ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 879 สอบถาม
ตอนที่ 879 สอบถาม
จะพูดว่าอย่างใดดีล่ะ?
ชาติที่แล้วไม่ได้อยู่ถึงงานแต่งงาน นางจึงไม่มีโอกาสได้เห็นคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่ง
ในใจของฉู่หลิวเยว่จึงคิดว่าคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ สูงส่งจนไม่สามารถลบหลู่
แต่วันนี้ในตอนที่คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งที่ลอยออกมาหานางเอง นางทั้งรู้สึกดีใจและประหลาดใจอย่างมาก
คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งที่อยู่ในมือของนางตอนนี้ เหมือนได้ชดเชยความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีให้หมดสิ้นไป
แต่ว่า…ไม่มีใครเคยบอกนางเลยว่าคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งจะติดคนแบบนี้!
เมื่อมองไปที่คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งที่กำลังเต้นระบำอย่างยินดีอยู่ตรงหน้า คนที่มีจิตใจเข้มแข็งอย่างฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกเหมือนว่าจะรับไม่ได้ไปครู่หนึ่ง
เจ้าดูมีความสุขดี แต่ช่วยมองมาทางข้าทีเถอะ!
รอบข้างยังมีคนมองอยู่นะ!
หากเป็นสถานการณ์ทั่วไปแล้ว ฉู่หลิวเยว่จะไม่มีทางสนใจสายตาของคนรอบข้างขนาดนี้หรอก
เพียงแต่ว่าในตอนนี้นั้นนางรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอย่างแผดเผา
“อะแฮ่ม!”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นมาป้องปาก จากนั้นก็กระแอมไอออกมาหนึ่งครั้ง
ทันใดนั้นเองนางก็ยื่นมือออกไปผลักคทานั้น
“คือว่า…เหมือนว่าท่านควรจะต้องกลับไปนะ…”
คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงของนาง และยังคงโยกย้ายเคลื่อนไหวไปมาที่รอบตัวนาง ไม่มีท่าทีที่จะกลับไปเลยแม้แต่น้อย
พรึ่บ!
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตาออกมา คาดไม่ถึงว่าถวนจื่อจะบินออกมาด้วย ก่อนจะเผชิญหน้ากับคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งแล้วเบิกตากลมโต
…ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้ากลับไป เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีก?
คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งชะงักไปชั่วครู่ มันย้ายตำแหน่งของตัวเองอีกครั้ง และไปอยู่อีกข้างฝ่ามือของฉู่หลิวเยว่
…เจ้าจะมาสนใจข้าเหตุใด?
มันไม่ใช่อสูรศักดิ์สิทธิ์เสียหน่อย เหตุใดต้องมาอิจฉามันด้วยล่ะ?
ถวนจื่อ “???”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ล้วนน่าอิจฉาทั้งนั้น
แต่เหตุใดถึงรู้สึกขายหน้าอย่างอธิบายไม่ถูกละ???
เมื่อเห็นว่าพวกมันมีแนวโน้มว่าจะทะเลาะกันต่อไป ฉู่หลิวเยว่ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด โดยการจับปีกของถวนจื่อ แล้วยกตัวมันมาวางไว้ที่บนไหล่ของตัวเอง
อย่างใดก็ตามเมื่อนางปล่อยมือออก ถวนจื่อก็พุ่งตัวเข้าไปหาคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งอีกครั้ง คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งก็กระโดดไปมา ราวกับกำลังยั่วโมโหมันก็ไม่ปาน
ฉู่หลิวเยว่กุมขมับของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ในที่สุดนางก็ตะโกนออกมาอย่างทนไม่ไหวว่า
“อย่าทะเลาะกัน!”
