ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 857 แตกหักกันไปข้าง
ตอนที่ 857 แตกหักกันไปข้าง
สัญชาตญาณของผู้หญิงนั้นถูกต้องเสมอ
แค่เจียงอวี่เฉิงพูดกับฉู่หลิวเยว่เพียงไม่กี่คำ แต่มันทำให้ซั่งกวนหว่านหวาดระแวงได้ขนาดนี้แล้ว
น้ำเสียงเช่นนี้… แตกต่างจากตอนที่คุยกับนางลิบลับ!
ไหนจะแววตาที่เหมือนจะแฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่มองไม่เห็นนั่นอีก
ซั่งกวนหว่านกัดริมฝีปากแน่น
หรือว่าเจียงอวี่เฉิงจะมีใจให้ฉู่หลิวเยว่จริงๆ?
มือของนางกำชายแขนเสื้อไว้แน่น และก้าวไปข้างหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะ
“พรุ่งนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของเรา ตามกฎแล้ว ก่อนวันงานเราสองคนจะไม่สามารถพบกันได้ หากทำผิดกฎคงดูไม่ดีนัก และถึงเจ้าจะเป็นห่วงท่านพ่อ แต่ในตำหนักก็ยังมีข้าอยู่ทั้งคน เหตุใดเจ้าถึงทำตามใจตัวเองง่ายๆ เช่นนี้?
สรุปแล้วเขาไม่ไว้ใจนาง หรือเขาไม่จริงจังกับการแต่งงานของเรากันแน่?
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“หว่านเออร์ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“ข้าน่ะหรือคิดมากเกินไป?”
ซั่งกวนหว่านหงุดหงิดกว่าเดิม
“แม้แต่สามัญชนยังพยายามไม่พบกันก่อนวันแต่งงานเลยนะ และเหตุใดเราสองคนถึง…”
นี่เป็นประเพณีที่สืบทอดมาจากราชวงศ์เทียนลิ่ง แม้เจียงอวี่เฉิงจะเจตนาดีเป็นห่วงเป็นใยบิดาของนาง แต่เขาก็ไม่ควรมาที่พระราชวังในเวลานี้!
เจียงอวี่เฉิงรู้สึกว่าซั่งกวนหว่านกำลังงี่เง่าหาเรื่องทะเลาะกับเขา
ก็แค่เจอหน้ากันเท่านั้น จักต้องแตกตื่นไปไย?
หากผ่านมันไปได้ ทุกอย่างย่อมออกมาดี
แต่ถ้าไปกันไม่ได้ ต่อให้เข็มงวดในขนบธรรมเนียมเพียงใด ก็ไร้ประโยชน์
เมื่อเห็นซั่งกวนหว่านดื้อแพ่งใส่เขามากขึ้นเรื่อยๆ ความอดทนของเจียงอวี่เฉิงก็ค่อยๆ หมดลง ใบหน้าคมเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที
“ในเมื่อเจ้าให้ความสำคัญกับกฎนี้มาก เช่นนั้นข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากพูดจบ เขาก็หมุนตัวกลับพลางสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
“เจียงอวี่เฉิง! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
ซั่งกวนหว่านคิดไม่ถึงว่าเจียงอวี่เฉิงจะไม่ไว้หน้ากันแบบนี้
นางแค่พูดออกไปด้วยความไม่พอใจสองสามประโยค แต่เขากลับหันหลังจากไปเสียเฉยๆ!
แถมยังต่อหน้าผู้คนมากมายอีก!
แม้ก่อนหน้านี้จะมีช่วงที่เขาเคยอารมณ์เสียอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่เคยปฏิบัติกับนางแบบนี้!
ทว่าเจียงอวี่เฉิงกลับทำหูทวนลม ไม่สนใจเสียงเรียกรั้ง แล้วก้าวต่อไปไม่หยุด
ทุกคนล้วนมองเห็นความมุ่งมั่นและความเยือกเย็น ที่แผ่กระจายออกมาจากแผ่นหลังของเขา
หัวใจที่คุกกรุ่นไปด้วยโทสะของซั่งกวนหว่านเมื่อครู่ ถูกน้ำแข็งเย็นๆ สาดใส่จนไฟนั่นมอดดับ แต่ร่างกายกลับสั่นสะท้านด้วยความโกรธแทน
นางทำเพื่ออนาคตของเราสองคนเชียวนะ?
แต่สุดท้ายเขากลับทำกับนางแบบนี้!
บรรยากาศทั่วโถงรับแขกพลันเย็นยะเยือก!
