ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 779 อุบัติภัย
ตอนที่ 779 อุบัติภัย
ประโยคๆ เดียวก็เกือบทำให้ซ่งหลวนสำลักขาดอากาศหายใจตาย!
ดวงหน้าของเขาจากขาวเป็นเขียว จากเขียวเป็นแดง สีหน้าเปลี่ยนไปมาน่าดูชมยิ่ง!
เขาพลันหยัดกายลุกขึ้น เอ่ยเสียงกราดเกรี้ยว
“เจ้าพูดว่าอันใดนะ!?”
เดิมทีเขาก็อารมณ์เสียมากพออยู่แล้ว ยิ่งได้ยินประโยคนี้เข้าไปอีก ใครที่ไหนจะไปคุมอารมณ์อยู่?
ทันใดนั้นราวกับถูกจุดไฟโหมก็ไม่ปาน…ความโกรธของเขาปะทุแล้ว!
ทว่าอวี้ฉือซงกลับมีสีหน้าไม่แยแส
“ข้าพูดว่าอันใด ทุกคนในที่นี้ย่อมได้ยินกันชัดเจนดี เหตุใดจึงมีเพียงเจ้าที่ได้ยินไม่ชัด หรือเป็นเพราะหูเจ้าใช้การไม่ได้แล้ว?”
“เจ้า…”
“ดูเหมือนหูของเจ้าจะไม่ต่างอันใดกับปาก ล้วนเป็นแค่ของประดับประดาที่มีไว้เสียเปล่า”
อวี้ฉือซงเอ่ยปากพูดไม่กี่คำ ก็ทำเอาซ่งหลวนถูกด่าเสียจนไม่มีชิ้นดี
ทุกคนต่างพากันมองอย่างตกตะลึง
อวี้ฉือซงเป็นบุคคลผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งมาตลอด คำพูดคำจาและการวางตัวมักนุ่มนวลอยู่เสมอ
ทว่าหลังจากที่สำนักชงซูเก๋อต้องประสบกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน คงไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว
สำนักชงซูเก๋อทั้งหมดกลายเป็นไร้ตัวตนไปเสียอย่างนั้น
และเพราะเหตุนี้ คนทั้งหลายก็ค่อยๆ มองข้าม ไม่เห็นสำนักชงซูเก๋ออยู่ในสายตาอีก
ความจริงแล้วพวกเขาคิดว่า การตายของพวกฉู่หลิวเยว่ทั้งสามคน สามารถกลายเป็นแรงปะทะอย่างใหญ่หลวงแก่อวี้ฉือซงและคนอื่นๆ มากถึงขนาดที่ว่ามีคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาย่อมไม่มีทางมาที่วังด้วยซ้ำ
แต่คิดไม่ถึงว่า เขาไม่เพียงแต่จะมาเฉยๆ อีกทั้งยังทรงพลังมากอีกด้วย!
ทั่วทั้งเมืองซีหลิงจะมีสักกี่คนที่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับซ่งหลวน?
คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้ากันไปมา ล้วนแต่มองเห็นร่องรอยความตื่นตะลึงในนัยน์ตาของอีกฝ่าย
…นี่…คงมิใช่ว่าได้รับความสะเทือนใจมากไปหรอกใช่หรือไม่?
อวี้ฉือซงนั่งลงบนที่นั่งของตน ปล่อยให้สายตานับไม่ถ้วนมองสำรวจมาที่ตนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมิขยับเขยื้อนสักนิดดุจดั่งภูเขา
ลูกศิษย์ของเขาทั้งคน เขาจะไม่รู้ได้หรือว่าเป็นหรือตาย?
