ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 867 เมิ่งจิงจื่อ
ตอนที่ 867 เมิ่งจิงจื่อ
เสียงประกาศอันทรงพลังดังขึ้นและแผ่กระจายไปทั่วตำหนักหลางคุนในทันที!
ทุกคนในจัตุรัสหน้าตำหนักล้วนได้ยินเสียงและหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง!
ก่อนจะเห็นคนสองคนยืนจับมือกันที่ประตูใหญ่ของพระราชวัง!
คนทางซ้ายคือ เจียงอวี่เฉิง
วันนี้เขาสวมชุดคลุมสีแดง ที่บริเวณคอเสื้อถูกปักด้วยลวดลายมังกรสีเข้ม พร้อมเข็มขัดหยกเส้นเล็กที่คาดเอวสอดไว้อย่างสง่างาม
เพียงมองแวบเดียวก็สามารถรับรู้ถึงความงดงามของบุรุษผู้นี้ได้แล้ว
และนอกเหนือจากสิ่งอื่นๆ รูปลักษณ์ของเขานี่แหละ ที่เป็นจุดขายอันโดดเด่นของเขา
“ราชบุตรเขยของเรานี่ช่างหล่อเหลาเอาการเสียจริง ไม่แปลกใจเลยที่องค์หญิงสามจะรักเขามาก และหมายมั่นอยากจะแต่งงานกับเขาให้ได้…”
“อือ เจ้าลองคิดดูสิ ในอดีตเจียงอวี่เฉิงผู้นั้นก็เคยเป็นที่ต้องตาต้องใจขององค์หญิงใหญ่เช่นกัน! แน่นอนว่าสามัญชนอย่างเราสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว!”
“ก็จริงของเจ้า ต่อให้ค้นหาทั่วทั้งเมืองซีหลิง ทว่าในบรรดาคนรุ่นใหม่ อย่างใดเขาก็ถือว่าเป็นสุดยอดในทุกด้านเลยมิใช่หรือ?”
ฝูงชนต่างพากันซุบซิบนินทา
ทว่าขณะเดียวกัน ก็มีเสียงหนึ่งที่ดังกังวานกว่าใครเพื่อน โพล่งออกมาจากฝูงชนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เหอะ เขามันก็แค่คนถ่อยที่คอยฉวยโอกาสทองเท่านั้นแหละ! ต่อให้หน้าตาหล่อเหลาเพียงใด จิตใจก็ยังอัปลักษณ์อยู่ดี!”
คนพูดจงใจกระแทกเสียงให้ดั่งสนั่น บวกกับบริเวณนั้นก็มีคนอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเกือบทุกคนจึงได้ยินประโยคนั่นอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น ฝูงชนที่เคยส่งเสียงดังก็เงียบลงทันที พลันพร้อมใจกันหันไปมองที่มาของเสียง เพราะอยากจะดูว่าใครกัน ที่กล้าพูดเช่นนั้นในเวลาแบบนี้
ฉู่หลิวเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นขึ้นมองทันควัน ก่อนจะผงะไปเล็กน้อย
เจ้าของคำพูดเหล่านั้นเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่กำยำและมีผิวคล้ำ เขายืนเด่นอยู่ตรงนั้น ราวกับเนินเขาที่เคลื่อนที่ได้
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนกลับไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของเขา แต่เป็น…การที่เขาสวมชุดเกราะสีดำ! แล้วเสียบกระบี่เล่มยาวไว้ตรงที่คาดเอวต่างหาก!
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นนายพลท่านหนึ่ง!
ซึ่งในบรรดาราชวงศ์เทียนลิ่งทั้งหมดนั้น คนที่สามารถนำกระบี่เล่มยาวเข้าวังได้เช่นนี้… มีอยู่น้อยมาก!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขายืนอยู่แถวหน้าสุดของบรรดานายทหารทั้งหมด และนั่นเป็นตัวบ่งบอกว่าสถานะของเขาสูงส่งเพียงใด!
พอประชาชนเห็นหน้าค่าตาของบุรุษเจ้าของคำพูดเมื่อครู่แล้ว บางคนที่เดิมทีจะเข้ามาสอดส่องหาความตื่นเต้น ก็จำต้องรีบเบือนหน้าหนีอย่างว่องไว
จิ๊ พวกเขาลืมเทพเจ้าแห่งการฆ่าผู้นี้เสียสนิท!
เขาคือผู้บัญชาการของกองทัพทหารม้าทมิฬ เมิ่งจิงจื่อ!
เมื่อพูดถึงบุรุษผู้นี้แล้ว เขาถือว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก ผู้คนในราชวงศ์เทียนลิ่งทั้งหมด ไม่ว่าจะคนหนุ่มสาวหรือวัยชราภาพ ล้วนทราบกันดีว่านายพลผู้ดุร้ายคนนี้ประจำการอยู่ที่ชายแดนตะวันตกมานานหลายสิบปีแล้ว และเขาประสบความสำเร็จในการสู้รบอย่างมาก!
