ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 809 เจ้าเรียกพวกข้าว่ากระไร
ตอนที่ 809 เจ้าเรียกพวกข้าว่ากระไร
ก่อนจะเห็นเด็กชายอายุสี่ห้าขวบปรากฏกายอยู่ตรงหน้า
ฉู่หลิวเยว่ตกใจ
เสียงเมื่อครู่… มาจากเด็กคนนี้หรือ?
แต่เขาพูดว่ากระไรนะ?
…นังหนูเยว่เออร์หรือ?
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น ในใจของนางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
แต่ในขณะที่นางกำลังงุนงง เด็กชายตัวน้อยก็บินโฉบลงมาแล้ว และร่อนลงอย่างแผ่วเบาไม่ไกลจากตัวนาง
หัวใจของฉู่หลิวเยว่แทบหยุดเต้น บนกายของเด็กชายคนนี้เปี่ยมไปด้วยลมปราณทมิฬ และดูเหมือนว่าจะทรงพลังมากด้วย!
นางกวาดสายตามองอย่างระมัดระวัง
เขาเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ สวมชุดคลุมสีฟ้า มีผมสีดำและดวงตาสีดำ ดูเหมือนเขาจะอายุไม่เกินห้าขวบ ใบหน้าเล็กกลมนั่นน่ารักเสียจน ทำให้คนมองอยากเอื้อมมือไปบีบมัน
มีเพียงแค่แววตาของเขาเท่านั้น ที่ใช่แววตาที่เด็กน้อยควรจะมี
ทั้งเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง!
ชนิดที่ว่าแค่มองแวบเดียว ก็สัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไม่ธรรมดาแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจมาก มีบุคคลที่ทรงพลังเช่นนี้ในแดนภังคะตั้งแต่เมื่อใดกัน?
แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ เด็กชายตัวเล็กคนนี้มองนางด้วยสายตาแปลกๆ
แม้ว่าเขาจะพยายามยับยั้งชั่งใจ แต่ลึกลงไปในดวงตาของเขา กลับมีคลื่นความยินดีที่เอ่อล้นออกมาอย่างปิดไม่มิด
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าเล็กๆ ที่ดูเย็นชาของเขา ดูนุ่มนวลและอ่อนโยนขึ้นเป็นกอง
สายตาแบบนั้น…เหตุใดมันเหมือนว่าเขารู้จักเลยเล่า?
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ
ในทางกลับกัน ตู๋กูโม่เป่าก็จ้องมองฉู่หลิวเยว่ในปัจจุบัน ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างระมัดระวัง พร้อมความรู้สึกหลากหลายที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ
ที่บอกว่าไม่คิดถึงนางน่ะ เขาโกหก
และที่บอกว่าสั่งสอนบทเรียนให้นาง เขาก็โกหกอีกเหมือนกัน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาเฝ้ารอทั้งกลางวันและกลางคืน เพ้อฝันเกี่ยวกับฉากการพบกันครั้งใหม่นับไม่ถ้วน
พวกเขายังคิดอีกว่า หลังจากไม่ได้เจอกันนาน นางจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรบ้าง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าร่างกายทั้งหมดของนางจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
ใบหน้าในตอนนี้ ไม่ใช่ใบหน้าในความทรงจำของพวกเขาอีกต่อไป แต่การแสดงออกระหว่างคิ้วและดวงตานั้นคล้ายกันมาก
“เจ้าเด็กอ้วน! เจ้ามันน่าไม่อาย! นี่เจ้า…”
แต่ทันใดนั้น เสียงที่ฟังดูชราและสิ้นหวังก็ดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเพียงว่ามีบางอย่างวูบไหวผ่านตานาง พลันมีร่างหนึ่งโผล่มาอยู่ข้างๆ เด็กน้อยแล้ว
คราวนี้เป็นชายชรา
เขาสวมเสื้อคลุมสีขาว ผมของเขาขาวโพลนทั้งหัว แต่เขากลับดูแข็งแรงและร่าเริง พร้อมลมปราณที่แฝงด้วยกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์
แต่น่าเสียดายที่พอเขาเปิดปาก ลมปราณศักดิ์สิทธิ์บนร่างกายของเขา ก็หายไปในทันที
ผู้อาวุโสลำดับห้ากำลังจะดุเขาอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสิ่งที่ตู๋กูโม่เป่ามองอยู่
เขากระตุกยิ้มมุมปาก ลำคอของเขาแข็งทื่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่ายามนี้ นังหนูเยว่เออร์กำลังยืนมองพวกเขาอยู่ไม่ไกล!
