ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 801 ข้าเองก็เคยเห็นเขาเหมือนกัน ตอนที่ 802 เจ้ากำลังทำอันใด
- Home
- ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
- ตอนที่ 801 ข้าเองก็เคยเห็นเขาเหมือนกัน ตอนที่ 802 เจ้ากำลังทำอันใด
ตอนที่ 801 ข้าเองก็เคยเห็นเขาเหมือนกัน / ตอนที่ 802 เจ้ากำลังทำอันใด
ตอนที่ 801 ข้าเองก็เคยเห็นเขาเหมือนกัน
สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์โอบประคองผีผาไว้ในอ้อมแขน นิ้วมือเรียวยาวกรีดกรายเครื่องดนตรีประเภทสาย จนเกิดเสียงเพลงอันไพเราะเสนาะหูลอยออกมาอยู่ร่ำไป
ปกติแล้วนางมักจะเล่นแต่เพลงเศร้า และไม่ค่อยเล่นเพลงที่สดใสเช่นนี้ ทว่าดวงตาและคิ้วเรียวที่ปรากฏรอยยิ้มของนางนั้น กำลังแสดงให้เห็นว่านางอารมณ์ดีเพียงใด
“ใครบอกให้นางอวดดีจนเกินตัวกัน? พอตอนนี้ เลยแพ้ภัยตัวเองบ้างแล้ว”
สุ่ยหลิวเอ๋อร์หยุดปลายนิ้วชั่วคราว พลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“นางคิดว่าทุกคนสามารถทำอันใดที่แดนภังคะได้ตามอำเภอใจจริงๆ หรือ? ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่แดนภังคะสงบลงแรกๆ องค์หญิงใหญ่ทรงทำไว้ดีมากนะ ข้าว่านางคงอยากลองทำแบบนั้นดูบ้าง เพื่อจะได้เป็น “บุตรสาวที่กตัญญูที่สุดในโลก” แต่กลับไม่หวนคิดเลยว่าตัวเองมีความสามารถเช่นนั้นหรือไม่?”
แดนภังคะนั้นเปรียบดั่งกระดูกมวลหนาที่ยากจะผุกร่อน มันตกอยู่ในความโกลาหลมานานกว่าหลายร้อยปี กระทั่งองค์หญิงใหญ่เข้าไปมีบทบาท แล้วใช้พลังอำนาจในมือจัดการทุกอย่าง จนมันถูกปราบปรามลงได้ในที่สุด
แต่แล้วเหตุใดคนอย่างซั่งกวนหว่าน กลับคิดว่าตัวเองจะครอบครองแดนภังคะได้กัน?
“เพราะนางอยู่ในตำแหน่งนี้นานเกินไป จึงย่อมมีความคิดเช่นนั้นเป็นธรรมดา” เจี่ยนเฟิงฉือแสยะยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย แววตาคมเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่สองปี นางจะหลงระเริงจนตัวลอยเพียงนี้?
แต่การโดนตีแสกหน้าในคราวนี้ ทำให้นางล้มกระแทกพื้นอย่างแรงเลยทีเดียว!
ริมฝีปากสีแดงสดของสุ่ยหลิวเอ๋อร์ยกยิ้มเล็กน้อย
“บัลลังก์นี้ ไม่ใช่ว่าใครจักนั่งก็ได้ และข้าไม่คิดว่านางจะอยู่บนตำแหน่งนี้ได้นานนัก”
“แต่ก็ไม่แน่ ไม่เห็นหรือว่าขณะนี้งานอภิเษกสมรสยังไม่ถูกยกเลิก?”
เจี่ยนเฟิงฉือหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“ข้าล่ะอยากจะเห็นเสียจริง ว่าสภาพงานในวันนั้นจักเป็นเช่นไร”
สุ่ยหลิวเอ๋อร์เหลือบมองเขานิดๆ แล้วถามอย่างสงสัย
“ก่อนหน้านี้เจ้ายังจะเป็นจะตายเรื่องพวกของฉู่หลิวเยว่กับมู่หงอวี่อยู่เลยมิใช่หรือ? ไฉนยามนี้จักได้ดูผ่อนคลายแล้วเล่า?”