…
ในที่สุดพวกมันก็เงียบลงแล้ว
ส่วนคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ถวนจื่อกลับมาเกาะที่ไหล่ของฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองไปทางเจียงอวี่เฉิง
“คือว่า…ข้าพยายามแล้ว…แต่ข้าไม่สามารถทำอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลย”
สีหน้าของเจียงอวี่เฉิงแปลกประหลาดอย่างมาก
ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีทางสงบใจได้ทั้งนั้น
แต่เจียงอวี่เฉิงที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งเกาะติดอยู่ที่ข้างกายของฉู่หลิวเยว่ไม่ห่าง ถ้ายังคงตั้งคำถามต่อไป จะเป็นการทำให้ซั่งกวนหว่านเสียหน้าไปกว่านี้
ทางที่ดีที่สุดคือต้องเมินเฉยต่อเรื่องเหล่านี้
ดังนั้นเจียงอวี่เฉิงจึงเปลี่ยนเรื่องทันที
“พวกเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ส่วนเรื่องที่เจ้าพูดไปเมื่อสักครู่นี้…พวกเราจะส่งคนไปตรวจสอบอีกครั้งในภายหลัง…”
“ไม่ต้อง”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วพูดตัดบทเจียงอวี่เฉิง
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ เริ่มตอนนี้เลยก็ได้”
“อะ…อันใดนะ?”
เจียงอวี่เฉิงชะงักไปเล็กน้อย ในตอนนั้นเขาไม่รู้จริงๆ ว่าฉู่หลิวเยว่นั้นหมายความว่าอย่างใด?
แม้กระทั่งซั่งกวนหว่านก็ยังอดที่จะเปิดปากตำหนิขึ้นมาเสียงเย็นไม่ได้
“เริ่มตอนนี้เลย? จะทำเช่นนั้นได้อย่างใด? ฉู่หลิวเยว่ เจ้าดูให้ดี นี่คือตำหนักหลางคุนนะ เจ้ากล้าดีอย่างใดมาทำตัวกำเริบเสิบสานที่นี่!”
นางใช้คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งในการแย่งจุดสนใจก็ช่างเถิด แต่คาดไม่ถึงว่านางต้องการจะเริ่มสืบค้นสาเหตุการตายของซั่งกวนเยว่ตอนนี้?
นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วมุ่น ท้ายที่สุดแล้วที่นี่ก็คืองานแต่งงานของเขากับองค์หญิงสาม…
ต่อให้เจียงอวี่เฉิงจะไม่สนใจซั่งกวนหว่านอย่างใด แต่เขาก็ยังต้องใส่ใจกับงานแต่งงานครั้งนี้อย่างมาก
ทางด้านของซั่งกวนหว่าน นางก็ป่วนจนงานดูไม่ได้แล้ว ถ้าต้องหยิบยกเรื่องของซั่งกวนเยว่ขึ้นมาอีกละก็ เกรงว่านี่มันจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายอย่างมากแล้ว
เมื่อได้ยินเจียงอวี่เฉิงพูดเช่นนั้น ใบหน้าของซั่งกวนหว่านก็ดูขุ่นเคืองมากขึ้นเล็กน้อย
“ฉู่หลิวเยว่ เมื่อเจ้ายืนกรานจะทำเช่นนี้ เจ้าดูไม่ออกหรือว่าข้านั้นไม่พอใจ? งานมหามงคลสมรสของข้า แต่เจ้ากลับตั้งใจทำเรื่องเช่นนี้ นี่เจ้ากำลังจะสาปแช่งข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
“เหตุใดองค์หญิงสามถึงพูดเช่นนั้นเล่าเพคะ? ท่านพูดมาตลอดว่า องค์หญิงใหญ่คือพี่หญิงใหญ่ที่ท่านเคารพมากที่สุดไม่ใช่หรือเพคะ? แต่วันนี้เมื่อพูดถึงนาง ท่านกลับบอกว่าข้ากำลังสาปแช่งท่าน?”
ซั่งกวนหว่านสะอึกและพูดอันใดไม่ออก
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเสียงเย็น
“องค์หญิงใหญ่ให้ความรักและหวังดีกับท่านเสมอมา หากได้รู้ว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของท่าน นางคงจะดีใจไม่น้อยเลยทีเดียวเพคะ ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
ซั่งกวนหว่านรู้สึกเสียวสันหลังวาบทันที!
“พอแล้ว!”
