูเหมือนจะหายไปหลายคนเลย…”
“เหมือนจะจริงของเจ้า! ดูๆ แล้ว เหมือนว่าทหารม้าทมิฬจะรอดกลับมาแค่สามสี่ร้อยนายเอง…”
“จิ๊…การเดินทางไปยังแดนภังคะครั้งนี้ คร่าชีวิตผู้คนไปมามายเชียวหรือ?!”
“เดิมทีมันก็เป็นสถานที่ที่อันตรายมากอยู่แล้ว ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? เมื่อก่อนตอนที่รองแม่ทัพมู่พาทหารไป ก็เกิดการสูญเสียขึ้น เกินครึ่งหนึ่งของกองทัพทั้งหมดเสียอีก…”
“แต่ในตอนนั้นเขานำทัพไปปราบกบฏในแดนภังคะนะ ส่วนแดนภังคะในปัจจุบันนั้นสงบลงแล้ว มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ? องค์หญิงสามเองก็ดูแปลกไป…แต่ที่นางดูเชิด อาจจะเป็นเพราะนางได้วัตถุดิบยาที่ฝ่าบาทต้องการมาเยอะหรือเปล่า นางถึงได้มีท่าทางเช่นนั้น?”
หลายคนต่างซุบซิบคุยกันไม่หยุด
และคำพูดเหล่านั้นก็ลอยเข้าหูซั่งกวนหว่านอย่างต่อเนื่อง
ความโกรธพลุ่งพล่านอยู่ในอกของนาง เลือดลมในกายพุ่งสูงจนหัวแทบระเบิด!
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลใต้ผ้าคลุม รู้สึกเจ็บปวดอีกครั้งเนื่องจากการโดนปุถุชนฉีกหน้ากันไม่ยั้ง
และมันทำให้นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากขึ้น
ราวกับถูกคำพูดเหล่านั้นตบหน้าอย่างแรง!
นางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ทว่ามู่ชิงเห่อที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ไปกับพวกเขา แต่ยังคงดูแลกองทัพหหารม้าทมิฬอยู่
หลู่ชานที่รอกระทั่งไร้ซึ่งเงาของซั่งกวนหว่าน ถึงได้หันไปมองมู่ชิงเห่อด้วยความสงสัย พลางเอ่ย
“ท่านรองแม่ทัพ เหตุใดพวกท่านถึงไม่แจ้งข้าก่อนว่าจะกลับมา? การต้อนรับครานี้เลยดูฉุกละหุกไปหน่อย…”
มู่ชิงเห่อส่ายหน้า
“ครานี้กะทันหันมาก ข้าจึงมิได้แจ้งให้เจ้าทราบ แต่ไม่เป็นไร เจ้ารีบส่งคนไปช่วยขนทหารบาดเจ็บท้ายขบวนไปยังสถานพยาบาลเสีย นอกจากนี้ ประเดี๋ยวเถียนจ้วงจ้วงจะเข้ามาคุยกับเจ้าเรื่องผู้เสียชีวิต แล้วส่งมอบศพเหล่านั้นให้เจ้าจัดการต่อ จากนี้ข้าจะให้เจ้าจัดการเรื่องพวกเขาแทนข้า”
หลู่ชานที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ถึงกับผงะไปเล็กน้อย
“รับทราบขอรับ!”
เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว และพบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นมีมากกว่าที่คาดไว้มาก
หัวใจของเขาหนักอึ้ง
แดนภังคะนั้นอันตรายมาก แต่เนื่องจากมู่ชิงเห่อและกองทหารของเขา ได้ปราบกบฏไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันจึงสงบขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ
พูดตรงๆ ก็คือ มันไม่น่าจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นได้…
แต่เขาไม่กล้าถามมาก และทำได้เพียงทำตามคำสั่งของมู่ชิงเห่อเงียบๆ
สถานการณ์ฝั่งสาวกสำนักวิชาเองก็ไม่ได้ดีกว่ากันนัก
แต่ก็ยังมีจุดต่างระหว่างสองกลุ่มอยู่
ทหารม้าทมิฬคือ กองทัพที่เข้มงวดและเชื่อฟังคำสั่งมาก
ทว่าความสัมพันธ์ของสำนักวิชากับราชวงศ์เทียนลิ่งนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำสั่งโดยตรง
พวกเขาเคารพราชวงศ์เทียนลิ่ง และในขณะเดียวกัน ราชวงศ์เทียนลิ่งก็เคารพพวกเขาเช่นกัน
เพราะผู้ที่สามารถเข้าร่วมกับสำนักวิชาเหล่านี้ได้ ย่อมเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ได้รับเลือกให้ไปแดนภังคะในครั้งนี้ล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่น ที่มีเพียงหนึ่งในล้าน
ยามนี้ความตายและการบาดเจ็บ ถือว่าเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของทุกสำนักวิชา
“เหตุใดศิษย์ของสำนักกระบี่เมฆาม่วงจึงเหลือเพียงสามคน? ตอนเข้าไปพวกเขามีกันสิบคนมิใช่หรือ? แสดงว่าพวกเขาเป็นสำนักวิชาที่สูญเสียมากที่สุดเลยใช่หรือไม่?”
