ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 825 พบแล้ว
ตอนที่ 825 พบแล้ว
ความหมายของเจียงอวี่เฉิง ของที่อยู่ทางนี้ที่มีเขามีครบ ก็คือของที่ใช้มาเมื่อก่อน
นั่นหมายความว่า ของเหล่านั้นที่เขาเตรียมตัวจะแต่งงานกับองค์หญิงใหญ่
อีกทั้งเนื่องจากตำแหน่งขององค์หญิงใหญ่นั้นสูงกว่า ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องลดของบางอย่างลง ถึงจะเหมาะสมกับพิธีการขององค์หญิง
ความหมายขององค์หญิงสามคือ ไม่อยากใช้ของที่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เศร้าเสียใจ
อีกทั้งเขาได้สื่อความหมายนี้แก่เจียงอวี่เฉิงอย่างชัดเจนแล้ว แต่เจียงอวี่เฉิงก็ยังตัดสินใจแบบนี้
เขาพูดว่าเพราะความกดดันด้านเวลา ดังนั้นเขาจึงลดความกดดันของทุกคนลง
แต่ถ้าพูดอีกนัยหนึ่ง…เดิมทีเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจองค์หญิงสามเลย
ถ้าเจียงอวี่เฉิงมีใจให้กับองค์หญิงสามจริงๆ แล้วละก็ เขาไม่มีทางเลือกแบบนั้นอย่างแน่นอน
งานพิธีมงคลสมรสที่ยิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เป็นวันราชาภิเษกขององค์หญิงสามด้วย
เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนต้องตั้งหน้าตั้งตารออย่างแน่นอน!
ตอนนั้นทุกคนที่อยู่ในเมื่อซีหลิงจะกล่าวถึงงานพิธีนี้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องระมัดระวังอย่างที่สุด!
ถ้าพูดตามหลักเหตุผลแล้ว เจียงอวี่เฉิงน่าจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
แต่คิดถึงว่าเขาจะตอบรับส่งๆ พอให้เป็นพิธีแบบนี้…
นึกตอนแรก ตอนที่จัดเตรียมงานแต่งงานขององค์หญิงใหญ่ เรื่องทุกอย่าง เจียงอวี่เฉิงเป็นคนดูแลจัดการด้วยตัวเองทุกประการ…ทุกอย่างต้องผ่านสายตาของเขามาก่อน
สีหน้าของอวี่เหวินเว่ยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายก็กลับเข้าสู่ความสงบเช่นเดิม
เขาถอนสายตาออกมา จากนั้นก็คนสนิททั้งสองออกไป
“ไปกันเถิด เวลาของพวกเราเหลือน้อยมากแล้ว”
…
นี่เป็นเรื่องจริงที่เจียงอวี่เฉิงไม่ได้เอาใจใส่กับงานมหามงคลเช่นนี้เท่าไรนัก
เขาไม่ต้องการจะคิดอันใดเกี่ยวกับมัน
เพราะเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาย่อมนึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลและท่าทางก้าวร้าวของซั่งกวนหว่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจียงอวี่เฉิงรู้ตั้งนานแล้วว่านิสัยของนางนั้นเป็นอย่างใด แต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เกินกว่าเหตุเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง และไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
แต่ตอนนี้…
ซั่งกวนหว่านอารมณ์อ่อนไหวอย่างมาก นางอารมณ์เสียเป็นประจำคล้ายเป็นบ้า
มันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จึงทำให้ความชื่นชอบในใจของเขาถูกชะล้างไปเสียหมด
หากไม่ใช่เพราะว่า..
เขาจะเลือกแต่งงานกับนางได้อย่างใด?
ใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงเย็นชามากยิ่งขึ้น เขายืนคนเดียวในมุมหนึ่งของจวนตระกูลเจียง
นี่เป็นเรือนที่รกร้างหลังหนึ่ง มองดูแล้วก็รู้สึกหนาวสั่น วัชพืชขึ้นรกขวางประตูเรือนไม่มีใครทำความสะอาด
แต่ฝีเท้าของเจียงอวี่เฉิงคงไม่หยุดนิ่ง เขาเดินตรงไปข้างหน้าแล้วผลักประตูบานใหญ่บานนั้น
ภายในประตูบานนั้น มียามยืนเฝ้าอยู่สองคน
เมื่อเห็นว่าคนที่มาคนเจียงอวี่เฉิง พวกเขาทั้งสองจึงรีบทำความเคารพทันที
“คารวะคุณชายใหญ่ขอรับ!”
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้า
“ช่วงนี้เป็นอย่างใดบ้าง?”
