ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 852 เข้ามาคุยกัน
ตอนที่ 852 เข้ามาคุยกัน
ความเกลียดชังค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉานอี้ ก่อนจะหันไปมองซั่งกวนหว่าน
“เดี๋ยวบ่าวจัดส่งนังผู้หญิงชั้นต่ำพวกนี้ไปลง…”
ทว่าซั่งกวนหว่านกลับผายมือออกมาห้ามนาง พลันยกเท้าเดินไปด้านหน้า
ทันทีที่ขาเรียวเดินย่ำเท้าผ่านเข้าไปในประตู นางก็เห็นคนรับใช้ในวังหลายคนกำลังกระซิบกระซาบกันอย่างออกนอกหน้า
“พูดกระไรกันอยู่หรือ?”
ซั่งกวนหว่านเอ่ยถามเสียงเย็น
เสียงนี้สร้างความประหลาดใจให้กับกลุ่มคนรับใช้อย่างมาก และเมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นซั่งกวนหว่าน ก็พลันหน้าซีดเผือดทันที และคุกเข่าลงทีละคน
“อะ องค์หญิง โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเถิด! โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเจ้าคะ!”
นางต้องได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดแน่ๆ เลย!
“เมื่อครู่นี้พวกเจ้าพูดว่า… ฉู่หลิวเยว่กลับมาแล้วหรือ?” ซั่งกวนหว่านถามเสียงเรียบ
แต่ถึงน้ำเสียงนั่นจะฟังดูสงบนิ่งเพียงใด ทว่าเหล่าคนรับใช้ที่ได้ฟังกลับรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง!
“มิ มิใช่เจ้าค่ะ… บ่าวและคนอื่นๆ ไม่ได้…”
เพี๊ยะ!
ฉานอี้ก้าวไปข้างหน้า แล้วตบนางผู้นั้นพร้อมพูดอย่างเฉียบขาด
“องค์หญิงทรงตรัสถามพวกเจ้าเพียงนี้! ก็จงพูดความจริงออกมาให้หมด! ถ้าโกหกแม้แต่นิดเดียว ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าเสีย!”
ฉานอี้นั้นถือว่าเป็นคนใช้ที่ทรงอำนาจมานานแล้ว ไม่มีบ่าวในวังคนใดไม่รู้ถึงความโหดร้ายและความไร้ปราณีของนาง ในใจพวกเขาหวาดกลัวนางอย่างมาก
และยิ่งเห็นนางลงมือเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งกังวล แล้วฉะนี้พวกเขาจะกล้าโกหกได้เยี่ยงไร?
หลังจากนั้น เหล่าบ่าวไพร่ก็เริ่มพูดในสิ่งที่ได้ยินมาอย่างหมดเปลือก
ซั่งกวนหว่านยิ่งฟัง ก็ยิ่งแผ่ไอเย็นยะเยือกออกมา
“พวกเจ้าไปได้ยินข่าวนี้มาจากที่ใด?”
“คะ… คือว่า… อันที่จริง มีข่าวลือมากมายแพร่กระจายไปทั่ววัง และพวกบ่าวก็บังเอิญไปได้ยินเรื่องนี้เข้าเจ้าค่ะ… บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ องค์หญิง!”
เหล่าคนรับใช้ล้วนรู้ดีว่าพวกเขาทำผิด
ทว่ายามนี้แล้ว อย่าว่าแต่ในพระราชวังเลย แม้กระทั่งประชาชนในเมืองซีหลิงเอง ก็เกรงว่าอาจจะกำลังพูดถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ก็เป็นได้!
แต่มีแค่พวกเขาที่ถูกจับได้เช่นนี้…
หากองค์หญิงสามต้องการลงโทษจริงๆ แล้วนางจะคิดลงโทษกันได้อย่างใด?
เปลือกตาของซั่งกวนหว่านกระตุกอย่างรุนแรง
เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าบ่าวไพร่พวกนี้ต้องการจะสื่ออันใด?
กล่าวอีกนัยก็คือ ความจริงทุกคนรู้เรื่องของฉู่หลิวเยว่กันหมดแล้ว และมีแค่นางที่ไม่รู้อันใดเลย!
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา นางหายไปจากโลกภายนอกเพื่อฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิมของตัวเอง แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้เกิดขึ้น!
ฉานอี้เริ่มตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และรีบเอ่ยขออภัย
“องค์หญิงเจ้าค่ะ ทั้งหมดเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของบ่าว…”
เนื่องจากนางต้องเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักฮวาหยางตลอดเวลา แม้แต่ประตูวังก็ยังมิมีโอกาสออกไปด้วยซ้ำ อีกทั้งเหล่าลูกน้องเองก็หวาดกลัวนางมาก ฉะนั้นแล้ว จักมีผู้ใดกล้านำข่าวนี้มาบอกนางกันเล่า?
