ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 850 เจ้าสู้นางไม่ได้
ตอนที่ 850 เจ้าสู้นางไม่ได้
“ไม่มีอันใด”
เจียงอวี่เฉิงเงยหน้าขึ้นมอง พร้อมสีหน้าที่กลับมาเป็นปกติดังเดิม
“แล้วเจ้ามาทำอันใดที่นี่ยามนี้?”
ซั่งกวนหว่านจ้องมองเขาอย่างจับผิด
เมื่อครู่นี้ นางคิดว่านางเห็นรูปวาดใบหนึ่ง…
แต่มันคือรูปวาดอันใดกัน ถึงทำให้เขาหลบเลี่ยงนางได้ขนาดนี้?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ระหว่างเราสองคนนั้นแทบไม่มีความลับระหว่างกันเลย และนางแทบไม่เคยเห็นเจียงอวี่เฉิงทำท่าลุกลน ราวพยายามปกปิดอันใดเช่นนี้มาก่อนเลย
“เจ้าถึงขั้นหยิบออกมาเชยชมกลางดึกเช่นนี้ แสดงว่ามันคงเป็นของล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้เลยสินะ? เช่นนั้นเอามันออกมาให้ข้าได้เชยชมหน่อยปะไร?”
ซั่งกวนหว่านก้าวไปข้างหน้าและถามอย่างมีเลศนัย
ทว่าสีหน้าของเจียงอวี่เฉิงยังคงเรียบเฉย
“มันไม่ใช่ของล้ำค่ากระไรหรอก ข้าแค่ค้นเจอมันโดยมิได้ตั้งใจ ไม่มีอันใดน่าดูเลยสักนิด”
ได้ยินเช่นนั้นซั่งกวนหว่านก็แทบจะหุบยิ้ม
หากมันเป็นแค่ภาพวาดธรรมดา เขาก็ควรแสดงมันให้นางดูอย่างบริสุทธิ์ใจสิ แต่นี่เขากลับไม่ยอมทำ
การที่เขามองซ้ายแลขวาพยายามเปลี่ยนเรื่อง แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ!
ซั่งกวนหว่านเหลือบมองจุดที่เจียงอวี่เฉิงเก็บของสิ่งนั้นไว้เล็กน้อย
เจียงอวี่เฉิงพลันขมวดคิ้ว
และราวกับสัมผัสได้ว่าเจียงอวี่เฉิงกำลังอารมณ์ไม่ดี ซั่งกวนหว่านจึงรีบเบนสายตาไปทางอื่น
วันนี้นางไม่ได้มาที่นี่เพื่อโต้เถียงกับเขา
เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ของการมาพบปะครั้งนี้ สีหน้าของซั่งกวนหว่านก็อ่อนลงมาก
“คราวนี้ข้าแอบออกมา เจ้าไม่ต้องห่วง จะไม่มีใครรู้เด็ดขาด”
ทุกคนในจวนหลังนี้เป็นคนสนิทของเจียงอวี่เฉิง ทำให้นางไม่ได้กังวลว่าจะมีคนแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป
ขาเรียวสวยก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว
“ความจริงข้า…เจ้าดื่มสุรามาหรือ?”
สีหน้าของซั่งกวนหว่านเปลี่ยนไปทันที
เมื่อครู่นางอยู่ไกลจึงไม่ได้กลิ่น แต่พอขยับเข้ามาใกล้ถึงรู้ว่าตัวของเจียงอวี่เฉิงนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของน้ำเมา!
และพอมองดีๆ ก็จะเห็นว่าดวงตาของเขาแดงก่ำเล็กน้อย อีกทั้งยังดูพร่ามัวราวกับว่าเขากำลังมึนเมา
เจียงอวี่เฉิงเป็นคนที่มีความยับยั้งชั่งใจเป็นนิจ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยดื่มเกินความจำเป็น และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปล่อยให้ตัวเองเมาเลย
แต่แล้วมันเกิดอันใดขึ้นกัน?
“อวี่เฉิง นี่เจ้าเป็นอันใดหรือเปล่า?”