เจ้าเด็กสามคนนั้นเพียงแค่ไม่ได้ตามคณะเดินทางของซั่งกวนหว่านกลับมาพร้อมกัน แต่ในใจเขาชัดแจ้งว่าเด็กเหล่านั้นล้วนยังอยู่ดี
แต่ในตอนนี้เขาก็ยังตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ต่อฝูงชน
ระหว่างทางที่มา เขารู้ว่าย่อมต้องมีคนนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่อสร้างปัญหาแก่สำนักชงซูเก๋อ
ถ้าให้พูดอีกอย่างก็คือ เขาแสร้งทำเป็นหลับหูหลับตาเสียก็จบแล้ว ป่วยการไปต่อล้อต่อเถียงด้วย
แต่กับซ่งหลวนที่จงใจพูดถึงเด็กสามคนนั้น ไม่พอยังเอ่ยสาปแช่งให้เจ้าเด็กพวกนั้นตายตกกันไปให้หมดอีก
เช่นนั้นแล้วเขาจะอดทนอยู่ได้หรือ?
หลังถูกกล่าวออกมาเช่นนั้นต่อหน้าผู้คน ซ่งหลวนจึงได้แต่ยืนทึ่มทื่ออยู่แบบนั้น
ในความคิดเขา อวี้ฉือซงไม่เคยทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้กับใครมาก่อน
เขาหัวเราะโต้ตอบด้วยความโกรธ เย้ยหยันอย่างเย็นชาว่า
“เฮอะ เจ้าสำนักเก๋อ ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นสี่สำนักใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น ส่วนตัวข้าเพียงแค่แสดงความห่วงใยออกมา ท่านพูดเช่นนี้ ข้าว่าคงไม่เหมาะกับฐานะของท่านสักเท่าไรกระมัง?”
อวี้ฉือซงปรายตามองแวบหนึ่ง ทำประหนึ่งว่ากำลังดูคนโง่เล่นละครก็มิปาน
“ได้ยินมาว่าครั้งนี้สำนักกระบี่เมฆาม่วงเสียลูกศิษย์ที่โดดเด่นไปเจ็ดคน คาดไม่ถึงว่าเจ้าสำนักซ่งแท้จริงแล้วยังคงไร้ซึ่งความกังวลใจ มาเป็นห่วงเป็นใยสำนักชงซูเก๋อของเรา?”
ซ่งหลวนพลันสะอึกอยู่ในใจ พูดอันใดไม่ออก
พวกเขาเสียลูกศิษย์ไปเจ็ดคนจริงๆ อีกทั้งคนที่เหลืออยู่ก็มีเพียงสามคน นอกจากลูกชายของตน ซ่งชิงเหนียนที่สภาพยังถือว่าพอดูได้แล้ว ที่เหลืออีกสองคนล้วนบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะส่งผลต่อการฝึกตนในภายหลัง
จวนจะพูดได้ว่ากองทัพทั้งหมดพังทลายย่อยยับ!
ต้องรู้ก่อนว่า ครั้งนี้คนที่เขาส่งไปแดนภังคะครั้งนี้ ล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ฝีมือโดดเด่นของสำนักกระบี่เมฆาม่วงทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจวนจะต้องใช้เวลาอีกสองสามปี จึงจะสามารถฟื้นฟูความเสียหายที่ได้รับครั้งนี้ได้!
ในตอนนั้นเอง เจี่ยนชูเย่ที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปาก
“อันที่จริง ข้าได้ยินมาว่าตอนอยู่ที่ป่าหมอกมายา เด็กสาวฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นช่วยคนไว้ได้ไม่น้อย ไม่เพียงแค่ลูกศิษย์ของสำนักภูเขาเขี้ยวมังกร ลูกศิษย์จากสำนักอื่นจำนวนไม่มากก็น้อยล้วนได้รับการช่วยเหลือจากนางกระมัง?”
เขาพูดพลางมองไปยังซ่งหลวน เอ่ยถามอย่างจงใจ
“”ซ่งหลวน ดูเหมือนลูกชายสุดที่รักคนนั้นของเจ้าเองก็ถูกพวกนางช่วยเอาไว้นี่?”
ซ่งหลวนพลันโต้ตอบ “ไม่มีทาง! ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น!”