ย้อนกลับไปวันนั้น ตอนที่ได้ยินคนด้านนอกซุบซิบนินทา เขายังกระโดดลงไปจากหน้าต่างแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วกระชากคอคนผู้นั้นมาเค้นความด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดอยู่เลย
ทว่าตอนนี้กลับดูอารมณ์ดีขึ้นเสียอย่างนั้น
เจี่ยนเฟิงฉือหน้าตึงขึ้นมาทันที พลางบิดคอไปมาอย่างอึดอัด
ปฏิกิริยาของเขาในวันนั้นน่ะหรือ พอมาคิดดูตอนนี้แล้ว เขาอาจจะขาดสติเกินไปหน่อย
ไม่สิ จะบอกว่า “ขาดสติ” เสียทีเดียวก็ใช่ว่าจะถูก
ณ ตอนนั้น ไม่มีใครรับรู้ถึงความกลัวที่เกิดขึ้นในใจเขา และมันยังฝังใจเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้
แต่ถ้าจะให้บรรยายออกมาเป็นคำพูดล่ะก็ คงจะยากเกินไปสำหรับเขา
เขาแค่นหัวเราะเบาๆ
“ได้ข่าวว่ามีคนคอยช่วยพวกของมู่หงอวี่แล้ว เช่นนั้นคงไม่มีปัญหาอันใดแล้วล่ะ”
อันที่จริง สาเหตุที่เขารู้สึกโล่งใจได้ขนาดนี้ เป็นเพราะท่าทีสงบนิ่งของบิดาและอวี้ฉือซงต่างหาก
ศิษย์อันเป็นที่รักทั้งสองติดอยู่ในแดนภังคะเช่นนี้ แต่พวกเขากลับดูมิได้วิตกกังวลแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมากโข
สุ่ยหลิวเอ๋อร์พยักหน้าเข้าใจ
ดูจากภาพการณ์แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอันใดมาก
นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ย
“ใช่แล้ว เมื่อวานก่อนข้าพบใครบางคน แต่ข้าไม่มั่นใจเรื่องตัวตนของเขา”
เจี่ยนเฟิงฉือฉงนใจ
“ผู้ใดหรือ?”
สุ่ยหลิวเอ๋อร์ชะงักไปทันที หญิงสาวไม่พูดไม่จา แต่กลับยกมือขึ้นมาแสดงภาษามือ
นางทำนิ้วเป็นสัญลักษณ์ของเลขเจ็ด
เจี่ยนเฟิงฉือพลันตกใจจนออกนอกหน้า!
เขากระเด้งตัวขึ้นมานั่งหลังตรง พร้อมจ้องมองนางตาถลน
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
สุ่ยหลิวเอ๋อร์กัดฟันแน่น
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าใช่เขาหรือเปล่า ทั้งท่าท่างและลมปราณนั้นช่าง…แต่ต่างอย่างสิ้นเชิง ทว่าแววตาของเขาคู่นั้น…กลับดูเหมือนกันอย่างกับแกะ”
“เจ้าไปเจอเขาที่ใด?” เจี่ยนเฟิงฉือถามต่ออย่างรีบร้อน
“ที่ด้านนอกจวนใต้เท้าซย่า เหมือนเขากำลังสืบหาอันใดบางอย่าง”
สุ่ยหลิวเอ๋อร์พูดพลันขมวดคิ้ว
“แต่ถ้าเป็นเขาจริงๆ… จักปกปิดลมปราณจนแทบเปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้ได้อย่างใด?”
เจี่ยนเฟิงฉือตกตะลึง
หากเป็นคนปกติจะสนใจเรื่องของจวนใต้เท้าซย่าไปไย?
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า
“ข้าเองก็เคยเห็นเขาเหมือนกัน”
ตอนที่ 802 เจ้ากำลังทำอันใด
“หา? เมื่อใดกัน?”
สุ่ยหลิวเอ๋อร์ถามกลับด้วยความสงสัย
“เรื่องสำคัญเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่เคยเล่าให้ข้าฟัง?”