นางเอ่ยถามขณะเดินเข้าไปพยุงเข้าไว้
ทว่าเจียงอวี่เฉิงกลับผละตัวออกจากมือของนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ข้าไม่เป็นไร เจ้ามีธุระอันใดก็พูดมาเถิด”
เมื่อมือที่ยื่นออกไปถูกปฏิเสธให้ค้างเติงไว้กลางอากาศ ในใจซั่งกวนหว่านก็พลันรู้สึกว่างเปล่า
นางกัดริมฝีปากแน่น
ความเป็นจริงช่วงนี้นางรู้แจ้งแล้วว่า เจียงอวี่เฉิงเริ่มใจร้อนและปฏิบัติต่อนางอย่างไม่แยแสมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าแม้เขาจะทำตัวห่างเหิน แต่ในฐานะคู่หมั้นของนาง เขาก็ได้ทำทุกอย่างที่ควรทำแล้ว และไม่มีใครสามารถจับผิดเขาได้
แต่สิ่งนี้ทำให้ซั่งกวนหว่านเสียใจมากยิ่งขึ้น และไม่สามารถหาที่ระบายความโกรธของตนได้
“ข้า…” นางกัดฟันกรอด พลางระงับความโกรธและความขุ่นเคืองในใจไว้ “ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ เพราะข้าจะมาเอาโอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืน”
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วแน่น
“เจ้าพูดว่ากระไรนะ?”
ซั่งกวนหว่านทำหน้าตาลำบากใจ
“ข้ารู้ว่าข้าไม่เคยทำเช่นนี้ ตะ…แต่ว่าอีกนิดเดียวข้าก็จะฟื้นคืนชีพจรดั้งเดิมของตัวเองได้แล้ว เหลือเวลาอีกเพียงสามวันก่อนงานอภิเษกสมรส ข้ารู้ว่าข้าไม่เก่ง และต่อให้ฝืนทำมันแค่ไหน อย่างมากสุดก็นำกลับมาได้เพียงชีพจรตี้จิงระดับต่ำเท่านั้น…”
“เจ้าจึงอยากใช้โอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืน เพิ่มพลังให้ชีพจรดั้งเดิมของตัวเองสินะ?” เจียงอวี่เฉิงพูดแทรกนาง
ซั่งกวนหว่านพยักหน้ารับ
ตอนแรกนางไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย แต่หลังจากที่ “คนผู้นั้น” เอ่ยเตือนนาง นางถึงตระหนักได้ว่าแม้นางจะสามารถฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิมของตัวเองได้ แต่มันก็ยังยากเกินกว่าที่นางจะยกคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งได้อยู่ดี
แน่นอนว่าสิ่งที่สะดวกที่สุดในยามนี้ก็คือ โอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืน!
“ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้ายกมันให้ซย่าโหวหรงไปแล้ว และเขาคงไม่ต้องการคืนมันให้เราแน่นอน แต่ว่า… ข้าสามารถนำสิ่งอื่นไปเปลี่ยนแทนได้! ขอแค่…”
“เจ้าสิ่งนั้นหายไปแล้ว”
น้ำเสียงของเจียงอวี่เฉิงฟังดูเย็นชาอย่างมาก
ซั่งกวนหว่านพลันชะงักไปทันที
“อะ อันใดหายไปนะ?”
เจียงอวี่เฉิงเน้นย้ำทีละคำ
“โอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืน ก่อนหน้านี้มีคนขโมยมันไปแล้ว”
แวบหนึ่งซั่งกวนหว่านรู้สึกไม่เชื่อที่เขาพูด
แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเจียงอวี่เฉิงแล้ว กลับเห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้โกหก
ในใจของนางเริ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“แล้วจะหาเจอเมื่อไร?”
เจียงอวี่เฉิงหลุบตาลง
“ไม่รู้สิ”
“แล้วข้าควรทำเช่นไรดี?” ซั่งกวนหว่านหมดความอดทนจนไม่สนใจเรื่องภาพพจน์ “ถ้าข้ายกคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งไม่ได้เล่า…”
“นั่นก็เรื่องของเจ้าแล้ว”
เดิมทีเจียงอวี่เฉิงก็เมาอยู่แล้ว เมื่อบวกกับสภาพจิตใจที่ยุ่งเหยิงมานาน เขาจึงไม่ได้พูดอย่างสุภาพแต่อย่างใด
“อย่างใดเสีย เจ้าก็เป็นถึงองค์หญิงสามที่มีสายเลือดของราชวงศ์เทียนลิ่งเช่นกัน นี่คือสิ่งที่เจ้าควรคิดและแก้ไขมันด้วยตัวเอง”
เขานวดหว่างคิ้วด้วยความรำคาญใจ
“ถ้าเป็นอาเยว่ คงจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย”
สิ้นสุรเสียง ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ!
ซั่งกวนหว่านรู้สึกราวถูกฟ้าผ่า!
ดวงตาของนางเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ พลันจ้องมองเจียงอวี่เฉิงตาไม่กะพริบ
“เจ้า… เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างใดนะ?”
