ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 881 รับช่วงต่อ
ตอนที่ 881 รับช่วงต่อ
ในที่สุดใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงก็แตกละเอียด เขาตกใจอย่างไร้เสียง
“เหตุใดของชิ้นนี้มาอยู่ที่ท่านได้ล่ะ!”
หรือว่าคนที่บุกเข้ามาในเรือนฉินแล้วขโมยฉินหางเฟิ่งไป จะเป็นอวี้ฉือซง!?
คนผู้นั้นปิดซ่อนลมปราณของตนเองได้เป็นอย่างดี เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอวี้ฉือซงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย!
“เมื่อครู่ข้าผู้เฒ่าเพิ่งพูดไปไม่ใช่หรือ? นี่เป็นของขวัญที่มีคนส่งมาให้ข้าเมื่อวานนี้!”
อวี้ฉือซงลูบเคราของตัวเองเบาๆ จากนั้นก็แสดงฉินหางเฟิ่งให้ทุกคนดู
“ทุกท่านสามารถเข้ามาดูได้ ว่าฉินหลังนี้เป็นฉินขององค์หญิงใหญ่จริงหรือไม่”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความเงียบกริบ
“คุณชายใหญ่เจียงน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากที่สุด จะลองเข้ามาตรวจสอบสักหน่อยหรือไม่? หลังจากนำไปแล้ว จะได้ไม่มาพูดทีหลังว่ามันเป็นของปลอม”
เมื่ออวี้ฉือซงพูดจบ ก็ยังเดินขึ้นไปด้านหน้าเพื่อส่งฉินหลังนี้ไปให้ด้วยตัวเองอีกด้วย
เจียงอวี่เฉิงยืนห่างจากเขาไปประมาณสิบก้าว
จากสายตาของเขา หลังจากที่เขามองมันเพียงแวบแรก เขาก็รู้สึกคุ้นตาอย่างมาก นี่ต้องเป็นฉินหลังนั้นที่หายไปจากเรือนฉินอย่างแน่นอน!
แต่เขาก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่ามันมาอยู่กับอวี้ฉือซงได้อย่างใด!
เขาบอกว่ามีคนนำมาให้เขาเมื่อวานนี้…แล้วคนที่ว่านั้นคือใครกันเล่า?
“ขอข้าดูหน่อย”
ท่ามกลางความเงียบ ก็มีคนคนหนึ่งเดินออกมา
และคนคนนั้นคืออวี่เหวินเว่ย
เขาหัวเราะเหอะๆ แล้วเดินเข้ามา
“ตอนแรกที่องค์หญิงใหญ่รักฉินหลังนี้มาก นางมักจะให้ข้าตระเตรียมอุปกรณ์ที่เข้าชุดกับมันจำนวนมาก ดังนั้นนับว่าข้าค่อนข้างคุ้นเคยกับฉินตัวนี้อยู่ไม่น้อย ข้าสามารถแยกแยะได้ ทุกคนคงจะเชื่อถือข้าได้ใช่หรือไม่?”
อวี้ฉือซงส่งฉินหลังนั้นไป
“เชิญ…”
แม้ว่าตำแหน่งของอวี่เหวินเว่ยจะไม่ได้สูงเท่าซานกง* แต่เพราะว่าตระกูลของเขาสืบทอดมาหลายพันปีแล้ว สถานะของเขาจึงสูงส่งมากเช่นกัน
เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนั้น ก็มีน้ำหนักให้เชื่อถือได้ไม่น้อย
อวี่เหวินเว่ยรับฉินหางเฟิ่งหลังนั้นมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะมองอย่างละเอียดหนึ่งรอบ สีหน้าของเขาค่อยๆ จริงจังมากขึ้น
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“นี่เป็นของๆ องค์หญิงใหญ่อย่างแน่นอน อีกทั้งด้านในของฉินหลังนี้…มีค่ายกลกักขังมังกรอยู่
จริงๆ!”
“ขอข้าดูบ้าง!”
ในที่สุดเจี่ยนชูเย่ก็ทนไม่ไหว เขาเดินขึ้นมาด้านหน้าแล้วจ้องมองมันตาเขม็ง
บนฉินหางเฟิ่งหลังนั้น เหมือนว่าจะมีลำแสงจางๆ ส่องออกมา
เมื่อพลิกมันขึ้นมาจะเห็นว่ามีค่ายกลขนาดเท่าฝ่ามือส่องประกายอยู่ที่ด้านล่างของฉินหลังนั้นจริงๆ
หัวใจของเจียงอวี่เฉิงสับสนอย่างมาก!
ในตอนแรกเขาจดจ่อกับการจัดการซั่งกวนเยว่เพียงอย่างเดียว จึงไม่ได้ใส่ใจกับฉินหางเฟิ่งหลังนี้เลย
อีกทั้งสองปีที่ผ่านมานี้ เขาเช็ดทำความสะอาดฉินหางเฟิ่งหลังนี้เป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยสังเกตถึงค่ายกลนั้นเลย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็รีบพูดขึ้นมาว่า
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีค่ายกลนี้มาก่อน! ข้าไม่เคยเห็นค่ายกลเช่นนี้บนฉินหลังนี้มาก่อนเลย! มันเป็นเพียงแค่ค่ายกลระดับสามเท่านั้น ไม่ว่าปรมาจารย์ค่ายกลคนใดก็สามารถทำได้! เจ้าสำนักอวี้ฉือ ต่อให้ท่านสงสัยว่าการตายขององค์หญิงใหญ่มีเงื่อนงำ ท่านก็ไม่ต้องใช้วิธีนี้ออกมาหลอกลวงคนอื่นหรอก?”
