ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 790 เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ ตอนที่ 791 เจ้าเป็นคนเปลี่ยนใช่หรือไม่
- Home
- ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
- ตอนที่ 790 เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ ตอนที่ 791 เจ้าเป็นคนเปลี่ยนใช่หรือไม่
ตอนที่ 790 เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ / ตอนที่ 791 เจ้าเป็นคนเปลี่ยนใช่หรือไม่
ตอนที่ 790 เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ
เมื่อจิตใจเริ่มผ่อนคลาย เงาร่างสูงโปร่งของบุรุษก็พลันหายวับไปทันตา
ดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้าส่องลงมาเบื้องล่าง
จากนั้นทะเลสาบกระจกก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบอีกครา ระลอกคลื่นน้ำสะท้อนผืนฟ้าสีคราม งดงามตระการตายิ่ง
เกล็ดน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่บนบัวระบำได้สลายไปแล้ว กลีบดอกสีชมพูขาวนวลโปร่งแสงนั้น กระจ่างใสราวกับเพชรนิลจินดา และเอนตัวพริ้วไหวไปตามสายลม
…
เสียงคำรามนี้ไม่เพียงแค่กระจายไปยังทะเลสาบกระจก แต่กลุ่มคนในป่าหมอกมายาเองก็ได้ยินเช่นกัน
หลายคนที่รออยู่บริเวณนั้น หันกลับมามองด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน
มู่หงอวี่ถามอย่างไม่มั่นใจ
“เสียงเมื่อครู่นี้ คือเสียงร้องของสัตว์อสูรหรือ? เปล่งร้องเสียงดั่งสะท้านโลกาเช่นนี้ ต้องเป็นสัตว์อสูรระดับสูงแน่ๆ เลยใช่หรือไม่?”
พี่เหลยสี่ส่งเสียงงึมงำ ก่อนจะหันไปมองทางนั้นด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจ
“สัตว์อสูรระดับสูงหรือ? กลัวจะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ!”
เย่หรานหร่านโพล่งออกมาอย่างตกใจ แต่พอรู้ว่าตัวเองเอิกเกริกเกินไป จึงรีบรูดซิบปิดปากทันที
“ระ หรือจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์!?”
พี่เหลยสี่เหลือบมองฉินอี
“พี่ใหญ่ เจ้าว่าเช่นไร?”
ฉินอีหรี่ตาลงพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า
“เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แต่ฟังดูเหมือนมันจะดังมาจากทะเลทรายจันทราสีชาดนะ”
ทั้งป่าหมอกมายาอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว หากมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นที่นี่ เขาจะสังเกตเห็นได้ทันที
แสดงว่าเสียงคำรามที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นนี้ จักต้องมาจากทะเลทรายจันทราสีชาดแน่นอน
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ แม้จะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังส่งเสียงคำรามจากทะเลทรายจันทราสีชาดมาได้ไกลถึงที่นี่ ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง
ความแข็งแกร่งของอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ ถือเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด…
“ทะเลทรายจันทราสีชาด? ไกลขนาดนั้นนะ?”
ทุกคนล้วนตกตะลึง
มู่หงอวี่เอียงศีรษะ พร้อมความอยากรู้อยากเห็นที่ปรากฏผ่านสีหน้าของนาง
“ว่าแล้วก็ขอพูดหน่อย ในบรรดาสถานที่ต่างๆ ในแดนภังคะ มีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับป่าหมอกมายาและทะเลสาบกระจกมากมาย แต่ดูเหมือนจะมีเพียงทะเลทรายจันทราสีชาดเท่านั้น ที่ดูลึกลับมาก… แถมยังไม่มีใครรู้ด้วยว่าสถานที่นั่นเป็นเช่นไร?”
ตอนที่พวกเขาเข้ามา ก็ได้เห็นลักษณะของมันเพียงแวบเดียว
มันเป็นทะเลทรายสีทองที่มีคลื่นความร้อนไหลเวียนไร้ที่สิ้นสุด
ทั้งงดงามตระการตา กว้างใหญ่เป็นอิสระ และดูทรงอนุภาค!