เจี่ยนเฟิงฉือผงะไปชั่วขณะ
“เพราะตอนนั้นข้ายังไม่แน่ใจ… แต่ถ้าจะให้เล่า เรื่องนี้มันเกิดขึ้นในช่วงที่ข้ายังอยู่ในแคว้นเย่าเฉิน ตอนนั้นข้าบังเอิญหันไปเห็นเงาของใครบางคน ซึ่งคล้ายกับคนผู้นั้นมาก แต่ต่อมาเงานั่นก็หายไปแล้ว ข้าจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ คนเดียว”
ใจจริงเขาอยากเจอคนผู้นั้นอีกครั้งเพื่อยืนยันในสิ่งที่เห็น แต่ไม่ว่าจะค้นหาเพียงใด ก็ไร้วี่แววของเขา
เรื่องนี้มันผ่านไปนานแล้ว ถ้าสุ่ยหลิวเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยขึ้นมาล่ะก็ เขาคงลืมมันไปแล้วจริงๆ
“เจ้าบอกว่าเห็นคนผู้นั้นที่จวนใต้เท้าซย่าหรือ?”
“อืม วันนั้นข้าวางแผนจะไปที่จวนใต้เท้าซย่าเพื่อสืบหาข่าวคราว แต่หลังจากที่ข้าได้พบกับคนผู้นั้น ข้าก็รู้สึกฉงนใจขึ้นมา ข้าจึงแอบอยู่นิ่งๆ พักหนึ่ง ก่อนจะรู้ว่าเขากำลังสอดแนมจวนใต้เท้าซย่าอย่างลับๆ แต่การเคลื่อนไหวของเขาเบาพริ้วมาก ชนิดที่ว่าไม่มีใครเอะใจเลยซักนิด”
ถ้าไม่ใช่เพราะนางรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ คงไม่ทันได้สังเกตเห็นคนผู้นั้นเช่นกัน
เจี่ยนเฟิงฉือสะบัดพัดด้วยมือข้างหนึ่ง พลันหรี่ตาลง
“ซย่าโหวหรงเป็นถึงราชครูผู้สูงศักดิ์ จวนใต้เท้าซย่าย่อมมีเวรยามมากมายเฝ้ารักษาการณ์ทั้งในและนอก แต่บ่าวไพรทั่วไปย่อมมิสังเกตเห็นเขา ซึ่งการที่เขาทำเช่นนั้น แน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง แต่ถ้าไม่ใช่คนผู้นั้น พวกเราก็ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อดูว่ายังมีใครอีกบ้างที่วางแผนโจมตีจวนใต้เท้าซย่า แต่ถ้าเขาเป็นคนผู้นั้นจริงๆ… ก็ยิ่งต้องตรวจสอบให้รอบคอบกว่าเดิม เพราะพวกเราแทบไม่รู้เลยว่าเขากลับมาตั้งแต่ยามใด”
เจี่ยนเฟิงฉือพูดพลางแตะพัดลงที่ปลายคางเบาๆ
“แต่ว่านะ ช่วงนี้เจียงอวี่เฉิงยุ่งมากถึงขนาดที่ไม่รู้สึกตงิดใจเกี่ยวกับความผิดปกตินี่เลยหรือ?”
สุ่ยหลิวเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ
“ข้าได้ยินว่าเขากลับไปแดนภังคะอีกครั้ง และสุดท้ายก็บาดเจ็บสาหัสกลับมา ยามนี้เขากำลังพักฟื้นอยู่ที่จวนตระกูลเจียง ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายเขา แต่ถ้าข้าพบคนผู้นั้น ข้าจักขอบพระคุณเขาอย่างสูง”
“ท่านพ่อข้าบอกว่าคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก อย่าว่าแต่เจียงอวี่เฉิงเลย แม้แต่พวกเขาก็ยังเทียบไม่ติด” เสียงของเจี่ยนเฟิงฉือฟังดูจริงจังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
สุ่ยหลิวเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ก่อนจะนึกถึงได้ว่าเจี่ยนชูเย่ก็ได้เดินทางไปกับคนพวกนั้นด้วย แน่นอนว่าเขาต้องรู้เรื่องวงในไม่มากกว่านาง
นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ไม่น่าเชื่อ? แข็งแกร่งกว่าพวกเขาอีกหรือ? ต้องเป็นคนแบบใดกัน? ต่อให้ค้นหาทั่วทั้งเมืองซีหลิงแล้ว แต่คนแบบนี้ ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนมิใช่หรือ?”