นางระเบิดอารมณ์พูดขัดจังหวะของฉู่หลิวเยว่
“ไม่ว่าเจ้าอยากจะทำอันใดก็เชิญเลยตามสบาย”
ซั่งกวนเยว่ตายไปตั้งนานแล้ว จนไม่สามารถตายได้อีกแล้ว ดังนั้นหลักฐานและเบาะแสก็ถูกทำลายไปหมดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอันใดพอที่จะให้สืบค้นได้อีกแล้ว!”
นางไม่เชื่อ หลังจากผ่านไปสองปี มันจะสามารถค้นพบอันใดได้อีกหรืออย่างใด
“หว่าน…”
เจียงอวี่เฉิงคิดจะห้ามอย่างไม่ทันระวัง แต่คำพูดของซั่งกวนหว่านก็ได้พูดออกไปแล้ว
ฝ่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อก็กำหมัดกรอด ไม่รู้เหตุใดในใจของเขาจึงรู้สึกกระวนกระวายเช่นนี้อยู่ตลอด
“ขอบคุณองค์หญิงสามอย่างมากที่เข้าใจ”
ทุกคนต่างมองไปด้วยสีหน้าท่าทางที่แตกต่างกัน
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางเจียงอวี่เฉิง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป ความเย็นชาที่อยู่ในแววตาก็ส่องประกายออกมา
“เรื่องงานศพขององค์หญิงใหญ่นั้น องค์หญิงสามและท่านราชบุตรเขยเป็นคนจัดการ ดังนั้นเรื่องราวก่อนและหลังนั้น พวกท่านทั้งสองจะเป็นคนรู้ดีที่สุดใช่หรือไม่?”
เจียงอวี่เฉิงไม่รู้ว่านางต้องการทำอันใด แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าตอบรับ
“ถูกต้อง”
ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงคู่หมั้นระดับล่าง และซั่งกวนหว่านก็เป็นบุตรคนเดียวที่พอรู้ความ ดังนั้นเรื่องราวเหล่านี้พวกเขาย่อมเป็นคนรับผิดชอบ
ในเรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันดี
“เช่นนั้นก็ดี ข้ามีคำถามสองสามข้อต้องการจะถามพวกท่านทั้งสองคน”
ฉู่หลิวเยว่ยกนิ้วขึ้นมา
“ข้อแรก ในตอนที่องค์หญิงใหญ่เกิดเรื่อง ท่านราชบุตรเขยเป็นคนที่พบเรื่องนี้คนแรกใช่หรือไม่?”
“ใช่” เจียงอวี่เฉิงตอบอย่างไม่ลังเล ความจริงคำถามนี้ไม่ต้องถามก็มีคนมากมายที่รู้ เขา ซั่งกวนหว่านและคนอื่นได้สร้างวาทศิลป์ออกมา ต่อให้ฉู่หลิวเยว่ถามเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนอีกร้อยครั้ง เขาก็ยังจะพูดเหมือนเดิม
“วันนั้นองค์หญิงใหญ่บอกว่าต้องการจะปิดด่านบำเพ็ญเพียร ตั้งใจจะทดลองทะลวงขั้นที่เก้า ดังนั้นจึงเลือกปิดด่านฝึก ข้ายืนเฝ้ายามอยู่ด้านนอก หลังจากนั้นไม่นาน ข้าก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ตอนที่บุกเข้าไปในตำหนัก ก็พบว่าองค์หญิงใหญ่นั้นสวรรคตแล้ว”
เจียงอวี่เฉิงพูดได้ไหลลื่นอย่างมาก น้ำเสียงปกติ ราวกับว่าภาพเหตุการณ์นั้นเป็นแค่เรื่องปกติธรรมดาเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่ยกนิ้วที่สองขึ้นมา
“ดี เช่นนั้นคำถามที่สอง เหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงต้องเลือกทะลวงด่านขั้นที่เก้าในวันก่อนแต่งงานของนางแค่ไม่กี่วันด้วยละ? ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนต่างรู้ดีว่า การทะลวงด่านนั้นมีอันตราย อีกทั้งยิ่งระดับสูงมากเท่าไร ระยะเวลาของการทะลวงด่านย่อมนานมากขึ้นเท่านั้น ที่นางทำเช่นนี้ หรือว่านางไม่อยากจะเข้าร่วมงานมหามงคลสมรสในวันที่สองหรือ?”