ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 868 คารวะ
ตอนที่ 868 คารวะ
ยามนี้เจียงอวี่เฉิงและซั่งกวนหว่านได้เดินจับมือเข้ามา และยืนอยู่กลางจัตุรัสกว้างด้านหน้าตำหนัก
ในขณะเดียวกัน เสียงประกาศของขั้นตอนพิธีการต่างๆ ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่คนทั้งสอง
วันนี้ซั่งกวนหว่านเองก็แต่งตัวด้วยชุดเต็มยศ ปลายชุดคลุมยาวเฟื้อยสีแดงสดเสมือนหางของหงส์ฟ้า แผ่ขยายระไปตามพื้นในทุกย่างก้าวของนาง ด้ายสีทองที่ฝังอยู่ในผ้าแพรนั้นทอประกายสะท้อนแสงแวววาว
แต่เนื่องจากนางสวมผ้าคลุมศีรษะอยู่ จึงทำให้ผู้คนรอบๆ มองไม่เห็นหน้าตาของนาง ทว่าแค่มองจากชุดอันสวยหรูของนาง ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอลังการที่ซ่อนอยู่ผ้าคลุมนั่นแล้ว
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินขึ้นบันไดสวรรค์เก้าขั้นไปพร้อมกัน และทำความเคารพอย่างเป็นทางการที่หน้าตำหนักหลางคุน
เดิมทีหากฝ่าบาทอยู่ที่นี่ พระองค์จักยืนรอทั้งสองคนอยู่ที่หน้าประตู
แต่เพราะตอนนี้เขายังหมดสติอยู่ ขั้นตอนนี้จึงถูกข้ามไป
เจียงอวี่เฉิงกับซั่งกวนหว่านยืนเคียงข้างกันและจับมือกันไว้แน่น หนึ่งสตรีรูปงามและบุรุษที่แสนหล่อเหลา ยิ่งมองยิ่งดูเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก
“หว่านเออร์ เราไปกันเถอะ”
เจียงอวี่เฉิงเอียงศีรษะเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเผยยิ้มบาง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เสมือนว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ เขานั้น คือ รักสุดท้ายในชีวิตที่เขาเทิดทูนรักใคร่สุดหัวใจ
ซั่งกวนหว่านพยักหน้าตอบเบาๆ
ไม่มีใครเห็นสีหน้าของนางในตอนนี้
ทั้งสองคนเดินจับมือกันไปข้างหน้า
จากนั้นซั่งกวนหว่านก็เป็นฝ่ายก้าวเท้านำขึ้นไปบนบันไดขั้นแรก
ตามด้วยเจียงอวี่เฉิงที่จงใจเดินตามหลังนางครึ่งก้าว เพื่อเป็นการให้เกียรติ
จะได้ไม่ถูกผู้คนตำหนิทั้งทางด้านวาจาและการกระทำ
ซั่งกวนหว่านเดินต่อไปยังขั้นที่สอง
ทว่าเมื่อถึงตรงนี้ นางก็เริ่มสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากตำหนักหลางคุนจางๆ
แต่มันก็ยังทำอันใดซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงไม่ได้
ขณะที่ทั้งสองย่างก้าวขึ้นไปทีละขั้น แรงบีบอัดของพลังปราณก็หนักขึ้นเรื่อยๆ!
และทุกครั้งเขยิบขึ้นไปทีละขั้น ก็ต้องยิ่งใช้พละกำลังมากกว่าเดิม เพื่อต้านแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นนี้!
เมื่อก้าวไปถึงขั้นที่เจ็ด ซั่งกวนหว่านก็เริ่มรู้สึกหมดแรง
แม้ว่าปัจจุบันความแข็งแกร่งของนางจะอยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นแรก แต่เพราะว่านางเพิ่งรักษาชีพจรดั้งเดิมของตัวเองได้ ฉะนั้นนางจึงไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดได้อย่างเต็มร้อย
ร่างกายของนางหนักอึ้งราวกับตะกั่ว!
เจียงอวี่เฉิงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับซั่งกวนหว่าน
ไม่กี่วันมานี้ เขาเองก็ได้อาศัยวิธีการบางอย่างเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเอง ให้ฟื้นคืนสู่ระดับเจ็ดขั้นสูง
แต่ถึงแม้ว่าสภาพร่างกายของเขาจะดีกว่าซั่งกวนหว่าน แต่เขาก็ไม่ควรประมาทแรงกดดันแผ่ออกมาจากในตำหนักนั่น
เขาแอบใช้มือถ่ายพลังปราณเพื่อส่งซั่งกวนหว่านก้าวไปยังขั้นที่แปด!