“สำนักวิชาอื่นเองก็มีคนบาดเจ็บล้มตายเหมือนกัน แต่ก็ไม่มากมายเท่าพวกเขา…”
“ข้าคิดว่า…ประเดี๋ยวก่อน ศิษย์จากชงซูเก๋อเล่า? พวกเขาอยู่ที่ใดกัน?”
สิ้นคำพูด ผู้คนทั้งหมดล้วนเงียบเสียงลง
สายตานับร้อยกวาดมองค้นหาไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เห็นศิษย์จากชงซูเก๋อเลย
ชงซูเก๋อส่งลูกศิษย์เข้าร่วมทั้งหมดสามคน บวกกับฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวที่ช่วงนี้ชื่อเสียงดังกระฉูด ดังนั้นพวกเขาจึงโดดเด่นเป็นพิเศษ
ทว่าตอนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา
“หรือว่าศิษย์ทั้งสามของชงซูเก๋อจะ…”
แต่จู่ๆ ก็มีใครบางคนเอ่ยโพล่งขึ้นมาท่ามกลางผู้คนมากมาย
ถึงจะพูดออกมาเพียงแค่นั้น แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่าเขาต้องการจะสื่ออันใด
สีหน้าของทุกคนดูซับซ้อนและเปราะบาง พร้อมแววตาที่คละความรู้สึกกันไป
กว่าชงซูเก๋อจะผลิตอัจฉริยะออกมาได้ตั้งสองคนนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย แต่มันกลับพังทลายลงง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?
หากชงซูเก๋อไร้ซึ่งฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจว หลังจากนี้พวกเขาคงประสบปัญหามากมายเป็นแน่!
…
ณ หอคอยชุนเฟิง
ภายในห้องส่วนตัว สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์และเจี่ยนเฟิงฉือกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ริมหน้าต่าง
สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์กอดพิณของตนไว้ ทว่ามิได้บรรเลง และทำเพียงจ้องเจี่ยนเฟิงฉือที่นั่งอยู่ตรงหน้า แล้วถามว่า
“หมายความว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ?”
“ท่านชายผู้เก่งกาจอย่างข้าออกโรงเองทั้งที จักมีปัญหาได้อย่างใด”
เจี่ยนเฟิงฉือเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจที่ไม่ปิดบัง
สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์ยิ้มเยาะ
“เมื่อสองคนนั้นไม่อยู่ในซีหลิง ก็ทางสะดวกเจ้าเลยสินะ”
เจี่ยนเฟิงฉือไม่ปฏิเสธ
ก็ที่เขาปฏิเสธท่านพ่อแทบเป็นแทบตาย บอกหัวเด็ดตีนขาดอย่างใดก็ไม่ยอมไปแดนภังคะ และจะอยู่แต่ในซีหลิงเท่านั้น ก็เพื่อการนี้มิใช่หรือ?
“อย่างใดก็ตาม ตอนนี้ทุกอย่างกำลังคืบหน้าไปได้ด้วยดี จากนี้ ขอเพียงแค่…”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นจากถนนด้านนอกหน้าต่าง
เจี่ยนเฟิงฉือเงียบเสียงลงทันที
สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์เปิดหน้าต่างและมองลงไป ใบหน้าของนางพลันดูตกใจ
“ทหารม้าทมิฬ?”
เจี่ยนเฟิงฉือที่คิดว่าหูฝาด ก็รีบพุ่งตัวไปมองบ้าง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นขึ้นทีละนิด
“เหตุใด จู่ๆ ซั่งกวนหว่านถึงกลับมาเล่า!?”
บนถนนกว้าง กองกำลังทหารม้าทมิฬตั้งแถวเรียงหนึ่งราวเข้าสู่สภาวะพร้อมรบทั้งสองด้าน ส่วนคนที่เหลือก็เดินอยู่ตรงกลาง
แม้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขาจะสวมเสื้อคลุม และผ้าคลุมหน้า แต่เจี่ยนเฟิงฉือก็จำได้ทันทีว่านั่นคือ ซั่งกวนหว่าน!
และเจียงอวี่เฉิง ที่เดินอยู่ข้างกายนาง
มีข้ารับใช้หลายคนอยู่ข้างหลังคนทั้งสองคน แต่ก็รักษาระยะห่างไม่ใกล้หรือไกลเกินไป
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไปประมาณหนึ่งเดือนหรอกหรือ? ไฉนยามนี้ถึงได้…”
สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยปากอย่างสงสัย
เจี่ยนเฟิงฉือหรี่ตาลงทันควัน
“กลับมาจากการหาวัตถุดิบยาให้องค์เหนือหัวทั้งที ต้องดูเริงร่ากว่านี้สิ แต่เหตุใดนางกลับดูเหนียมอายเช่นนั้น?”
พูดจบเขาก็สะบัดนิ้วหนึ่งที
“ทำท่าทำทางรู้สึกผิดเช่นนั้น ข้าต้องรู้ให้ได้ว่านางกำลังปกปิดความผิดอันใดอยู่!”