ก่อนที่นางจะมาที่นี่ นางได้ค้นคว้าเกี่ยวกับทะเลทรายอันยิ่งใหญ่ และพบว่าคำอธิบายของทะเลทรายจันทราสีชาดนั้นมีอยู่น้อยที่สุด
และต่อให้นั่งอ่านอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ยังไม่เข้าใจถึงเนื้อแท้ของมันอยู่ดี
ฉินอีเก็บสีหน้าของตัวเอง แล้วตอบกลับอย่างจริงจัง
“พวกเจ้าไปที่นั่นไม่ได้ และห้ามเข้าไปใกล้ทะเลทรายจันทราสีชาดสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด ถ้าเจ้าได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ให้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เข้าใจหรือไม่?”
เดิมทีมู่หงอวี่แค่พูดไปลอยๆ แค่กลับคิดไม่ถึงว่าฉินอีจะเอ่ยปากแนะนำและตักเตือนอย่างจริงจังเช่นนี้
นางรีบยืดหลังให้ตรงทันควัน
“รับทราบเจ้าค่ะ!”
…
ณ ทะเลทรายจันทราสีชาด
ขณะนี้คือช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์สาดแสงร้อนแรงมากที่สุดของวัน
ทะเลทรายสีทองไร้ขอบเขต พื้นดินร้อนระอุ คลื่นความร้อนโหมกระหน่ำ
สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเรือกลไฟขนาดใหญ่ ที่เก็บอมความร้อนทั่วท้องทะเลเอาไว้
ใต้ผืนดินราวกับมีเพลิงอัคคีลุกโชนไม่ขาดสาย
ร่างสีขาวยืนเด่นอยู่บนเนินทรายที่เคลื่อนไหวราวคลื่นน้ำ
มันคือเสวี่ยเสวี่ย
ทว่าอันที่จริง ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสีกากีไปแล้ว ทั่วทั้งร่างสกปรกมอมแมมอย่างหาที่เปรียบมิได้ และเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้น้ำหนักของมันลดหายไปเยอะเลยทีเดียว
แต่ลมปราณในกายของมันกลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า!
มันซ้อมการโจมตีอย่างต่อเนื่องในทะเลทรายขนาดใหญ่นี้โดยไม่หยุดพัก กระทั่งถึงระดับมาตรฐานที่ต้องการ ดังนั้นมันจึงสามารถพักผ่อนได้ชั่วขณะ
เสวี่ยเสวี่ยส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาอย่างต่อเนื่อง และมองไปที่เนินทรายด้วยน้ำตาคลอเบ้า
มันยังไม่ตาย…
ทว่าไม่นาน ร่างเงาสีดำของใครบางคนก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา
เสวี่ยเสวี่ยที่ยังนอนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ พลันรู้สึกอับอายขึ้นมาทันใด
เพราะมั่วแต่จดจ่ออยู่กับการฝึก จึงไม่ได้รับรู้เลยว่าเจ้านายของตนมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด!
จากนั้นก็มีเสียงเล็กๆ ราวเด็กแรกเกิดดังขึ้น
“เจ้ายังกล้ามาที่นี่อีกหรือ?”
ชายผู้นั้นถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าอันสูงส่งและน่าเกรงขาม
เขาผู้นั้นคือ หรงซิว!
ตอนที่ 791 เจ้าเป็นคนเปลี่ยนใช่หรือไม่
หรงซิวกระหยิ่มยิ้มเยาะราวกับไม่ได้ยินความไม่พอใจ และเจตนาฆ่าที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น แล้วพยักหน้าเบาๆ
“คารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสาม มิได้เจอกันนาน ดูเหมือนพลังวิญญาณของพวกท่านจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า”
ฟู่!
ทันใดนั้นทรายสีเหลืองก็พุ่งขึ้นมาจากพื้น พลันเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นกระบี่เล่มยาว แล้วแทงไปทางหรงซิว
ห้วงนิมิตสีดำถูกเปิดออกทันที ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุของทะเลทราย
พร้อมลมหนาวที่พวยพุ่งออกมา
แล้วตรงดิ่งไปยังหว่างคิ้วของหรงซิว
หรงซิวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง ดวงตาเรียวคมประดุจปักษาที่ลึกล้ำของเขานั้น บริสุทธิ์และไม่อาจหยั่งรู้ได้ราวกับราตรีที่พร่างพราย
ขนงเรียวดกหนาแฝงด้วยความเย็นชา ก่อนจะเผยร่องรอยของความเคร่งขรึมออกมาในที่สุด
มือเรียวคว้ากระบี่ด้ามยาวขึ้นมาจับกระชับแน่น
พลัน…
ยกมันขึ้น แล้วฟาดฟันลงมาเต็มแรง
ชิ้ง!