บัดซบที่สุด!
ช่างน่าอับอายเสียจริง!
ผู้อาวุโสลำดับห้ารู้สึกหงุดหงิดมาก
เพราะเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับการดุด่าตู๋กูโม่เป่า จนเกือบลืมไปว่านังหนูเองก็อยู่ที่นี่!
เขากดกำปั้นไว้ที่ริมฝีปาก แล้วแสร้งกระแอมไออย่างหนัก
“นังหนู โปรดอย่าถือสาเลยนะ พวกข้าก็แค่โวยวายไปอย่างนั้นเอง!”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
เพราะอันใด… ชายชราผู้นี้ถึงทำท่าทีรู้จักมักจี่กับนางเช่นนั้น?
และดูจากน้ำเสียงของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะค่อนข้างสนิทกับนางเลย?
ฉู่หลิวเยว่เปิดปากของตน
“ข้า…”
“พวกเจ้าเถียงกันเหตุใด? ไม่เห็นหรือว่านังหนูกำลังยุ่งอยู่?”
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงไพเราะของใครบางคนดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง
ก่อนจะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งลอยตัวลงมาจากเบื้องบน
เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่มีเข็มขัดหยกสีขาวคาดเอว พร้อมมงกุฎไพลินบนศีรษะ อีกฝ่ายดูสะอาดและสง่างามตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับเด็กหนุ่มรูปงามผู้มาพร้อมกับอนาคตอันสดใส ช่างหล่อเหลากระไรเช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่ใบหน้าของเขา ดวงตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย
มันเป็นใบหน้าที่งดงามเสียยิ่งกว่าสตรีนางใด
ใบหน้าทั้งหมดนั้นงดงามและสมบูรณ์แบบ ทั้งกรอบหน้าโค้งมนและเค้าโครงของแก้ม ก็เรียบเนียนได้รูปสวย ซึ่งแตกต่างจากผู้ชายทั่วไปที่มีสันกรามนูนเด่นชัด
สิ่งนี้ทำให้เขาดูอ่อนเยาว์ลงกว่าเดิมเล็กน้อย
และจุดที่ดึงดูดที่สุดก็คือ ดวงตาสีอำพันใสสะอาดราวหยาดน้ำค้างยามเช้าคู่นั้น
สำหรับฉู่หลิวเยว่แล้ว ตอนนี้บุรุษที่นางสามารถชมได้เต็มที่ว่า “งดงาม” มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น
ซึ่งก็คือเชียงหว่านโจว และชายที่อยู่ตรงหน้านางคนนี้
ทั้งสองคนดูสวยงามและสมบูรณ์แบบ แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หากให้พูดก็คือ เชียงหว่านโจวนั้นงดงามเสมือนกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม ส่วนชายผู้นี้ก็เปรียบเสมือนแก้วใสที่เปราะบาง
ริมฝีปากบางของเขายกขึ้นเล็กน้อย พลางอมยิ้มแล้วเดินเข้ามา
ทุกท่วงท่าการทอดน่องล้วนดูสง่างามและสูงศักดิ์
ราวกับว่าที่นี่ไม่ใช่ถ้ำมืดๆ คับแคบ แต่เป็นห้องพระโรงอันโอ่อ่าตระกาลตาอย่างใดอย่างนั้น
เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ สองคนนั้น แล้วมองฉู่หลิวเยว่ด้วยรอยยิ้ม
“นังหนูเอ๋ย ไม่เจอกันนาน แต่เจ้าสวยขึ้นเป็นกองเลยนะ”
ตู๋กูโม่เป่าชำเลืองมองเขาอย่างเย็นชา และก่นด่าออกมาอย่างไร้ความปราณี
“เจ้าคนตัณหากลับ!”
ไม่ดูเลยหรือว่าที่นี่มันที่ใดกัน มันมิใช่วังโกโรโกโสของเขาเมื่อก่อนเสียหน่อย!
หลานเซียวไม่สนใจ
“เจ้าว่าข้าหรือ? ในฐานะที่ใบหน้าของข้างดงามอยู่ผู้เดียว หากข้าใช้เรื่องความงามเกี้ยวนาง แล้วข้าจะหวังกับพวกเจ้าได้หรือ?”