แม้ว่าเขาจะไม่ได้กลับมาที่ซีหลิงบ่อยนัก ทว่าแค่ชื่อของเขาก็เพียงพอที่จะข่มขวัญผู้คนได้แล้ว!
หากไม่ใช่เพราะครานี้องค์หญิงสามต้องขึ้นครองบัลลังก์ เขาคงจะไม่กลับมา
ณ ปัจจุบัน เจียงอวี่เฉิงนั้นถือเป็นคนที่กุมอำนาจและควบคุมกิจการส่วนใหญ่ของซีหลิงไว้ทั้งหมด และคนเดียวที่กล้าดูถูกเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ก็มีแค่เมิ่งจิงจื่อ ผู้กุมอำนาจทางทหารเท่านั้น!
“นายพลเมิ่ง ท่านหมายความว่าอย่างใด?”
เจียงลี่จั่ว หนึ่งในสามใต้เท้าผู้ทรงคุณวุฒิเองก็ก้าวออกมาข้างหน้า แล้วยืนประจันหน้ากับเมิ่งจิงจื่อ โดยอยู่ห่างจากอีกฝ่ายประมาณสองสามก้าว
ครั้นได้ยินใครเอ่ยถึงบุตรชายเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็พลันบึ้งตึงน่าเกลียดขึ้นมาทันที
เมิ่งจิงจื่อหัวเราะเยาะ และแทนที่จะยอมจำนน เขากลับพูดต่อว่า
“กระไรกัน ข้าพูดผิดหรือ? แต่ถ้าตอนนั้นเขายังเหลือความรู้สึกให้องค์หญิงใหญ่สักนิด เขาจะทำเยี่ยงนั้นได้อย่างใด? หรือจะบอกว่าคบหาดูใจกับใคร ก็ไม่ดีเท่าองค์หญิงสามหรือ? ทั้งๆ ที่มันเพิ่งผ่านมาได้สามปีเท่านั้น แต่พอข้านึกถึงวิธีที่องค์หญิงใหญ่ปฏิบัติต่อเขาและองค์หญิงสามในตอนนั้น และหันมาดูพวกเขาในตอนนี้ ที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากแต่งกันไวๆ แล้ว มันช่างน่าขำขันยิ่งนัก! ถ้าเป็นในชายแดนตะวันตกล่ะก็ ใครก็ตามที่กล้าทำสิ่งนี้ จักถูกคนเถื่อนจับตัดหัวแน่นอน!”
เขาคือนายพลที่เคยร่วมต่อสู้ในสนามรบมาแล้วหลายปี ทั่วร่างกายของเขาเปี่ยมไปด้วยลมปราณโลหิตอันเข้มข้น และกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่แผ่ล้นออกมา อีกทั้งเรื่องในอดีตที่ถูกหยิบยกออกมาในตอนนี้อีก มันยิ่งทำให้น้ำเสียงของเขาดุดันมากขึ้น จนสามารถเขย่าขวัญผู้คนที่อยู่รายรอบได้ในบัดดล
แม้แต่เจ้าหน้าที่ไม่กี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ก็ยังเผลอถอยหลังไปสองก้าวเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลง
เจียงลี่จั่วคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดจาขวานผ่าซากและรุนแรงเพียงนี้ ใบหน้าซีดเซียวเพราะความโกรธ
“จะ! เจ้า! เมิ่งจิงจื่อ! โอหังนัก! เจ้าคิดจะฉีกหน้าองค์หญิงสามหรือ!”
ไม่นาน อวี่เหวินเว่ยที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วแทรกกลางเข้าไปหยุดคนทั้งสอง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“พอแล้วๆ ในเมื่อทุกคนมาถึงแล้ว เวลาเช่นนี้พวกเจ้าจักเอิกเกริกกันให้เสียภาพพจน์ไปไย? ทุกคนโปรดใจเย็นๆ กันหน่อยเถิด!”
เจียงลี่จั่วมือสั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว
เห็นได้ชัดว่าเมิ่งจิงจื่อเป็นฝ่ายพูดยั่วยุเขาก่อน พอได้ด่าจนสาแก่ใจ เขามีความสุขแล้ว! แต่กลับมิยอมให้ผู้อื่นโต้กลับหรือ?
ผู้คนที่อยู่รอบๆ ล้วนได้ยินคำพูดเมื่อครู่ชัดเจน!
เมิ่งจิงจื่อปรายตามองดูเขาอย่างเหยียดหยาม
“เหอะ สองคนนี้เป็นคนทำเรื่องทั้งหมด และข้าก็แค่พูดความจริง ไฉนข้าต้องห่วงเรื่องภาพพจน์ด้วยเล่า? และเหมือนว่า… เจียงลี่จั่ว เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าพูดเรื่องนี้ออกไป มันจะดูน่าเกลียดขนาดไหน?”
“นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! เมิ่งจิงจื่อ!”