การเคลื่อนไหวของกระบี่นี้เรียบง่ายมาก ไร้ซึ่งเล่ห์กลใดๆ และเพียงแค่รวบรวมพลังที่น่าสะพรึงกลัวแล้วฟาดลงมาตรงๆ
ประกายแสงของกระบี่พวยพุ่ง
กระจายไปทั่วชั้นอากาศ
ลมปราณของกระบี่ทั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด
ทรายสีทองร้อนแรงราวกับพายุไต้ฝุ่น เม็ดทรายสีเหลืองทองปลิวว่อน
ร่องลึกสองร่องปรากฏขึ้นในชั้นอากาศทันที
ชิ้ง!
เสียงกระทบที่คมชัดจากการปะทะดังไม่หยุดหย่อน ลมปราณของกระบี่ทั้งสอง พัวพันกันจนกลายเป็นสายน้ำจำนวนนับไม่ถ้วน ที่กำลังสาดใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง
ลมปราณที่รุนแรงปะทุขึ้นจากตรงกลาง และขยายไปยังบริเวณโดยรอบอย่างบ้าคลั่ง
เสวี่ยเสวี่ยที่เห็นแบบนั้น ก็รีบฝังหัวของมันไว้ในอุ้งเท้าอย่างรู้เท่าทัน
มันอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว ถึงจะไม่ได้เรียนรู้อันใดเพิ่ม แต่มันกลับเป็นการฝึกสัญชาตญาณ ให้รู้จักเอาตัวรอดจากลมทะเลทราย
แม้ยามนี้มันจะรู้สึกอับอายอย่างมาก แต่ในเมื่อเจ้านายอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว อย่างใดเขาก็ต้องช่วยให้มันรอดพ้นจากสภาพอันน่าสมเพชนี้ไปได้แน่นอน
ขนของเสวี่ยเสวี่ยถูกลมพัดไปมาจนยุ่งเหยิง แต่โชคดีที่ช่วงนี้ร่างกายของมันแข็งแกร่งขึ้นมาก มิเช่นนั้นคงยืนสู้ลมมิได้แน่
หลังจากนั้นไม่นาน คลื่นความผันผวนก็ค่อยๆ สงบลง
เสวี่ยเสวี่ยมุดออกมาจากกองทราย แล้วเขย่าสะบัดร่างกายอย่างแรง และมองไปยังผู้เป็นนายของตน
หรงซิวยังคงยืนอยู่ที่เดิม เท้าของเขาจมลงไปในทรายเล็กน้อยประมาณครึ่งนิ้ว
ชายร่างสูงจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทาง
อันที่จริงร่างกายของเขายังสะอาดเอี่ยม ไร้ซึ่งเม็ดทรายเปรอะเปื้อนตามตัว
เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถจัดการกับการจู่โจมเมื่อครู่นี้ได้อย่างง่ายดาย
หรงซิวประสานหมัดสองข้างขึ้นแสดงความเคารพ พลางเอ่ยเสียงเรียบ
“ขอบพระคุณที่ชี้นำ ท่านผู้อาวุโส”
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงที่เหมือนทารกก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“หายหน้าไปเพียงไม่กี่ปี แต่เจ้ากลับฝึกฝนไปถึงขั้นนั้นแล้ว ไม่แปลกเลยที่จะอวดดีเช่นนี้…”
“ท่านผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ผู้น้อยอย่างข้านั้น มิหาญกล้าท้าทายเหล่าผู้อาวุโส เช่นนั้นจักกล่าวว่าข้าอวดดีได้อย่างใด?” หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงใจมาก
ตู๋กูโม่เป่ายิ้มเยาะ
พลันหลานเซียวก็เอ่ยแทรกอย่างอดไม่ได้
“อันที่จริง เจ้าจะอวดดีหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่ใบหน้าของเจ้านี่สิ…ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังดูดีจนน่ารำคาญเหมือนเดิมไม่มีผิด!”
น้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความหมั่นไส้ระคนอิจฉา
ผู้อาวุโสลำดับห้าพูดต่อ
“หลานเซียว เจ้าช่วยเลิกพูดเรื่องหน้าตายามพบปะผู้คนสักครั้งได้หรือไม่?”
หลานเซียวปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่มีทาง”
“… คิดเสียว่าข้าไม่ได้ถามแล้วกัน”
ผู้อาวุโสลำดับห้าคิดว่าตนคงบ้าไปแล้ว ที่หวังว่าหลานเซียวคงจะเลิกนิสัยคลั่งรูปลักษณ์ได้
แต่ถ้าเปลี่ยนได้ง่ายๆ ก็คงไม่ใช่เจ้านั่น
หรงซิวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้นึกใส่ใจ และแทนที่จะโกรธ รอยยิ้มมุมปากของเขากลับกดลึกลงกว่าเดิม
“ท่านผู้อาวุโสก็ชมเกินไป”
หลานเซียว “…”
เขารู้สึกชอกช้ำระกำใจยิ่งนัก
“น่าเกลียดจริงๆ บนโลกนี้ยังมีบุรุษที่ไร้ยางอาย อวยยศตนเองออกนอกหน้าได้มากกว่าข้าอีกหรือ”
หลานเซียวคิดว่าตนนั้นเป็นสุดยอดด้านการอวยยศตัวเองมาโดยตลอด แต่ทุกครั้งที่พบหรงซิว กลับถูกความแพรวพราวของอีกฝ่ายตอกกลับหน้าหงาย ให้กลับไปร้องไห้ด้วยความเจ็บแค้นใจอยู่เสมอ
ตู๋กูโม่เป่าโพล่งออกมาอย่างเย็นชา
“เจ้าคนวิปริต แก่แล้วก็บ้าความงามให้มันน้อยๆ ลงหน่อยไม่ได้หรือไร!?”
เรื่องหน้าตามันสำคัญด้วยหรือ!?
ประเด็นหลักคือเจ้าเด็กนั่นต่างหาก!
หลานเซียวถึงกับโมโห “เจ้าว่าใครแก่กัน!? แล้วก็นะเจ้าเด็กอ้วน อย่างเจ้าน่ะ จักต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปี จึงจะสูงได้เท่าบั้นเอวของข้า… อ๊ากกก!”
ทันใดนั้นเสียงแหลมๆ ของหลานเซียวก็จำต้องหยุดลงกะทันหัน
หรงซิวมองไปที่ความว่างเปล่าตรงหน้า แล้วพูดว่า
“ไม่เจอกันหลายปี เหล่าท่านผู้อาวุโสมิต้องการออกมาเจอหน้าคราตากันเลยหรือ?”
ตู๋กูโม่เป่าตอบกลับสียงเย็นเหยียบ
“ถ้านังหนูอยู่ด้วยเราจะออกไป ทว่าตอนนี้มีแค่เจ้า ไฉนเราจักต้องออกไปด้วย?”
ท่าทางของหรงซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกดมือนวดหว่างคิ้ว พลางยิ้มกริ่มอย่างขบขัน
ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ…
“หรงซิว เจ้าเป็นคนฉลาด เช่นนั้นครานี้เจ้าต้องรู้ว่าพวกเราเรียกหาเจ้าเพราะกระไร?”
เสียงของตู๋กูโม่เป่าฟังดูจริงจังมากขึ้น พร้อมกระแสความเย็นชาปะปนอยู่ในน้ำเสียง
“นังหนูเยว่เออร์… เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางกันแน่?”
เมื่อสิ้นสุดเสียง พื้นที่โดยรอบก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งทันที
เสวี่ยเสวี่ยตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ
เห็นได้ชัดว่าบริเวณโดยรอบนั้นร้อนระอุ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งนัก
ราวกับมีไอเย็นแผ่กระจายไปทั่วสารทิศ
มันมองไปทางเจ้านายตัวเองอย่างเป็นกังวล
สีหน้าของหรงซิวอ่อนลงมาก
แต่ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ยังไม่พูดอันใดออกมา
จนกระทั่งตู๋กูโม่เป่าและคนอื่นๆ คิดว่าหรงซิวคงไม่คิดจะพูดแล้ว เขาถึงได้ยอมเปิดปากเล่าออกมา
“แต่เดิมข้ากับเยว่เออร์สัญญากันไว้ว่าจะกลับมาเยี่ยมพวกท่านอีกครั้ง ทว่าหลายปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ดังนั้นพวกเราเลยไม่มีโอกาสได้กลับมา ท่านผู้อาวุโสโปรดให้อภัยเราทั้งสองด้วย”
น้ำเสียงของหรงซิวสงบนิ่ง ราวกับว่าพูดเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลัก
แต่หากตั้งใจฟังให้ดี จะสัมผัสได้ว่า ภายใต้ทะเลที่ดูเงียบสงบนั้น มีคลื่นน้ำอันรุนแรงที่ดูเหมือนจะทำลายความเงียบสงบนี้ได้ทุกเมื่อ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลานเซียวก็ทนต่อไปไม่ไหว และถามว่า
“จากนั้นเล่า? สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
หรงซิวผู้นี้ช่างน่าตีเสียจริง จักพูดครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ไปเหตุใด?