เจี่ยนชูเย่มีร่องรอยความประหลาดใจบนใบหน้า เขามองไปทางกลุ่มคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
“โอ้? เช่นนั้นไม่ทราบว่าผู้ที่นั่งอยู่มีใครเคยได้ยินเรื่องนี้บ้าง?”
ทั่วทั้งโถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบจนผิดวิสัย
สีหน้าของผู้คนต่างก็แตกต่างกันไป
ซ่งหลวนหัวเราะเยาะอย่างไม่หยุดหย่อน
“ข้ารู้ว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นพอมีทักษะอยู่บ้าง แต่ว่าดูจากความสามารถอันน้อยนิดของนางแล้ว จะปกป้องตัวเองยังยาก ไหนจะเรื่องช่วยคน? แถมช่วยได้อีกเป็นจำนวนมาก? เจี่ยนชูเย่ คำพูดของเจ้าดูท่าคงจะเกินไปหน่อยแล้วล่ะ!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีคนผู้หนึ่งพลันเอ่ยปากขึ้น
“ที่เจ้าสำนักภูเขาเขี้ยวมังกรพูดมานั้นไม่ผิด ลูกศิษย์ของสำนักข้าถูกฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ช่วยไว้ได้จริงๆ”
ซ่งหลวนขมวดคิ้วพลันหันขวับไปมองก็พบว่าผู้ที่เอ่ยขึ้นมาคือนายน้อยจากสำนักเพลิงศักดิ์สิทธิ์
เขาแค่นหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง เตรียมจะเอ่ยคำเยาะเย้ย ด้านข้างกลับมีคนเอ่ยปากขึ้นมาอีก
“ลูกศิษย์ของสำนักนิมิตสวรรค์เองก็กลับมาพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน”
ซ่งหลวนมีสีหน้าแข็งค้าง
เจี่ยนชูเย่เอ่ยเช่นนั้นคนเดียวยังไม่เท่าไร แต่ตอนนี้คนกลับยอมรับต่อกันเป็นทอดๆ อย่างนั้นหรือ?
คนจากสำนักอื่นล้วนเงียบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดคิดเอ่ยโต้แย้ง!
นี่ทำให้บรรดาผู้นำตระกูลจากตระกูลใหญ่อันเก่าแก่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามพากันตกตะลึง
เพราะว่าพวกเขาสามารถเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในขอบเขตที่ไม่สูงนัก ดังนั้นจึงมิได้รู้อันใดมาก
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดเพียงว่าการไปแดนภังคะรอบนี้ย่อมต้องมีการบาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัสสากรรจ์ คาดไม่ถึงว่าภายในจะมีเรื่องเหล่านี้ด้วย
เจี่ยนชูเย่ลูบคางของตน และเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“ซ่งหลวน เหมือนว่าลูกชายสุดที่รักของเจ้าจะจงใจปิดบังเจ้าแน่ะ? เช่นนั้นเขาก็คงไม่ได้บอกเรื่องที่หยางซิ่นเอ๋อร์ผู้นั้นจากสำนักของเจ้าถูกพบว่ามีปัญหา สุดท้ายจึงเลือกระเบิดตัวเองตายกระมัง? ได้ยินว่าตอนนั้นเกือบจะทำร้ายผู้คนไม่น้อยเลย”
ซ่งหลวนเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าตกตะลึง
เขาไม่รู้จริงๆ!
หลังจากซ่งชิงเหนียนและลูกศิษย์อีกสองคนนั้นกลับมา เขาก็รีบไปดูอาการพวกเขาทันทีทันใด
สองคนที่บาดเจ็บหนักถูกส่งตัวไปรักษาแผล ส่วนซ่งชิงเหนียนก็ไม่ได้พูดอันใดมาก บอกเพียงแค่ว่าตนเหนื่อยล้าอย่างมาก แล้วแยกตัวไปพักผ่อน
กว่าซ่งหลวนจะได้แสดงท่าทางปวดใจก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาสนใจเพียงว่าลูกชายของตน ชิงเหนียนยังคงมีชีวิตอยู่ จะเอาเวลาไหนไปสนใจผู้อื่น?