บริวารที่อยู่รายรอบต่างก้มหน้าลงทีละคน ไม่กล้าเผชิญหน้ากับนางตอนกำลังโกรธเกรี้ยว
ก่อนวันงานอภิเษกสมรส องค์หญิงสามและองค์ชายใหญ่เจียงทะเลาะกันในตำหนักชิงเฟิง และพวกเขาก็เลิกกันอย่างไม่มีความสุข
ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปล่ะก็… ไม่รู้เลยว่าพวกข้างนอกนั่นจะใส่สีตีความนางเช่นไร!
ซั่งกวนหว่านค่อยๆ ดึงสติกลับมา ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว เพราะความอับอายเกินทน
จั่วหมิงซีรู้สึกลำบากใจและไม่รู้จะทำอย่างใดอยู่พักหนึ่ง
คือว่า… เจียงอวี่เฉิงมากับเขา แต่เขาไม่คาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น…
ส่วนฉู่หลิวเยว่ที่ยืนมองภาพละครเศร้าเคล้าน้ำตานั่นอยู่ด้านข้าง ก็ทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เจียงอวี่เฉิงเป็นคนแบบไหน นางรู้ดีที่สุด
สำหรับอีกฝ่ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเขาเท่านั้น
คนเห็นแก่ตัวแบบสุดโต่งเช่นนี้ จะไปสนใจคนอื่นได้อย่างใด?
แต่ซั่งกวนหว่านน่าจะยังชอบเขาอยู่มาก ไม่เช่นนั้น นางจะใส่ใจเรื่องธรรมเนียมการพบกัน ก่อนวันอภิเษกสมรสเหตุใด
ทว่าน่าเสียดายที่เจียงอวี่เฉิงคร้านเกินกว่าจะตามใจนาง
ฉู่หลิวเยว่หลุบตาลงต่ำและเย้ยหยันในใจ
แค่วันนี้ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะได้เห็นละครที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน…
ซั่งกวนหว่านกัดฟันกรอด พลางพยายามระงับความโกรธในใจของตนไว้
“พวกเจ้าทั้งสอง ตามข้าเข้าไปดูอาการของท่านพ่อด้านใน!!”
ครั้นสิ้นสุรเสียง นางก็เดินพาพวกเขาเข้าไปข้างใน
ฉู่หลิวเยว่และจั่วหมิงซีก้าวเท้าตามไปติดๆ
…
ภายในตำหนักชิงเฟิงนั้นเงียบสงัด
ควันสีขาวลอยฟุ้งอยู่เหนือกระถางสำริด พร้อมกับกลิ่นกำยานอำพันทะเลที่ส่งกลิ่นหอมออกมาจางๆ
ฉู่หลิวเยว่ทำจมูกฟุดฟิด
ในตอนนั้น เจียงอวี่เฉิงเองก็มีกลิ่นนี้ติดตัว…
นางสอดส่ายสายตามองเข้าไปข้างในอย่างใจเย็น
ภายในม่านสีทอง มีร่างของคนคนหนึ่งนอนอยู่ ทว่ามองจากตรงนี้จะเห็นเพียงเงาร่างที่คลุมเครือเท่านั้น
แต่แค่มองแวบเดียว ฉู่หลิวเยว่ก็จำได้ทันทีว่านั่นคือบิดาของนาง!
นางเริ่มรู้สึกคันปลายจมูก เบ้าตากลมร้อนผ่าว เพียงพริบตานางสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนที่พุ่งพรวดขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ จนเกือบจะครอบงำสติของนาง!
ย้อนกลับไปตอนนั้น นางถูกบังคับให้จำต้องปลิดชีพตัวเอง และตัดสินใจจุดไฟเผาตัวเองในตอนท้าย แต่นางไม่มีโอกาสได้บอกลาท่านพ่อเลย
จนกระทั่งได้มาพบกันใหม่ในยามนี้ แต่นางก็กลายเป็นคนอื่นไปเสียแล้ว
และพอคิดว่าท่านต้องนอนติดเตียงอยู่ที่นี่ตั้งสองปี ความขมขื่นและความโกรธในใจของฉู่หลิวเยว่ ก็แทบจะระเบิดออกมา!