สรุปแล้วซั่งกวนหว่านจึงกลายเป็นคนสุดท้ายที่รู้หลังจากทุกคน
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปสองสามครั้ง ก่อนจะหันหลังและจากไป
ฉานอี้โพล่งถามทันที
“องค์หญิงเจ้าค่ะ แล้วเรื่องฝ่าบาท…”
อุตส่าห์เดินทางมาถึงตำหนักชิงเฟิงแล้ว องค์หญิงมิได้วางแผนจะเข้าไปดูหรอกหรือ?
ซั่งกวนหว่านยิ้มเยาะ
“ข้ามีเรื่องด่วนกว่านั้นที่ต้องจัดการ ไปเสีย จงไปเชิญฉู่หลิวเยว่เข้าวังเดี๋ยวนี้! บอกนางว่าข้า…มีรับสั่งให้นางเข้ามารักษาท่านพ่อ!”
นางมีทั้งอสูรศักดิ์สิทธิ์ ทั้งบัวระบำ…
ในเมื่อฉู่หลิวเยว่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ซั่งกวนหว่านก็จักใช้งานนางอย่างดี!
…
ภายในเมืองซีหลิง
ณ จวนขนาดกลางย่านถนนลิ่วอวิ๋น ฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง และเล่นหมากรุกอยู่คนเดียว
แนวการวางเบี้ยสีขาวนั้นช่างป่าเถื่อน แต่แล้วมันก็ถูกเบี้ยสีดำปิดล้อมไว้อย่างเงียบๆ
หากฟันเฉือนลงเพียงครั้งเดียว เจ้าเบี้ยสีขาวก็จักจบชีวิตได้อย่างง่ายดาย
“น่าเบื่อเสียจริง…”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำ
การเล่นหมากรุกกับตัวเองนั้นไม่สนุกเลย
ถ้าหรงซิวอยู่ที่นี่ด้วยล่ะก็…
ทันใดนั้นเอง เชียงหว่านโจวก็เดินเข้ามาพร้อมชาขิงถ้วยใหม่ แทนถ้วยเก่าที่เย็นชืดอยู่ข้างกายนาง
ฉู่หลิวเยว่หยุดมือ พลันโยนเบี้ยสีดำในมือลงในโถเก็บเบี้ย แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา
“เสี่ยวโจว ดูเจ้าจักชำนาญในเรื่องนี้เกินไปหน่อยแล้วนะ แม้แต่ช่วงเวลาที่ต้องเปลี่ยนชา เจ้ายังนับมันเสียทุกเพลา มิคลาดเคลื่อน”
ร้อนเกินไปก็ไม่ดี เย็นเกินไปก็ไม่ดี
และเมื่อนางมีสมาธิกับการเล่นหมากรุก นางมักจะไม่สนใจเวลา แต่นางสามารถดื่มชาที่มีรสชาติและอุณหภูมิที่เหมาะสมได้เสมอ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะเสี่ยวโจวทั้งนั้น
ไม่รู้เลยว่าคนที่เสี่ยวโจวเคยติดตามในตอนนั้น ฝึกเด็กคนนี้อย่างใด…
เสี่ยวโจวหลุบตาลงเล็กน้อย ขนตายาวสั่นไหวเบาๆ
“แค่เรื่องเล็กน้อยหน่า ถ้าแค่นี้ยังทำได้ไม่ดี เช่นนั้นข้าก็ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว”
เขาทำสิ่งเหล่านี้มาหลายครั้งแล้ว และเขาเชี่ยวชาญมากจนสามารถทำมันได้ดีแม้ยามหลับตา
ก๊อก ก๊อก
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเบาๆ
“เจ้าไปเชิญพวกเขาเข้ามาข้างในเถอะ”
เชียงหว่านโจวเองก็ไม่ได้แย้งอันใด และทำเพียงพยักหน้าตอบกลับ แล้วหมุนตัวเดินออกไปเปิดประตู
ประตูบานใหญ่เปิดออกพร้อมเสียงดัง “แอด”
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกคือ ฉินอีและพี่เหลยสี่
ฉินอียิ้มบางพลางเอ่ย
“ดูเหมือนพวกข้าจะมาถูกนะ ที่นี่จริงๆ ด้วย”
ดวงตาของเชียงหว่านโจวกระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว และเชิญทั้งสองคนเข้ามา
“เชิญ…”
ฉินอีพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ และเดินเข้าไปพร้อมกับพี่เหลยสี่
พี่เหลยสี่มองไปรอบๆ และอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า
“ที่นี่มันที่พักของซงเหล่ามิใช่หรือ? แต่เหมือนว่ามันจะกลายเป็น… จวนส่วนตัวไปแล้ว?”
ฉินอียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พร้อมแสงบางอย่างที่แวบเข้ามาในดวงตาเรียวคมของเขา
“ซงเหล่าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรสหายเสมอ”
เมื่อก่อนองค์หญิงใหญ่ชอบแวะเวียนมาที่นี่มาก และว่ากันว่า ยามที่อวี้ฉือซงเผชิญกับความยากลำบาก เขาก็มักจะนำข้าวของเครื่องใช้ในเรือนไปขาย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เคยย้ายจวนหลังนี้เลย
และพอเวลาผ่านไป ท้ายที่สุดมันก็ตกเป็นขององค์หญิงใหญ่ จะเรียกว่าเป็นพรหมลิขิตก็ได้กระมัง
เชียงหว่านโจวเดินตามหลังทั้งสอง พลางขมวดคิ้วมุ่น
ตลอดสองวันที่พวกเขากลับมาอยู่ที่ซีหลิง ฉู่หลิวเยว่มักจะพักที่นี่ เว้นเสียแต่คืนแรกที่พวกเขาไปพักในสำนักชงซูเก๋อ
ซึ่งขณะอยู่ที่นี่ กิจวัตรหลักๆ ของนางก็มีแค่เล่นหมากรุกและอ่านตำรา พักผ่อนหย่อนใจอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ราวกับนางไม่รู้ว่าคนข้างนอกกำลังพูดถึงตัวเองอย่างใด
ในชั่วข้ามคืน ข่าวที่น่าตกใจดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่วซีหลิง แต่ถ้าจะให้พูดว่าเรื่องนี้ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังล่ะก็ ใครมันจะไปเชื่อ
แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ผู้ที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังก็คือ ฉู่หลิวเยว่!
แถมวันนี้พวกฉินอีก็เคาะประตูถึงที่อีก!
ซึ่งถ้าพูดตามหลักแล้ว มันควรจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขามาที่นี่ แต่ไฉนพวกเขาถึงดูคุ้นเคยกับที่นี่นัก
พวกเขารู้ว่าต้องเดินไปทางใด หรือว่าตรงจุดใดมีเครื่องใช้วางอยู่ และแทบไม่จำเป็นต้องให้เชียงหว่านโจวนำทางเลย
เชียงหว่านโจวขบเม้มริมฝีปากตัวเอง
ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นว่า สองคนนี้ชอบทำตัวเสมือนเคยรู้จักฉู่หลิวเยว่มาก่อน
แถมทั้งสองคนก็ยังแสดงท่าทีเคารพนางมากด้วย
คนทั่วไปอาจไม่ได้สังเกต แต่เชียงหว่านโจวที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนกับเรื่องแบบนี้ ย่อมสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นฉินอีหรือพี่เหลยสี่ ต่างก็แข็งแกร่งด้วยกันทั้งคู่
แต่ฉู่หลิวเยว่นั้นอ่อนหัดกว่าพวกเขามาก ซึ่งพูดตามตรงว่า พวกเขาไม่ควรวางตัวเช่นนั้นกับฉู่หลิวเยว่
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องไก่ฟ้าเก้าสี ที่พวกเขาพยายามปกป้องมันสุดชีวิต แต่ก็ถูกฉู่หลิวเยว่ช่วงชิงไปหลังจากทะลวงขอบเขตพลังปราณผ่าน…
และการประติดประต่อเรื่องทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก็ทำให้คนที่ยืนคิดอยู่ตรงนี้ถึงกับตกตะลึง!
เชียงหว่านโจวรู้ว่า มันต้องมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่แน่ๆ!
หลายคนเดินเข้ามา และในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงห้องโถงด้านหน้าที่มีฉู่หลิวเยว่นั่งรออยู่
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว ฉู่หลิวเยว่ก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มให้ทั้งสองคน
“บังเอิญจริงที่พวกเจ้ามาที่นี่ เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดเลยว่าจะไปหาพวกเจ้า”
ฉินอีกวาดตามองกระดานหมากรุกตรงหน้า แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
องค์หญิงนี่ชอบพูดจาชวนขำขันไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
ดูก็รู้ว่านางกำลังรอให้พวกเขามาที่นี่ด้วยตัวเองต่างหาก
มุมปากงามยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม พลางหันมองไปยังเชียงหว่านโจวที่กำลังจะเดินออกไป
“เสี่ยวโจว เจ้าเองก็เข้ามาคุยกับพวกเราด้วยสิ”