ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 784 มีใครบอกเขาหรือยัง ตอนที่ 785 เขากลับมาแล้ว
ตอนที่ 784 มีใครบอกเขาหรือยัง / ตอนที่ 785 เขากลับมาแล้ว
ตอนที่ 784 มีใครบอกเขาหรือยัง
เนื่องจากมีใครบางคนเดินทางเข้ามาที่ป่าหมอกมายาอีกครั้ง
ฉินอีไม่รู้สถานการณ์ของฝั่งทะเลสาบกระจกและทะเลทรายจันทราสีชาด
แต่เขาใช้ชีวิตอยู่ในป่าหมอกมายามานาน และทิ้งร่องรอยไว้ตามจุดต่างๆ นับไม่ถ้วน
หากเกิดเหตุอันใดขึ้น เขาย่อมสัมผัสได้ทันที
“มีคนมา”
เสียงของฉินอีโดดขึ้นมา ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ
ส่งผลให้ทุกคนหันไปมอง
พี่เหลยสี่พลันขมวดคิ้ว
“ยามนี้จักมีผู้ใดเข้ามาอีกหรือ?”
ถึงจะมีคนบุกเข้ามาในแดนภังคะ แต่ครั้นได้เห็นสภาพของป่าหมอกมายาจากด้านนอกแล้ว ยังจะมีผู้ใดคิดก้าวเท้าเข้ามาอีกหรือ?
ฉินอีมีสีหน้าขบคิดราวกำลังไตร่ตรอง
“พลังปราณของอีกฝ่ายมิได้รุนแรงนัก”
และพอเห็นท่าทีของเขา ทุกคนก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาทันที
“พี่ใหญ่ พวกนั้นมากันกี่คน?”
“น่าจะห้าคน”
ดวงตาเรียวยาวของฉินอีหรี่ลง
แต่ที่เขาไม่ได้บอกก็คือ เรื่องที่ลมปราณที่แสนจะคุ้นเคยของอีกฝ่ายนั้น
พี่เหลยสี่เกาหัวแกรกๆ
“เช่นนั้นให้ข้าไปตรวจดูดีหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น พวกนั้นเข้ามาไม่ถึงบริเวณนี้หรอก”
ฉินอีชะงักไปนิด แล้วรั้งพี่เหลยสี่ไว้
…
ขณะเดียวกัน ร่างหลายร่างที่เพิ่งเดินเข้าไปในป่าก็หยุดฝีเท้าลง
เป็นเจียงอวี่เฉิงและพรรคพวกที่กลับมาที่นี่อีกครั้ง
ซึ่งนอกจากเขา ก็มีคนติดตามมาด้วยสี่คน
นั่นก็คืออวี้ฉือซง เจี่ยนชูเย่ ซ่งหลวนและราชครูอย่าง…ซย่าโหวหรง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพราะอันใดเขาถึงมาที่นี่
ท่านราชครูซย่าโหวหรงเป็นราชครูที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุด อีกทั้งยังมีพละกำลังที่แข็งแกร่งไม่เป็นรองใคร ฉะนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในผู้ที่เหมาะจะมาที่นี่มากที่สุด
ครานี้มู่ชิงเห่อไม่ได้นำกองทัพทหารม้าทมิฬมาด้วยเหมือนคราแรก
เนื่องจากการมาเยือนครั้งแรกนั้นมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก และเขายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการ
นอกจากนี้แดนภังคะนั้นเป็นสมรภูมิที่อันตรายยิ่ง ครั้นให้คนธรรมดาเข้ามาก็มีแต่ตายสถานเดียว
ซึ่งอย่าว่าแต่ช่วยกันเลย ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นตัวถ่วงให้คนอื่นถึงแก่ความตายไปด้วยก็ได้
กลุ่มคนทั้งหมดยืนนิ่งและมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน
กระทั่งเจียงอวี่เฉิงเอ่ยปาก
“พวกท่านเองก็คงเห็นแล้วว่าป่าหมอกมายาได้กลายสภาพเป็นเช่นนี้โดยสมบูรณ์ แน่นอนว่ายามนี้มันดูอันตรายอย่างเห็นได้ชัด”