หนึ่งในนั้นก็กล่าวขึ้นมาด้วยความเคารพว่า
“ตอนนั้นมันก็ยังไม่เชื่อฟังเล็กน้อยขอรับ แต่ตอนนี้เชื่อฟังมากขึ้นแล้ว คุณชายใหญ่จะเข้าไปเจอเขาด้วยตนเองหรือไม่ขอรับ?”
เมื่อได้ยินว่าเจียงอวี่เฉิงขานรับว่า “อื้อ” เสียงเบา ผู้คุมก็รีบนำทางไปทันที
“เชิญด้านนี้ขอรับคุณชายใหญ่”
ทั้งสองคนเดินไปที่ด้านในห้องนั้นพร้อมกัน
หากเป็นคนอื่นที่บุกเข้ามาที่นี่ เขาจะสามารถสัมผัสได้ในทันทีว่า สถานที่รกร้างแห่งนี้ เหมือนว่ากลิ่นอายอันใดบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่
แต่คนธรรมดาไม่สามารถบุกมาที่นี่ได้อย่างง่ายดาย
เพราะว่า…ความจริงแล้วที่นี่คือสถานที่เอาไว้กักขังคนของเจียงอวี่เฉิง!
คนของตระกูลเจียงล้วนรู้ดีว่าที่นี่คือดินแดนของเจียงอวี่เฉิง แต่พวกเขาไม่เคยมาที่นี่ด้วยตนเองเลยสักครั้ง
เจียงอวี่เฉิงเดินตามผู้คุมไปยังห้องห้องหนึ่ง
…
เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น ประตูบานใหญ่ค่อยๆ ถูกเปิดออก
เจียงอวี่เฉิงสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้า ผู้คุมก็ช่วยปิดประตูให้สนิทอย่างเอาใจใส่ พร้อมตัวของเขานั้นก็รออยู่ที่ด้านนอก
ห้องนี้มีขนาดไม่กว้าง ทุกที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนา ราวกับว่าไม่มีคนมาที่นี่เป็นเวลานานมากแล้ว
ฝีเท้าของเจียงอวี่เฉิงยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ เขาเดินผ่านฉากกันลม ก่อนจะเข้าไปด้านใน
ตรงนี้เป็นพื้นที่เล็กๆ และมืดอย่างมาก แม้กระทั่งคนนอนราบยังไม่สามารถทำได้
อีกทั้งด้านในนั้น มีคนหนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ด้านในอีกด้วย
กลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์ทุกอย่าง กระจายออกมา ผสมเข้ากับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
แต่สีหน้าของเจียงอวี่เฉิงก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
สำหรับเขาแล้วฉากแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก
เมื่อได้ยินว่ามีคนมา ชายคนนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
เดิมทีเขามีร่างกายที่แข็งแรงกำยำ แต่เมื่อผ่านการทรมานมาเป็นเวลานาน ตอนนี้เขาก็ผอมลง เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น
ใบหน้าตอบ ดวงตาลึกโบ๋เป็นเบ้า
ภายในผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง สามารถมองเห็นได้ว่าเขามีใบหูเพียงข้างเดียว และมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่เท่าชามข้าวอยู่บริเวณนั้น
และแน่นอนว่าชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นฉีต้าเหอที่ถูกเจียงอวี่เฉิงจับกุมในวันนั้นนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าคนที่มาเป็นใคร ดวงตาของฉีต้าเหอก็สั่นไหวเล็กน้อย และแดงก่ำขึ้นมาทันที
เจียงอวี่เฉิงก้มหน้ามองอีกฝ่าย
“รู้สึกอย่างใดบ้างที่โดนทรายรวมศูนย์สะท้อนกลับ?”
ฉีต้าเหออ้าปากพะงาบๆ ราวกับว่าต้องการจะพูดอันใดบางอย่าง แต่กลับมีเพียงเสียงครวญครางที่แหบแห้งดังลอดออกมา
นั่นเป็นเพราะว่าระหว่างทางเขาต้องการจะฆ่าตัวตาย จึงพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกัดลิ้น แต่เพราะว่ามีคนเจอได้ทันเวลา ดังนั้นเขาจึงไม่ตาย
แต่หลังจากนั้นลิ้นของเขาก็ถูกตัดออกไปแล้ว จึงไม่สามารถพูดอันใดได้อีกแล้ว
เขายื่นมือออกมา เหมือนกับต้องการจะจับตัวของเจียงอวี่เฉิง แต่ทันทีที่เขาขยับตัว เสียงโซ่ก็กระทบกันดังขึ้น
ที่แท้เขาถูกล่ามโซ่เอาไว้ทั้งแขน ทั้งขา เขาถูกจำกัดอิสรภาพโดยสมบูรณ์แบบ
มือผอมบางทั้งสองสองข้างที่เหมือนถุงหนังตะกุยอากาศอย่างรุนแรง เส้นเลือดหลังมือของเขาแตกออกมา คราบเลือดกระดำกระด่างเปรอะอยู่ที่พื้นอย่างน่าตกใจ!
สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่สามารถคว้าอันใดได้เลย เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น
เสียงของเจียงอวี่เฉิงเย็นชาและสงบนิ่งอย่างมาก
“วางใจเถอะ วันนี้นางจะได้ออกไปแล้ว อวี้ฉือซงเจ้าสำนักชงซูเก๋อกำลังเดินทางมาหาเจ้าแล้ว”
ฉีต้าเหอตื่นตระหนกอย่างมาก แววตาส่วนลึกเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เขาพยายามหลบตัวไปซ่อนด้านหลังอย่างสุดความสามารถ
แต่พื้นที่นี้มันเล็กและแคบอย่างมากร่างกายของเขาไม่สามารถทำตามใจสั่งได้ ส่วนเรื่องที่จะหนีน่ะหรือ?
เจียงอวี่เฉิงยกมือข้างหนึ่งขึ้น
ลูกบอลสีน้ำตาลเหลืองลูกหนึ่งก็กระจายออกไป!
ฉีต้าเหอค่อยๆ หยุดดิ้นรน จากนั้นก็สลบไป
เจียงอวี่เฉิงลดสายตาลง พร้อมสะบัดชายแขนเสื้อขึ้น
บนแขนข้างนั้นมีรอยแผลเป็นยาวและใหญ่ ดูแล้วน่าหวาดกลัวอย่างมาก
เส้นสีแดงจางๆ แทบจะไม่สามารถมองเห็นได้เลย
แน่นอนว่าแผลเป็นใหญ่ขนาดนี้เขาสามารถรักษาได้ แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางแบบนั้น
จากนั้นเจียงอวี่เฉิงก็ก้มตัวลงสำรวจบาดแผลในตำแหน่งเดียวกันของฉีต้าเหอ
และพบว่ามีรอยสีแดงจางๆ เหล่านั้นปรากฏขึ้นมาเหมือนกัน!
ใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงปรากฏความพึงพอใจ
เพื่อการที่จะทำให้เหมือนทุกอย่าง เขานั้นต้องทุ่มแรงกายแรงใจไปจำนวนมาก
เขาก้าวถอยหลังไปไม่กี่ก้าว
“ใครก็ได้ มาพาเขาออกไปที”
…
ช่วงนี้บรรยากาศของสำนักชงซูเก๋อมืดมนมาโดยตลอด การเดินทางไปที่แดนภังคะนั้น ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ยังไม่กลับมาเลย ข่าวลือจากโลกภายนอกนั้นทรงพลังอย่างมาก
แม้ว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะอยู่ที่ชิงหยวน แต่ก็ยังได้ยินข่าวลือต่างๆ นานาที่แพร่กระจายเข้ามา
จึงทำให้พวกเขารู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเจี่ยนเฟิงฉือมาอธิบายก่อนหน้านี้แล้ว กอปรกับปฏิกิริยาของท่านเจ้าสำนักก็ยังดีอยู่เสมอ พวกเขาอาจจะบุกไปที่แดนภังคะแล้วตามหาพวกเขาตั้งนานแล้ว
การรอคอยผ่านไปวันแล้ววันเล่า มันยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกร้อนใจมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดบรรยากาศเช่นนี้ก็ถูกทำลายลงเพราะการมาถึงของเจียงอวี่เฉิง
ตอนที่ได้ยินข่าว อวี้ฉือซงกำลังดูแลสมุนไพรที่อยู่ในสวนพอดี
เมื่อได้ยินว่าเจียงอวี่เฉิงพาคนคนหนึ่งมา อวี้ฉือซงก็ขมวดคิ้วแน่น จากนั้นเขาก็สั่งให้คนไปบอกเจียงอวี่เฉิงว่าให้รอก่อน
หลังจากที่เขาดูแลสวนสมุนไพรเสร็จแล้ว เขาถึงได้ออกไปพบเจียงอวี่เฉิง
ทันทีที่อวี้ฉือซงเพิ่งเดินก้าวธรณีประตูมา เจียงอวี่เฉิงที่รออยู่นานแล้วก็ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดว่า
“เจ้าสำนักชงซูเก๋อ คนที่ท่านต้องการ ข้าหามาได้แล้วขอรับ”