นางต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการยับยั้งความปรารถนาที่จะพุ่งไปข้างหน้า
ซั่งกวนหว่านเดินไปข้างหน้าและก้าวเท้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียง
“ใต้เท้าจั่ว เชิญท่านมาตรวจดูอาการของท่านพ่อก่อน”
ใต้เท้าจั่วเดินไปข้างหน้าตามสั่ง
เขาเปิดม่านบริเวณมุมหนึ่งของเตียงแล้วดึงมือของฝ่าบาทออกมา เผยให้เห็นเพียงข้อมือ ก่อนจะคลำหาชีพจรอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นสักพักเขาก็ปล่อยมือ
“พระพลานามัยของฝ่าบาทยังไม่ฟื้นตัวดี อาการของพระองค์ยังไม่ทรงตัวสักเท่าใด แต่ถ้าต้องการให้ฝ่าบาทตื่นขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าคงต้องใช้การรักษาที่พิเศษกว่าปกติ”
เขาพูดพลางเหลือบมองฉู่หลิวเยว่
“หากใช้บัวระบำและโลหิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์ในการรักษา ย่อมเกิดผลดีเกิดคาดแน่นอน”
การที่วันนี้ซั่งกวนหว่านรับสั่งให้ฉู่หลิวเยว่มาที่นี่ ทุกคนย่อมเดาออกว่าเพื่ออันใด
ดังนั้นจั่วหมิงซีจึงพูดออกไปตรงโดยไม่ลังเล
ซั่งกวนหว่านถามต่อ
“ในเมื่อใต้เท้าจั่วมั่นใจมาก เช่นนั้นวันนี้เจ้าคงกลั่นเม็ดยาอายุวัฒนะให้ท่านพ่อได้ใช่หรือไม่?”
จั่วหมิงซีหัวเราะเบาๆ
“องค์หญิงอาจจะยังมิทราบ ทว่าตามหลักแล้ว ขอแค่มีโลหิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือสมบัติล้ำค่าอย่างบัวระบำ ก็แทบไม่จำเป็นจักต้องเสียเวลากลั่นโอสถเลย และเพียงแค่นำวัตถุดิบเหล่านี้ไปเคี่ยวเป็นน้ำ ก็สามารถนำไปใช้รักษาได้แล้วขอรับ”
และวิธีนี้ช่วยประหยัดเวลาได้มากกว่า
ซั่งกวนหว่านถอนหายใจอย่างโล่งอก พลันหันไปมองฉู่หลิวเยว่
“คุณหนูฉู่ รบกวนนำวัตถุดิบของเจ้าออกมาด้วย”
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยืนห่างจากเตียงนอนหลังใหญ่สามก้าว
จากตรงนี้ นางสามารถมองเห็นโครงหน้าอันคุ้นเคยได้อย่างชัดเจน
ท่านพ่อในยามนี้ไม่ต่างจากคนที่นอนหลับสนิทไม่ได้สติอยูบนเตียงเลย
นางกล่าวว่า
“การที่ข้าได้ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยเหลือฝ่าบาท ช่างเป็น..เกียรติของข้ายิ่งนัก”
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้ว
ด้วยความรู้สึกบางอย่าง เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่ปฏิบัติต่อท่านพ่อเหมือน…
ทว่านางไม่สามารถพูดสิ่งที่รู้สึกออกมาได้ในตอนนี้ และมันทำให้นางรู้สึกตะขิดตะข่วงใจมาก
แต่บางทีหลังจากท่านพ่อฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านอาจจะมองเห็นคุณงามความดีของนางแล้วรีบเลื่อนขึ้นให้ก็ได้?
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ในใจซั่งกวนหว่านก็พลันกระหยิ่มยิ้มเยาะราวถือไพ่เหนือกว่า และไม่คิดจะสนใจเรื่องของฉู่หลิวเยว่อีก
ฉู่หลิวเยว่หยิบกล่องไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมา
ซั่งกวนหว่านและจั่วหมิงซีตาเป็นประกายทันที!
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เปิดกล่องไม้ออก
แกรก
ก่อนจะเห็นบัวระบำที่วางอยู่ภายใน!
กลีบสีขาวอมชมพูกึ่งโปร่งใสห้ากลีบ ปิดห่อตัวดอกไว้ตามธรรมชาติ ลำต้นสีเขียวสดแลดูมีชีวิตชีวา เสมือนมันเพิ่งจะถูกเด็ดออกจากโคลนตม
ลำคอของซั่งกวนหว่านแห้งผาก พร้อมดวงตาวาววับที่ฉายแววละโมบอย่างปิดไม่มิด!
นี่มัน… บัวระบำของจริง!
ฉู่หลิวเยว่ยกนิ้วขึ้นมา และถวนจื่อก็พลันปรากฏขึ้นบนไหล่ของนาง
ซั่งกวนหว่านมองมันด้วยหางตา และเห็นว่ากษายะหางวายุตัวนั้น ได้พุ่งเข้าไปใช้ตัวของมันคลอเคลียแก้มของฉู่หลิวเยว่อย่างพินอบพิเทาและรักใคร่
นางมองภาพนั้นด้วยความเกลียดชัง
ฉู่หลิวเยว่ได้แต่ของดีๆ ไปทั้งนั้น!
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจ นางลูบหัวของถวนจื่อเบาๆ
“ถวนจื่อ ข้าขอยืมเลือดของเจ้าหน่อย ได้หรือไม่?”