เดิมทีเขาต้องการพาคนเหล่านี้ไปยังทะเลสาบกระจกโดยตรง แต่อวี้ฉือซงกลับเอ่ยขอแวะชมป่าหมอกมายาเสียก่อน พวกเขาจึงต้องมาที่นี่
ใครๆ ก็เดาออกว่าอวี้ฉือซงยังคิดอยากจะตามหาลูกศิษย์ของตนอยู่
ตอนแรกซ่งหลวนไม่เห็นด้วย แต่ในเมื่อคนอื่นๆ ไม่คัดค้าน เขาจึงจำต้องเดิมตามมาอย่างปฏิเสธไม่ได้
เจี่ยนชูเย่กวาดสายตามองไปรอบๆ
“ซงเหล่า ข้าได้ยินมาว่ามู่หงอวี่และคนอื่นๆ ยังคงอยู่ในป่าหมอกลวงตา ไฉนเราไม่ลองตามหาพวกเขา? จากนั้นค่อยไปที่ทะเลสาบกระจกดีหรือไม่? อย่างใดเสีย มันคงใช้เวลาไม่นาน”
ถึงจะหาเจอแค่คนเดียวก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยรอดชีวิตหนึ่งคนก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
และในเมื่อพูดขนาดนี้แล้ว ใครจักปฏิเสธได้กัน?
แต่ซ่งหลวนนั้นไม่พอใจอย่างมาก ก่อนจะหันไปมองเจียงอวี่เฉิง
ครั้งนี้พวกเขามาเพื่อตามหาบัวระบำ แต่สุดท้ายกลับเบี่ยงเส้นทางมาหาคนในป่าหมอกมายาก่อนอย่างนั้นหรือ?
เดิมทีเขาคิดว่าเจียงอวี่เฉิงจะเอ่ยห้าม แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงอวี่เฉิงจะร่วมด้วยช่วยกันเสียอย่างนั้น
ให้ตายสิ ซ่งหลวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลืนคำพูดทั้งหมดกลับลงท้องไป
สองมือของเจียงอวี่เฉิงที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่น พร้อมความรู้สึกกระวนกระวายใจที่ผุดออกมาเล็กน้อย
สมองของเขาบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ฉู่หลิวเยว่จะมีชีวิตอยู่ แต่ลึกๆ ในใจของเขา กลับมีความหวังอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้ซ่อนอยู่
ถ้านางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ล่ะ…
พลันรอยยิ้มที่สดใสก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
ซั่งกวนหว่านก็กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว แถมไม่รู้จะฟื้นตัวได้เมื่อไร
และไม่รู้ว่าเขาจะหมดความอดทนยามเผชิญหน้ากับซั่งกวนหว่านตอนไหน
แต่จู่ๆ เขาก็นึกอันใดขึ้นมาได้ พลันหันไปมองอวี้ฉือซง แล้วโพล่งถามออกไปราวไม่ได้ตั้งใจ
“ซงเหล่า มีใครแจ้งคู่หมั้นของฉู่หลิวเยว่ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่บ้างหรือยัง?”
ตอนที่ 785 เขากลับมาแล้ว
อวี้ฉือซงหันมองเจียงอวี่เฉิงด้วยความฉงนใจ พลันขมวดคิ้ว
ในเวลาแบบนี้ เขาจะส่งข่าวให้คู่หมั้นของฉู่หลิวเยว่ได้อย่างใด?
อีกทั้งสถานการณ์ของฉู่หลิงเยว่ในตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดดี และแม้จะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจริง แต่ในเมื่อช่วงนี้คู่หมั้นของนางไม่ได้อยู่ที่ซีหลิง เช่นนั้นจักบอกเขาเยี่ยงไร?
“ยังไม่ได้แจ้ง”
อวี้ฉือซงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไฉนจู่ๆ ถึงถามหาเขาหรือ?”