ขาทั้งสองข้างและร่างกายของซั่งกวนหว่านสั่นสะท้าน
เจียงอวี่เฉิงแอบขมวดคิ้วแล้วรีบช่วยพยุงนาง พลันกัดฟันดันนางให้ขึ้นไปเหยียบบันไดขั้นที่แปด!
และเมื่อยืนอยู่ตรงนี้ พวกเขาก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่า ประตูใหญ่ของตำหนักหลางคุนที่อยู่ด้านบนนั้นเปิดอยู่!
โดยปกติแล้ว ประตูใหญ่ของตำหนักหลางคุนจะถูกล็อคอย่างแน่นหนา และผู้อาวุโสของราชวงศ์ทั้งหมดจะร่วมมือกันเปิดมันเฉพาะในช่วงพิธีขึ้นครองราชย์เท่านั้น
เพราะเมื่อเปิดค่ายกลในตำหนักแล้ว จะทำให้แรงกดดันของพลังปราณจากคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่ง แผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบอย่างไม่หยุดยั้ง!
และเป็นเพราะเหตุนี้ ซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงถึงต้องเผชิญกับการบีบบังคับที่น่ากลัวเช่นนี้!
ยิ่งเข้าใกล้เท่าไร ลมปราณนั่นก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นจนน่าตกใจ!
ผู้คนที่ยืนอยู่ในจัตุรัสด้านล่างเอง ก็กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่เช่นกัน
แต่พอเห็นว่าท่าเดินของซั่งกวนหว่านดูอ่อนแรงลง บางคนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ต่างไปจากเดิม
“เมื่อครู่นี้ องค์หญิงสามจะล้มหรือเปล่า?”
มีเสียงเบาหวิวโพล่งขึ้นมากจากฝูงชน
ถึงนางจะใส่ชุดคลุมตัวยาวที่มีทั้งผ้าคลุมศีรษะและชายกระโปรงยาวระพื้น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเห็นท่าเดินที่ดูติดๆ ขัดๆ ของนางเมื่อครู่อยู่ดี
“ไม่ใช่…หรอกกระมั้ง? ถ้าตอนนี้นางขึ้นไปไม่ได้ แล้วจะยกคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งได้หรือ?” ใครบางคนโต้กลับทันควัน แต่น้ำเสียงกลับฟังดูไม่มั่นใจเอาเสียเลย
ย้อนกลับไปในอดีต ก็เคยมีการกล่าวถึงบุคคลที่ไม่สามารถยกคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งได้ ไว้ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์เทียนลิ่งเช่นกัน
และเมื่อระลึกดูแล้ว ก็มีอยู่ทั้งหมดสี่คน
ทว่าสุดท้าย คนเหล่านี้ก็ถูกลิดรอนสิทธิ์ในการสืบทอดอำนาจของจักรพรรดิอย่างไม่มีข้อยกเว้น และพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอยู่ในสถานะเดิมของตัวเองอีกตลอดชีวิต
สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ถือเป็นความอัปยศที่ไม่อาจหักล้างได้ และแม้ว่าพวกเขาจะยังได้ถือครองสถานะเชื้อพระวงศ์อยู่ และยังได้รับเงินขวัญถุงไว้ใช้จ่ายเช่นเดิม แต่เพราะความล้มเหลวนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถเชิดหน้าชูตาตัวเองแก่สาธารณชนได้อีกเลย
ในบรรดาคนทั้งสี่ มีสองคนที่ทนแรงกดดันหลังจากความล้มเหลวไม่ได้และเลือกที่จะฆ่าตัวตาย ส่วนอีกคนก็ฝึกตนจนสุดท้ายก็กลายเป็นคนบ้า และตายโดยการตัดขาดตัวเอง
ส่วนคนสุดท้ายนั้นไม่ยอมก้าวออกจากประตูวังอีกเลย และไม่ถึงสามปี เขาก็เสียชีวิตลงด้วยโรคซึมเศร้า
จะเห็นได้ว่าการยกคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งนั้นสำคัญต่อรัชทายาทของราชวงศ์เทียนลิ่งมากเพียงใด!