เจี่ยนเฟิงฉือส่ายศีรษะ
“พวกท่านพ่อเองก็ดูไม่ออกว่าเขาเป็นคนแบบใด ฝ่ายนั้นสวมหน้ากากไว้ตลอด แต่… ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งใจโจมตีเพียงเจียงอวี่เฉิงเท่านั้น โดยที่ยังคงความสุภาพเกรงอกเกรงใจเหล่าผู้อาวุโสอยู่ ครานี้เจียงอวี่เฉิงได้รับบาดเจ็บสาหัส และคงไม่สามารถทำอันใดเอิกเกริกได้ในช่วงสั้นๆ สุ่ยหลิวเอ๋อร์ สองวันนี้ข้าวานให้เจ้าไปจวนของใต้เท้าซย่า และคอยดูพฤติกรรมของชายผู้นั้นไว้”
สีหน้าของสุ่ยหลิวเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นจริงจัง และพยักหน้ารับเบาๆ
เจี่ยนเฟิงฉือลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุมของตน
“ส่วนข้านั้น… ไม่ได้เข้าวังมานานแล้ว เช่นนั้นข้าขอไปเยี่ยมองค์หญิงสามผู้มีเกียรติของเราดีกว่า!”
…
เจี่ยนเฟิงฉือมุ่งหน้าเข้าวัง แล้วเดินตรงไปยังตำหนักฮวาหยาง
แต่มิทันไร เขาก็ถูกหยุดให้รออยู่ข้างนอก
หลายวันมานี้ คนส่วนใหญ่ที่ต้องการเข้าพบซั่งกวนหว่าน ล้วนแล้วแต่ถูกปฏิเสธกลับมาทั้งสิ้น และน้อยคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในตำหนักเพื่อพบนาง
แต่ทุกครั้งก็เป็นการพบปะในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ทางราชสำนักได้ประกาศต่อทั่วทั้งเมืองว่า ซั่งกวนหว่านได้รับบาดเจ็บจากการตามหาสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนำมันกลับมาให้ฝ่าบาท และตอนนี้พระองค์จำเป็นต้องพักผ่อนพระวรกาย
แม้ว่าทุกคนจะคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ทางตำหนักฮวาหยางก็ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ส่งผลให้คนนอกมิอาจทราบถึงความเป็นไปด้านในนั้น และทำได้เพียงรอต่อไป
เจี่ยนเฟิงฉือไม่แปลกใจเลยสักนิด
เพราะก่อนหน้านี้ บิดาของเขาก็ออกตัวจักช่วยวินิจฉัยอาการให้นางแล้ว แต่ถูกซั่งกวนหว่านปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แล้วนับประสาอันใดกับคนอย่างเขา
เจี่ยนเฟิงฉือเองก็ไม่อยากทำให้มันยุ่งยาก
“ตัวข้านั้นเป็นห่วงองค์หญิงสามยิ่งนัก แต่ในเมื่อองค์หญิงสามต้องการพักผ่อน เช่นนั้นข้าจักไม่รบกวน”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและทำท่าจะจากไป
จนฉานอี้รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
นิสัยของเจี่ยนเฟิงฉือเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากมาก การที่เขาลงทุนมาที่นี่ด้วยตัวเอง ทำให้เดิมทีนางคิดว่าอาจจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไป แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมจากไปง่ายๆ แบบนี้
ทว่าหลังจากก้าวออกไปครึ่งก้าว เจี่ยนเฟิงฉือก็หันกลับมาอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายประดับริมฝีปากบางคู่นั้น
“จริงสิ จู่ๆ ข้าก็จำได้ว่า เมื่อก่อนข้าเคยยืมตำราการแพทย์มาจากองค์หญิงใหญ่สองสามเล่ม แต่จนตอนนี้ข้าก็ยังมิได้นำมันกลับไปคืน อย่างใดเสียวันนี้ข้าก็เข้าวังแล้ว เช่นนั้นข้าขอไปตำหนักเจาเยว่ เพื่อคืนตำราเหล่านี้ก่อนแล้วกัน”
ฉานอี้ขมวดคิ้วทันควัน
ตำราการแพทย์ขององค์หญิงใหญ่หรือ?