เจียงอวี่เฉิงลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย และรู้ว่าเขากำลังสงสัย จึงตอบไปว่า
“พูดแล้วก็ช่างบังเอิญเสียจริง เมื่อก่อนข้าเคยเจอบุรุษผู้นั้นอยู่ครั้งหนึ่ง ได้ยินว่าเขาเป็นองค์ชายของแคว้นเย่าเฉิน และทั้งสองคนก็ตกลงหมั้นหมายกันครั้นยังอยู่ที่แคว้นเย่าเฉิน แต่ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไร… ข้าแค่คิดว่า หากเขารู้ข่าวนี้ล่ะก็ เกรงว่าสภาพจิตใจของเขาอาจรับไม่ไหว…”
“ไม่นึกเลยว่าองค์ชายใหญ่เจียงจักรู้ละเอียดเพียงนี้ อาจจะมากกว่าข้าผู้เป็นอาจารย์เสียด้วยซ้ำ”
อวี้ฉือซงโพล่งออกไปทันที
จนเจียงอวี่เฉิงหน้าเสีย
เพราะการที่คนนิสัยแบบเขารู้ลึกถึงเพียงนี้ มันออกจะดูแปลกไปหน่อย
“โอ้ ซงเหล่าโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้ามิได้มีเจตนาอื่นใด ท่านก็รู้ว่าชื่อเสียงของฉู่หลิวเยว่ในซีหลิงนั้นโด่งดังแค่ไหน ย่อมมีหลายคนสงสัยใคร่รู้ในชีวประวัติของนาง และข้าเองก็เช่นกัน”
เจียงอวี่เฉิงยอมรับประเด็นนี้อย่างเปิดเผย
เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
อัจฉริยะที่โดดเด่นในซีหลิงทั้งหมดล้วนดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากมาย
และคงจะแปลกกว่า ถ้าเจียงอวี่เฉิงไม่รู้อันใดเลย
“ส่วนเรื่องคู่หมั้นของนาง พอดีว่าข้าบังเอิญเจอเขาระหว่างทาง จึงหยุดถามไถ่ครู่หนึ่ง หวังว่าซงเหล่าคงไม่ถือ?”
ใบหน้าของอวี้ฉือซงยังคงเรียบเฉย
“องค์ชายใหญ่เจียงทำการใด ย่อมมีเหตุผลอันสมควร”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เจียงอวี่เฉิงลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ราวกับกำลังถูกอีกฝ่ายเหน็บแนม
แต่เขาก็เค้นเสียงตอบกลับไปได้
“จบแค่นี้ก่อนดีกว่า ไว้หาพวกเขาเจอแล้วค่อยคุยกันอีกที”
ในเมื่อเจียงอวี่เฉิงไม่พบข้อมูลที่มีประโยชน์จากการสอบถามอวี้ฉือซง เขาจึงไม่ต้องการต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป
อวี้ฉือซงนั้นไม่ต่างกับจิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ ไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับคนอย่างเขา
และบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของฉู่หลิวเยว่นั้น…
ก็คงเป็นแค่ชายหนุ่มขี้โรคทั่วไป เช่นนั้นเขาจะไปสนใจด้วยเหตุใด?
หากพบกันคราวหน้า ก็ค่อยทำเป็นรู้จักกันก็พอ
ส่วนตอนนี้ก็หยุดละครเรื่องสั้นนี่ ไว้เท่านี้ก่อนแล้วกัน
กลุ่มคนเริ่มทยอยเดินเข้าไปในป่า
ทว่าผ่านไปราวครึ่งชั่วยามแล้ว พวกเขาก็ยังมองไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่กำลังตามหา
เจี่ยนชูเย่ขมวดคิ้วและมองไปยังต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาข้างหน้า
“รอประเดี๋ยว ไม่ใช่ว่าเราเดินผ่านตรงนั้นมาแล้วหรือ?”
อวี้ฉือซงตอบกลับ
“เจ้าเองก็ดูออกหรือ?”
เจี่ยนชูเย่พยักหน้าแล้วมองไปรอบๆ
“ตลอดครึ่งชั่วยามที่ผ่านมา พวกเราเดินเป็นวงกลมอยู่ที่เดิม ไม่แปลกที่เราไม่พบอันใดเลย”
เจียงอวี่เฉิงชะงักไปแวบหนึ่ง
“เดินวนที่เดิมหรือ? ท่านทั้งสองแน่ใจแล้วใช่หรือไม่?”