และเป็นเพราะเหตุนี้เอง จักรพรรดิทุกองค์จึงระมัดระวังในการเลือกรัชทายาทเป็นพิเศษ และส่วนใหญ่จะเริ่มประเมินความสามารถของพวกเขาตั้งแต่เยาว์วัย
อันดับแรกเขาจะเลือกคนที่ดูพร้อมทุกด้านก่อน จากนั้นก็เน้นไปทางด้านการฝึกฝน และเมื่อโตขึ้นหน่อยก็ค่อยเลือกคนที่พร้อมที่สุด
อย่างใดก็ตาม ซั่งกวนหว่านนั้นไม่เคยได้เป็นผู้ถูกเลือกเลย
ในแง่หนึ่ง อาจจะเป็นเพราะสถานะแม่ผู้ให้กำเนิดของนางนั้นต่ำต้อย ตั้งแต่เล็กจนโตนางจึงไม่เคยได้รับการเหลียวแล และอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นเพราะ นางไม่มีพรสวรรค์ที่พิเศษกว่าคนอื่น ดังนั้นนางจึงกลายเป็นคนนอกสายตาไปโดยปริยาย
และประเด็นหลักก็คือ หลังจากที่ซั่งกวนเยว่เกิดมา และพบว่านางมีชีพจรเทียนจิง องค์จักรพรรดิในปัจจุบันก็เลือกนางเป็นรัชทายาท โดยไม่สนใครอื่นอีกเลย!
ชีพจรเทียนจิงที่พันปีจะพบเพียงหนึ่งครั้งนั้นมีค่ามหาศาล การที่ฝ่าบาททำเช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นกับนางก่อนวันอภิเษกสมรส!
และสองปีต่อมา ซั่งกวนหว่านกับเจียงอวี่เฉิงก็ร่วมมือกันและค่อยๆ ควบคุมราชวงศ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ซึ่งนอกจากซั่งกวนหว่าน ตอนนี้ก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่านางแล้ว
…
สายตานับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างหลัง ทำให้ซั่งกวนหว่านรู้ว่าหากตอนนี้นางทำผิดพลาดล่ะก็ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ความผิดพลาดเหล่านั้นจักถูกประชาชนมากมายเอาไปใส่สีตีไข่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอน!
นางกัดฟันแล้วดึงพลังทั้งหมดในร่างกายออกมา! และพยายามยกเท้าขึ้นไปยังบันไดขั้นสุดท้าย!
แต่ขาทั้งสองข้างกลับหนักราวพันกิโลกรัม ไม่ว่าจะพยายามอย่างใดนางก็ก้าวขาไม่ออก
นางเริ่มเป็นกังวลและฟุ้งซ่าน
ถ้าขึ้นไปไม่ได้ล่ะก็ พวกคนด้านหลังจะต้อง…
แต่ทันใดนั้นเอง เจียงอวี่เฉิงก็ได้อัดฉีดพลังปราณเข้าไปในร่างกายของนางผ่านมือที่ประสานกันอยู่!
ซั่งกวนหว่านรู้สึกตัวเบาขึ้นมาก และรีบยกเท้าขึ้นเพื่อก้าวไปอย่างรวดเร็ว!
ส่วนเจียงอวี่เฉิงก็ตามไปติดๆ!
ทั้งสองจับมือกันแน่นและเดินตามกันไปติดๆ จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงขั้นสุดท้าย!
เมื่อเท้าของนางแตะพื้น ซั่งกวนหว่านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ที่หน้าประตูตำหนักหลางคุน มีผู้อาวุโสของราชวงศ์หกคนยืนเข้าแถวรอการมาถึงของพวกเขา
อันที่จริงควรมีแปดคน แต่น่าเสียดายที่ทั้งผู้อาวุโสชิวซีและผู้อาวุโสตวนมู่ฉุนเสียชีวิตในแดนภังคะ ดังนั้นจึงเหลือเพียงหกคน
จากนั้นผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ก้าวไปข้างหน้า พลางรวบรวมลมปราณจากจุดตันเถียน แล้วแผดเสียงตะโกนออกมาเสียงดังราวกับเสียงระฆัง
“คารวะฟ้าดิน!”
ซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงหันหลังกลับและโค้งคำนับต่อฟ้าดิน!
“คารวะราชวงศ์เทียนลิ่ง!”
ทั้งสองคนหันกลับมาอีกครั้งและโค้งคำนับไปตำหนักหลางคุน!
“คารวะคู่ชีวิต!”
ทั้งสองคนพลันยืนประจันหน้ากัน
ทว่าชั่วขณะหนึ่ง จิตใจของซั่งกวนหว่านกลับว่างเปล่า