เจ้าพวกนี้ก็แค่อิจฉาเขา!
ผู้อาวุโสลำดับห้าถึงกับเอามือลูบหน้า
หลายปีที่ผ่านมา เขาเคยคิดว่าใบหน้าแก่ชราของตนนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร แต่กลับต้องพ่ายแพ้เมื่อมาเจอคนอย่างหลานเซียว
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำมันได้อย่างใด แต่ทุกครั้งที่ออกไปเจอผู้คนภายนอก เขากลับหาเรื่องให้คนด่าได้เสียที่ที?
ตู๋กูโม่เป่าก็คร้านเกินจะสนใจเขา
ส่วนคนวิปริตก็ยังวิปริตดังเดิม ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด!
ฉู่หลิวเยว่มองไปกลุ่มคนตรงหน้านางด้วยสายตาว่างเปล่า
พวกเขา…สามคนมีบุคลิกที่แตกต่างกันมากจริงๆ…
แม้จะมีทั้งเด็กเล็ก ชายหนุ่มและชายชรา แต่พอเห็นพวกเขาพูดคุยกันแล้ว ช่างดูราวกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน
แต่ความจริงมันก็ไม่แปลกเท่าไร
บนโลกนี้มีบททดสอบมากมาย และคุณสมบัติของผู้ฝึกแต่ละคนก็แตกต่างกัน
หลังจากบ่มเพาะพลังปราณจนถึงระดับหนึ่งแล้ว จะสามารถคงรูปลักษณ์ไว้แบบใด ย่อมแตกต่างกันไปตามธรรมชาติของแต่ละคน
แต่เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่มีใครคิดร้ายต่อนาง
สิ่งนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
เพียงแต่…
ต่อให้นางนึกอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่นางก็จำไม่ได้จริงๆ ว่าตนเคยพบคนเหล่านี้มาก่อน
เพราะถ้านางได้เห็นคนที่มีลักษณะเฉพาะเช่นนี้ นางจักไม่มีวันลืมเลย
ฉู่หลิวเยว่แอบเดาในใจว่าบางที… อาจจำผิดคนหรือเปล่า?
ตั้งแต่พวกเขาปรากฏตัวทีละคน หรงซิวที่อยู่ด้านข้างก็หยุดสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ และถอยหลังหนึ่งก้าว พลางเอนกายพิงกำแพงดินอย่างเหนื่อยหน่าย พร้อมกอดอกมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเกียจคร้าน
ถึงเขาจะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสำหรับสามคนนั้นจะมาพบนางในตอนนี้ แต่ที่นี่คือแดนภังคะ และมันก็เป็นดินแดนของพวกเขาด้วย
เขาคงไม่สามารถหยุดสิ่งที่พวกนั้นอยากทำได้
แทนที่จะให้ฉู่หลิวเยว่บังเอิญไปเจอพวกเขาจนก่อให้เกิดปัญหา คงจะเป็นการดีกว่าหากพวกเขาพบนางตอนนี้
เพราะอย่างน้อยเขาก็อยู่ที่นี่
…
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย เมื่อเห็นคนทั้งสามส่งเสียงดังไม่หยุด
มัน… เหมือนว่าพวกเขาตั้งใจมาหานาง แต่ตอนนี้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร!
พอคิดเช่นนี้ ริมฝีปากแดงเรื่อของนางก็พลันยกโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูสุภาพ
“ข้าน้อยมีนามว่าฉู่หลิวเยว่ ขอคารวะเหล่า… ผู้อาวุโสเจ้าค่ะ”
แม้ว่ามันจะฟังดูแปลกไปหน่อย แต่ความแข็งแกร่งของทั้งสามคนนั้นทรงพลังมาก เรียกพวกเขาว่าผู้อาวุโสนั่นแหละถูกแล้ว
ฉู่หลิวเยว่คิดแล้วคิดอีก แต่ทันใดนั้น คนทั้งสามก็หันควับมามองนางพร้อมกัน!
ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างอย่างตกใจราวเจอเรื่องเหลือเชื่อ
ตู๋กูโม่เป่าขมวดคิ้วและถามว่า
“เจ้า… เรียกพวกข้าว่ากระไรนะ?”