เจี่ยนชูเย่ถอนหายใจเบาๆ แล้วทำทีลูบคางของตน
“ข้าเห็นรอยบนเปลือกไม้นั่นผ่านตาหลายรอบแล้ว และข้าแน่ใจว่าเรากำลังเดินเป็นวงกลม!”
ซย่าโหวหรงตกใจ
“หมายความว่าเรา…โดนผีบังตาหรือ?”
จากนั้นพวกเขาก็เงียบเสียงลง
ไม่สามารถบอกได้เลยว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นไร
หากตาฝาดแค่คนเดียว คงสามารถปล่อยผ่าน แต่ในเมื่อทั้งเจี่ยนชูเย่และอวี้ฉือซงเห็นพ้องต้องกันขนาดนี้ ย่อมหมายความว่ามีบางอย่างผิดปกติจริงๆ
แม้แต่ซ่งหลวนเองก็ยังขมวดคิ้วตงิดใจ
เจียงอวี่เฉิงหันมองรอบด้านทั้งสี่ทิศ ราวจับจุดไม่ถูก
“น่าแปลก ครั้งก่อนที่ข้ามา ไม่เห็นมีเรื่องแบบนี้เลย…”
เดิมทีเขาคิดว่าอายพิศม์และรากต้นสนเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดในป่าหมอกมายา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับปัญหาเช่นนี้!
“ดูเหมือนว่ามีใครบางคนสร้างค่ายกลขึ้นที่นี่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ใช้เคล็ดวิชาแปลกๆ เพื่อสกัดกั้นทุกคนที่เข้ามา”
เจี่ยนชูเย่พึมพำ พลางมองไปยังอวี้ฉือซง
“ซงเหล่า ในหมู่พวกเราที่นี่ มีท่านที่เคยวิจัยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เช่นนั้นท่านวิเคราะห์อันใดได้บ้างหรือไม่?”
แม้อวี้ฉือซงจักเน้นไปทางเซียนหมอ แต่เขาก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งแปลกๆ เหล่านี้ดี
ทำให้ทุกสายตาต่างจดจ้องไปที่เขา
อวี้ฉือซงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้า
“อีกฝ่ายดูเชี่ยวชาญในด้านนี้มาก และมีการจัดรูปแบบไว้อย่างพิถีพิถัน ข้าเองก็จนปัญญา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ถึงกับตกตะลึง
เจี่ยนชูเย่เผยท่าทางหมดหวังออกมาทันที “หากเป็นเช่นนั้น… ก็หมายความว่าเราจะติดอยู่ที่นี่ตลอดไปอย่างนั้นหรือ? แล้วเด็กๆ พวกนั้นเล่า?”
อวี้ฉือซงหันกลับไป พลันชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง
“นั่นคือทางที่เราเข้ามา เพียงเดินกลับไปตามทางนั้น ก็จะออกไปจากที่นี่ได้ แต่ถ้ายังอยากเดินเข้าไปข้างในต่อละก็…เกรงว่ามันคงยากที่จะเป็นไปได้”
ดวงตาของเจียงอวี่เฉิงกระตุกเล็กน้อย
“หรือนี่จะเป็นฝีมือของพวกฉินอี?”
“ฉินอี คือผู้ใดหรือ?” ซย่าโหวหรงถาม
ก่อนหน้านี้เหล่าตระกูลขุนนางใหญ่ไม่ได้ส่งคนมาที่นี่พร้อมขบวนเสด็จ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่มากนัก
เจียงอวี่เฉิงจึงอธิบายให้เขาฟังอย่างรวบรัด
อวี้ฉือซงหลุบตามองต่ำราวครุ่นคิด และไม่ได้พูดอันใด
เจี่ยนชูเย่เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ถ้าเป็นพวกเขาจริงๆ แล้วจักทำเช่นนี้ไปเหตุใด? ก่อนหน้านี้จู้หงและคนอื่นๆ ล้วนพูดว่า พวกฉินอีนั้นค่อนข้างใจดีกับเด็กๆ …”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ”
ซ่งหลวนแย้งเขาเสียงเย็นเยียบ
“คนดีๆ ที่ไหนจักมาซ่อนตัวอยู่ในป่าหมอกมายาเนิ่นนานเช่นนี้กัน? อีกอย่าง ฉู่หลิวเยว่ก็ไปฉกไก่ฟ้าเก้าสีที่พวกนั้นเฝ้าประคบประหงมมาอีก พวกนั้นอาจเกิดความแค้นแล้วเปลี่ยนใจเชือดเด็กพวกนั้นก็ได้!”