หรงซิวชะงักไปเล็กน้อย
“สำหรับเรื่องเหล่านั้น ท่านผู้อาวุโสโปรดยกโทษให้ข้าด้วย ที่ยังไม่สามารถเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังได้ในตอนนี้ สักวันเมื่อพบนาง พวกท่านถามไถ่จากนางเองคงจะเหมาะกว่า”
“นะ นี่เจ้าไม่คิดจะเล่าจริงๆ หรือ?”
หลานเซียวถามด้วยความประหลาดใจ
ผู้อาวุโสลำดับห้าจึงท้วงขึ้นมาทันที
“จะนังหนูเยว่เออร์เล่า หรือเจ้าเล่าเองนั้นย่อมไม่ต่างกัน เจ้าช่วยพูดมันออกมาตรงๆ ตอนนี้เลยไม่ได้หรือไร?”
สองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ใครจะเล่านั้นย่อมไม่ต่างมิใช่หรือ?
หรงซิวส่ายศีรษะ ถึงเขาจะดูอ่อนลงให้บ้างแล้ว แต่ก็ยังหนักแน่นในการกระทำ
“มีบางเรื่องที่ ให้นางพูดเองจะดีกว่า”
คนหลายคนถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากเกินไป และมันอาจไม่ใช่เรื่องดีที่จะบอกให้พวกเขารู้ในตอนนี้
และภายในนั้น ก็ยังมีอันใดอีกหลายเรื่อง ที่นางยังไม่รู้…
เมื่อเห็นท่าทางหนักแน่นของหรงซิว พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าต่อให้ซักไซ้อีกเพียงใด ก็คงไม่มีประโยชน์
หลานเซียวสบทเบาๆ
“ไม่พูดก็ไม่พูด อย่างใดเสีย อีกไม่นานข้าก็จะได้เจอนังหนูนั่นแล้ว”
และเมื่อถึงตอนนั้น เขาจะถามทุกข้อสงสัย เอาให้กระจ่างกันไปข้างเลย!
“พี่เป่า ไม่ต้องช่วยฝึกสัตว์เลี้ยงให้เขาแล้ว! บอกให้เจ้าเกล็ดหิมะตัวน้อยๆ นั่นกลับไปกับเขาเสีย เราจะรออยู่ที่นี่จนกว่านางจะออกมา”
เสวี่ยเสวี่ยผู้ถูกลืมถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
มันจะได้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ทรมานนี้แล้วใช่หรือไม่!?
หรงซิวเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสทุกท่านที่ช่วยดูแลเสวี่ยเสวี่ยเป็นอย่างดี ทว่าข้าจักขออยู่ที่นี่ต่ออีกสักระยะหนึ่ง ฉะนั้นแล้ว… ข้าจะขอให้พวกท่านช่วยดูแลเสวี่ยเสวี่ยต่ออีกหน่อย ได้หรือเปล่า?”
เสวี่ยเสวี่ยมองผู้เป็นนายของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้านายของมันจะกล้าขายมันต่อหน้าต่อตาเช่นนี้!
ตู๋กูโม่เป่าตอบกลับไป
“มันอยู่ที่นี่ต่อได้ไม่มีปัญหา และถ้าเจ้าไม่อยากเล่าให้ฟังก็ไม่มีปัญหา แต่ข้ามีคำถามสุดท้ายให้เจ้า”
“เจ้าเป็นคนเปลี่ยนร่างให้นังหนูเยว่เออร์ ใช่หรือไม่?”