เจ้าของก็ตายไปนานแล้ว ยังมีของดีๆ เหลืออยู่อีกหรือไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ผ่านมาเกือบสองปีแล้ว ยังไม่เห็นมีใครสนใจเรื่องพวกนี้เลย
นางมองเจี่ยนเฟิงฉืออย่างสงสัย พลันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่เจี่ยนเฟิงฉือยังคงตั้งหน้ายิ้มรับอย่างสดใสไม่ต่างจากเมื่อครู่ก่อน
ดูแล้วมัน อาจจะไม่มีอันใดก็ได้…
ฉานอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“ตำหนักเจาเยว่เป็นตำหนักที่องค์หญิงใหญ่ทรงประทับอยู่ก่อนเสด็จสวรรคต องค์หญิงสามทรงรับสั่งให้ดูแลมันอย่างดีอย่าให้สิ่งของในนั้นเสียหาย และห้ามคนนอกเข้าโดยเด็ดขาด บ่าวจักเข้าไปขออนุญาตจากพระองค์ให้ท่าน โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ”
เจี่ยนเฟิงฉือยิ้มตาหยีพร้อมพยักหน้าตอบ
“ไปเถิดๆ”
จากนั้นฉานอี้ก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง
เจี่ยนเฟิงฉือเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและมองไปรอบท้องพระโรงอย่างตั้งใจ
ไม่ได้มาตั้งนาน ดูเหมือนจะมีอันใดเปลี่ยนไปเล็กน้อย…
ถึงเขาจะไม่ค่อยได้เข้ามา แต่เขาก็ไม่เคยลืม และจดจำทุกรายละเอียดของสถานที่แห่งนี้ได้อย่างดี
เขาเดินไปยืนอยู่หน้าต้นไม้ต้นหนึ่ง ก่อนจะยืนพิงมัน
ปลายจมูกของเขาขยับเล็กน้อย
ลมปราณที่มาพร้อมกลิ่นคาวจางๆ ลอยแตะจมูกเขา
ร่างสูงก้มหน้าลงมองทันที
กลิ่นนี้น่าจะมาจากใต้พื้นดิน
เขาเพ่งมองดูดีๆ อีกครั้ง พร้อมรูม่านตาหดลงฉับพลัน
…
“เขาต้องการไปตำหนักเจาเยว่หรือ?”
ซั่งกวนหว่านถามพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“น่าแปลก จู่ๆ เขาจะไปที่นั่นเหตุใด?”
ซั่งกวนเยว่ตายไปตั้งนานแล้ว แค่ตำราสองสามเล่ม จะคืนหรือไม่คืนย่อมมิใช่เรื่องที่ต้องกังวลมิใช่หรือ?
แต่เจี่ยนเฟิงฉือนั้นเป็นคนที่รับมือได้ยากมาก
หากไม่เห็นด้วยกับเขา เขาอาจก่อเรื่องอันใดขึ้นมาก็ได้
อีกทั้งเขาเองยังเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย และหยิ่งทะนงอย่างมาก
ซึ่งยามนี้ ซั่งกวนหว่านไม่ต้องการสร้างปัญหาใหญ่อื่นใดอีก
นางจึงโบกมืออย่างปัดรำคาญ
“ถ้าเขาอยากไป ก็ปล่อยเขาไปเสีย! อย่างใดก็ยังมีคนอยู่ในตำหนักเจาเยว่ หากพบว่าเขาทำอันใดผิดแปลกไป ก็ให้รายงานข้าทันที!”
“เจ้าค่ะ!”
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้ว
ความจริงแล้ว เมื่อก่อนเจี่ยนเฟิงฉือกับนางมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาช่วยพูดให้นางหลายครั้ง และหยิบยื่นความช่วยเหลือให้นางหลายครา
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากที่ซั่งกวนเยว่เสียชีวิต ทัศนคติของเขาที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไป
ถึงมันจะไม่ชัดเจน แต่ซั่งกวนหว่านก็รู้สึกได้
นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเพราะอันใด ในอดีตเจี่ยนเฟิงฉือและซั่งกวนเยว่นั้นทำตัวราวกับเป็นศัตรูกัน พวกเขาไม่ชอบหน้ากันสุดๆ แต่จู่ๆ เหตุใดใจเขากลับเปลี่ยนไปแบบนี้?
และเพลานี้เขาก็กำลังไปที่ตำหนักเจาเยว่ ซึ่งมิอาจทราบได้เลยว่าเขาจักไปด้วยเหตุใด…
…
เจี่ยนเฟิงฉือรวบรวมพลังปราณดั้งเดิมไว้ในฝ่ามือของเขา และกำลังจะเอนตัวแล้วยื่นมือออกไป แต่ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงที่บ่งบอกถึงความระแวงของฉานอี้ดังขึ้นจากด้านหลัง
“คุณชายเจี่ยน นั่นท่านกำลังทำกระไรอยู่หรือ?”