เจียงลี่จั่วโกรธจัด พลันย่ำเท้าไปข้างหน้า เพื่อหวังจะต่อยเมิ่งจิงจื่อสักหมัด
ทว่าเมิ่งจิงจื่อนั้นเป็นถึงหนึ่งในสามผู้แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์เทียนลิ่ง การที่เขาพุ่งเข้าไปแบบนั้นก็มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัว!
ทว่าอวี่เหวินเว่ยที่อยู่ข้างๆ ก็เข้ามาหยุดเขาไว้ และขยิบตาให้เมิ่งจิงจื่อไปพร้อมกัน
“ท่านแม่ทัพเมิ่ง อย่างใดเสีย นี่ก็เป็นวันสำคัญขององค์หญิง ฉะนั้นอย่างน้อยก็เห็นแก่ข้า แล้วรีบๆ เอ่ยเสียสองสามประโยคเพื่อจบบทสนทนาเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิงจื่อถึงได้เงียบเสียงลง
และเมื่อเห็นสายตาที่มองมาจากทั่วสารทิศ เจียงลี่จั่วก็พลันรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความอับอาย
เขาพยายามอดทนอดกลั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพ่นมันออกมาอย่างเหลืออด
“หากเจ้ากล้า ก็ไปพูดเช่นนี้ต่อหน้าองค์หญิงสามดูสิ! แล้วข้าจักคอยดูว่า หลังจากวันนี้เจ้าจะทำตัวจองหองได้อีกนานแค่ไหนเชียว! ความจงรักภัคดีต่อเจ้าแผ่นดิน คนอย่างเจ้าเข้าใจมันบ้างหรือไม่!”
เมิ่งจิงจื่อไม่แยแส พลางยิ้มเยาะอย่างเย็นชา
“แต่ไหนแต่ไร ข้าจงรักภักดีต่อราชวงศ์เทียนลิ่งเท่านั้น!”
ส่วนเจ้าแผ่นดินน่ะหรือ?
ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจเลยว่าฝ่าบาทยังมีชีวิตอยู่ หรือเสด็จสวรรคตไปแล้ว และก็ยังมิอาจทราบด้วยว่าองค์หญิงสาม อย่างซั่งกวนหว่านจะสามารถยกคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งได้หรือไม่!
ตอนนี้เรื่องตลกร้ายเล็กๆ น้อยๆ นี้ ได้ยุติลงแล้ว
ทว่าผู้คนรอบข้างกลับมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไป
มีบางคนอิจฉา บางคนมีความสุข บางคนก็เมินเฉย และบางคนก็เหยียดหยาม
แม้เมิ่งจิงจื่อจะค่อนข้างพูดโดยยึดความคิดของตนเป็นใหญ่ แต่สิ่งที่เขาพูดในเมื่อครู่นั้น ก็ไม่ได้ฟังดูไร้เหตุผลเสียทีเดียว
เจียงอวี่เฉิงเคยหมั้นหมายกับองค์หญิงใหม่มาก่อน และถึงขั้นเตรียมการพิธีอภิเษกสมรสแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิงใหญ่เสียก่อน และหลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ความจริงแล้ว หากนับตั้งแต่วันที่องค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์ ก็ยังไม่ถึงสองปีด้วยซ้ำ
ฉะนั้นพิธีอภิเษกสมรสของเจียงอวี่เฉิงและซั่งกวนหว่านในครานี้ ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม
แต่น้อยคนนักที่จะกล้าพูดเช่นนี้
และการที่เมิ่งจิงจื่อเอะอะโวยวายเช่นนั้น ก็พลอยทำให้บรรยากาศภายในตำหนักอึดอัดขึ้นมาทันตา ทั่วทุกตารางนิ้วโดยรอบเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือกราวกับถูกแช่แข็ง
ฉู่หลิวเยว่มองไปเมิ่งจิงจื่อด้วยความรู้สึกที่หลากหลายในใจ
เพราะนางไม่เคยคิดว่าเมิ่งจิงจื่อจะออกตัวพูดแทนตนเช่นนี้
ในความทรงจำของนางนั้น นางเคยพบกับเมิ่งจิงจื่อเพียงไม่กี่ครั้ง และทุกครั้งที่เจอ เจ้าตัวก็มักจะทำหน้าตาคร่ำเครียดราวกับนายทหารที่ดูดุร้ายป่าเถื่อน
อีกทั้งในตอนนั้น นางยังสนับสนุนให้มู่ชิงเห่อได้เป็นรองแม่ทัพของกองทัพทหารม้าทมิฬด้วย ซึ่งก็ถือเป็นการแย่งอำนาจส่วนหนึ่งของเมิ่งจิงจื่อมาเช่นกัน
นางจึงคิดมาตลอดว่าเมิ่งจิงจื่อคงไม่ชอบตนมากแน่ๆ
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…
“คู่สมรสมาถึงแล้ว โปรดถวายบังคม และขอเชิญเสด็จขึ้นไปยังบันไดสวรรค์เก้าชั้น ณ บัดนี้!”