พอถึงตรงนี้ เจียงอวี่เฉิงก็พลันฉุกคิดได้ว่าตนพูดไม่เข้าหูอีกคนเสียแล้ว ก่อนจะปรับเสียงให้อ่อนนุ่มลงกว่าเดิม
“ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อย เจ้าอย่าได้ถือสาเลยนะ”
“ในใจของเจ้ายังมีนางอยู่ ใช่หรือไม่?” จู่ๆ ซั่งกวนหว่านก็คว้าข้อมือของเขาไว้แล้วบีบเค้นอย่างแรง นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความริษยาที่แฝงอยู่ภายใน “เจ้ายังคิดว่าข้าด้อยกว่านางทุกด้านอยู่สินะ!?”
เจียงอวี่เฉิงพยายามระงับอารมณ์ของตัวเอง “เจ้าคิดมากไปแล้ว… ถ้ามันเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ ข้าคงไม่ทำแบบนั้นตั้งแต่แรก”
เมื่อคิดถึงการวางเพลิงครั้งใหญ่ในตอนนั้น ซั่งกวนหว่านก็กัดฟันและสะบัดมือของเจียงอวี่เฉิง
“เจียงอวี่เฉิง ทางที่ดีเจ้าควรพึงระลึกถึงสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับข้าจะดีกว่า!”
หลังจากพูดจบ นางก็หันกลับและจากไปด้วยความโกรธ
แต่เจียงอวี่เฉิงกลับหยุดนางไว้อีกครั้ง
“ประเดี๋ยวก่อน ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้เจ้าไปดูอาการของฝ่าบาท แล้วสถานการณ์เป็นอย่างใดบ้าง?”
ซั่งกวนหว่านสำลักเบาๆ
อันที่จริงนางไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย นางแค่ไปที่นั่นครั้งสองครั้ง และอยู่ข้างในสักพักแล้วค่อยกลับออกไป
เจียงอวี่เฉิงย้ำเตือนอีกครั้ง
“เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าการตื่นของฝ่าบาทนั้น สำคัญต่อแผนของเรามากแค่ไหน…”
“พอแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว! และข้ารู้แล้วว่าต้องทำเช่นไร!”
ซั่งกวนหว่านเดินไปรอบๆ อย่างกระวนกระวายใจ ก่อนจะยกเท้าขึ้นและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังสิ้นสุดความวุ่นวาย เจียงอวี่เฉิงก็ถึงกับสร่างเมา
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางเดินไปหยิบกล่องไม้นั่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพินิจพิจารณา
ความจริงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเก็บสิ่งนี้ไว้ก็ได้…
เขาอยากจะเอามันไปเผาทิ้งให้สิ้นเรื่อง แต่พอคิดไปคิดมาหลายต่อหลายครั้ง ก็จำต้องเก็บมันกลับเข้าไปที่เดิม
ก๊อก ก็อก!
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณชายใหญ่ขอรับ ใต้เท้าซย่าโหวมาถึงแล้วขอรับ!”
ซย่าโหวหรงหรือ?
“ให้เขาเข้ามา”
เจียงอวี่เฉิงเอ่ยสั่งพลางเดินไปนั่งเก้าอี้
จากนั้นซย่าโหวหรงก็เดินเข้ามา
เขาแต่งกายด้วยชุดดำมิดชิด
ซึ่งในค่ำคืนอันมืดมิดเช่นนี้ หากไม่สังเกตก็คงไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงการมาของเขา
อีกทางด้านหลังเขา ก็มีชายผู้หนึ่งเดินตามเข้ามาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเคร่งขรึม
…ซย่าโหวถิงอัน!
เจียงอวี่เฉิงเอนหลังพิงเก้าอี้และมองคนทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา
“ดูเหมือนว่า ใต้เท้าซย่าโหวจักมาที่นี่เพื่อคืนของให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อซย่าโหวหรงได้ยินสิ่งนี้ ก็พลันรู้สึกอับอายยิ่ง
เขากลืนน้ำลายแรงๆ และหันไปก่นด่าซย่าโหวถิงอันทันที
“รีบกล่าวขอโทษคุณชายใหญ่ได้แล้ว!”
คุกเข่าลงบนพื้น และดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บมากมาย
“คะ คุณชายใหญ่…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว”
เจียงอวี่เฉิงหมดอดทนกับเขาและตัดเข้าตรงประเด็นทันควัน
“คืนของมาก่อน แล้วค่อยคุยเรื่องอื่นทีหลัง”
ใบหน้าของซย่าโหวหรงซีดเผือด
“คุณชายใหญ่ ของสิ่งนั้น… ของสิ่งนั้นมันหายไปแล้ว!”