เจี่ยนชูเย่ถลึงตามองเขาอย่างหงุดหงิด
ไอ้เฒ่าซ่งหลวนนี่มันช่างปากหมา น่าจับถอดเขี้ยวให้หมดเสียจริง!
กลัวแต่คนอื่นจะได้ดีกว่าตัวเอง!
ลูกศิษย์ตัวเองบาดเจ็บล้มตายกันยกใหญ่ เลยอยากให้ศิษย์คนอื่นมีจุดจบแบบนั้นเหมือนกันสินะ!
อวี้ฉือซงตอบกลับทันที
“ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการให้เราเข้าไป เช่นนั้นพวกเราก็ออกไปจากที่นี่ แล้วไปทะเลสาบกระจกกันก่อนดีกว่า”
เจียงอวี่เฉิงลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แย้งออกไป
ขนาดอวี้ฉือซงยังไม่คิดจะไปต่อ แน่นอนว่าเขาย่อมหันบังเหียนกลับตามไปด้วย
จากนั้นคนทั้งหมดก็เดินกลับไปตามทางเดิมอย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินมาไกลมากแล้ว ในที่สุดอวี้ฉือซงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมองกลับไปด้วยแววตาที่ลึกล้ำ
หมายความว่าคนผู้นั้นกลับมาแล้วสินะ…
เกรงว่าเจียงอวี่เฉิงคงคิดไม่ถึงเป็นแน่?
…
แกรก!
มีเศษชิ้นส่วนขนาดเท่าเล็บมือหล่นลงมาจากด้านบนผลึกอีกครั้ง
ยามนี้ ผลึกทั้งชิ้นที่มีขนาดประมาณฝ่ามือ ได้ถูกกลืนกินไปหมดแล้ว และเหลือเพียงส่วนตรงกลาง
เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ยังคงถูกห่อหุ้มไว้ และเหลือเพียงเปลือกบางๆ ด้านนอก
ราวกับมันสามารถแตกออกได้ทุกเมื่อหากโดนทุบตี
แต่แน่นอนว่าพลังเหล่านี้ยิ่งใหญ่เกินไป เพราะหลังจากที่ฉู่หลิวเยว่กลืนกินพวกมัน พลังเหล่านี้จะไม่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพลังของนางเสียทั้งหมด และส่วนใหญ่จะถูกลำเลียงไปเก็บไว้ในไข่มุกธาราแทน
แต่ถึงกระนั้น ความแข็งแกร่งของฉู่หลิวเยว่ ก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก
ภายในพื้นที่ปิดแห่งนี้ และหลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งปี ในที่สุดนางก็ทะลวงขอบเขตพลังปราณ ได้ถึงระดับห้าขั้นสูงสุดแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ละลายและกลืนกินเศษชิ้นส่วนนั้นนับครั้งไม่ถ้วน ราวกับน้ำไหลที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ทันใดนั้น นางก็มองตรงไปด้านหน้า
ตราบใดที่ชิ้นส่วนเหล่านั้นหลุดออกมาเรื่อยๆ สุดท้ายเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ก็จะถูกลอกคราบจนหมด!
และดูเหมือนว่าเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์เองก็จะตระหนักถึงสิ่งนี้ มันเริ่มกระสับกระส่ายทีละนิด
พื้นที่โดยรอบก็เริ่มสั่นสะเทือน!
ฉู่หลิวเยว่ใช้ความคิดอย่างไว!
แกรก!
พลันมีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้น!
ก่อนจะมีลมปราณที่แฝงด้วยกลิ่นอายโบราณกาล ระเบิดออกมาจากตรงกลางรอยแยก!