เขารีบโต้กลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าถมึงทึง
“เจ้าสำนักภูเขาเขี้ยวมังกร เรื่องไร้สาระเช่นนี้อย่าได้พูดพล่อยๆ ออกมา!”
ในตอนนั้นเอง ด้านนอกโถงใหญ่พลันมีสุ้มเสียงหนึ่งดังแว่วมา
“คำพูดก่อนหน้าของเขาทั้งหมด ทุกประโยคล้วนเป็นความจริง”
ทุกคนต่างหันศีรษะกลับไปมอง กลับพบว่าเป็นเจียงอวี่เฉิงที่เดินเข้ามา
ไม่มีใครป่าวร้องแจ้ง และไม่รู้ว่าเขาที่อยู่ข้างนอกนั่นได้ยินเรื่องราวไปกี่มากน้อย
เจียงอวี่เฉิงสืบเท้าเข้ามาด้านในโถงใหญ่ ทุกคนต่างก็ปิดปากเงียบกริบ
ซ่งหลวนรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน
เจียงอวี่เฉิงเองก็อยู่ในเหตุการณ์ อีกทั้งสถานะสูงส่งไม่ธรรมดา ถ้าหากเขาเอ่ยเช่นนี้แล้วล่ะก็…
เขารีบปรับสีหน้าของตนอย่างรวดเร็ว
“หลังจากชิงเหนียนกลับมา สภาพดูอ่อนแรง ข้าจึงให้เขาไปพักผ่อน จึงไม่เคยรู้เรื่องจำนวนมากพวกนี้มาก่อน…”
เจียงอวี่เฉิงส่ายศีรษะเบาๆ
แท้จริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาใส่ใจเท่าไรนัก
ความสนใจของเขา แท้จริงแล้วล้วนตกอยู่ที่ตัวของอวี้ฉือซงผู้นั้น
ก่อนจะมานี่ เขาทันได้เห็นอวี้ฉือซงเดินเข้าไปข้างหน้าก่อนพอดี จากนั้นก็ได้ยินซ่งหลวนเอ่ยยั่วโทสะ
เขาจึงรั้งรออยู่ข้างนอก ยืนฟังพวกเขาคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกชอบกลก็คือ ดูท่าแล้วอวี้ฉือซงรู้ว่าพวกฉู่หลิวเยว่ทั้งหมดล้วนยังมิกลับมา แต่กลับไม่มีร่องรอยความโทมนัสเศร้าหมองอันใดมากนัก
เซียงหว่านโจวและคนอื่นนั้นยังดี อวี้ฉือซงเองก็คงรู้ว่าพวกเขาเข้าไปในป่าหมอกมายาเพียงเพื่อตามหาคนเท่านั้น
แต่กับฉู่หลิวเยว่…
นางสิ้นชีวิตแล้ว หากมองเผินๆ อวี้ฉือซงไม่ควรมีท่าทีเช่นนี้สิถึงจะถูก…
“ท่านราชบุตรเขย!”
เสียงตะโกนอย่างร้อนใจสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบ
ทุกคนต่างพากันเหลือบตาขึ้นมามอง
ด้านนอกโถงใหญ่ เงาร่างหนึ่งกำลังเดินมาด้วยความรวดเร็ว
เจียงอวี่เฉิงย่นคิ้ว
คนผู้นั้นก็คือฉานอี้นั่นเอง
เหตุใดซั่งกวนหว่านจึงยังไม่มาเล่า?
เขาออกก้าวเดิน ยังไม่ทันได้เปิดประตูก็ได้ยินฉานอี้เอ่ยขึ้น
“ท่านราชบุตรเขย องค์หญิงสามเกิดเรื่องจวนตัว ขอให้พระองค์เสด็จไปตำหนักฮวาหยางก่อนเถิดเจ้าค่ะ”