อวี่เหวินเว่ยกลับหัวเราะเสียงเย็น
“แน่นอนว่าเจ้าจะต้องไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน เพราะว่าเดิมทีค่ายกลนี้มีตราประทับเอาไว้อยู่! หลังจากที่ผู้เฒ่าอย่างข้าคลายผนึกออกแล้ว ค่ายกลที่ว่านี้ถึงค่อยปรากฏออกมา!”
เจียงอวี่เฉิงยืนอยู่ท่ามกลางความตกตะลึง
“ผะ…ผนึกอันใด?”
คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ!
“นี่เป็นค่ายกลกักขังมังกรจริงๆ ด้วย! อีกทั้งปราณนี้…เป็นปราณขององค์หญิงใหญ่อย่างแน่นอน!”
เจี่ยนชูเย่พยักหน้ายืนยัน
“เพราะว่าวัสดุของฉินหางเฟิ่งนี้ทำมาจากไม้ชนิดพิเศษ ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่สามารถมองเห็นร่องรอยที่อยู่บนตัวของมันได้ แม้ว่าค่ายกลนั้นจะเป็นเพียงค่ายกลระดับสาม แต่คนที่สามารถจะทำเช่นนี้ได้ คนผู้นั้นจะต้องเป็นปรมาจารย์ระดับสูงของค่ายกลอย่างแน่นอน! หากข้าไม่ได้มองผิดละก็…น่าจะเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่ได้ใช้พลังปราณจากเส้นชีพจรเทียนจิงด้วย ก่อนจะปิดผนึกค่ายกลนี้ แล้วปกปิดปราณของมัน”
อวี้ฉือซงลูบเคราของตนเองเบาๆ
“ถูกต้อง หลังจากข้าคลายผนึกของมันแล้ว ข้าถึงได้เห็นค่ายกลกักขังมังกรนี้”
ตอนแรกซั่งกวนเยว่ได้ขึ้นเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับแปดแล้ว หากนางต้องการจะปกปิดเรื่องเหล่านี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน
จังหวะการเต้นหัวใจของเจียงอวี่เฉิงค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาเย็นเฉียบ
ประมาทไปแล้ว!
เขาประมาทเกินไปจริงๆ!
เขาลืมไปจริงๆ ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซั่งกวนเยว่ นั่นเป็นเหตุผลว่าแม้กระทั่งกลอุบายของนางข้ายังมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำ!
และตอนนี้มันเป็นหลักฐานที่มัดตัวเขาแน่นหนาแล้ว!
หลังจากนั้นก็มีคนสองคนที่เดินขึ้นมาดู จากนั้นก็พยักหน้ายืนยัน นี่เป็นร่องรอยที่องค์หญิงใหญ่ได้ทิ้งเอาไว้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน
เพราะว่านางมีเส้นชีพจรเทียนจิง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายมากในการระบุตัวตน
สถานะของคนในราชวงศ์เทียนลิ่ง บางครั้งแค่มองแวบเดียว พวกเขาก็สามารถยืนยันได้แล้ว
“เอ๋ นี่มันคืออันใดน่ะ?”
เจี่ยนชูเย่พูดขึ้น สายตาของเขายังจดจ้องไปที่ด้านล่างของค่ายกล ท่าทางเหมือนว่าได้เจออันใดบางอย่าง
เขาขยับกายเข้าใกล้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปทันที
“ด้านบนนั้นมีรอยอักษรเลือด!”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ทุกคนก็ดูตกใจอย่างมาก
หากมันไม่มีอันใดเกิดขึ้นจริงๆ แล้วบนฉินหางเฟิ่งหลังนี้จะมีรอยอักษรเลือดตัวหนึ่งซ่อนอยู่ได้อย่างใด?
อีกทั้งขั้นตอนในการปกปิดก็ซับซ้อนอย่างมาก!
หัวใจของเจียงอวี่เฉิงกระตุกวูบ! จนแทบจะหลุดออกจากหน้าอกอยู่แล้ว!
เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายก็แทบจะถูกแช่แข็งแล้ว!
ไม่หรอก…
ไม่มีทางหรอก!
ตอนนั้นเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากซั่งกวนเยว่ไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงมาทำเรื่องเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน!
เจียงอวี่เฉิงคอยปลอบใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง แต่ในใจลึกๆ แล้ว กลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาไม่หยุด
…เหตุใดถึงจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ?
นางออกจะฉลาดขนาดนั้น การวางกลยุทธ์เฉียบแหลม มีอันใดที่นางจะทำไม่ได้บ้าง?
“อักษรเลือดนี้ ก็เหมือนว่าองค์หญิงใหญ่ก็เป็นคนทิ้งมันเอาไว้!” สีหน้าของเจี่ยนชูเย่ก็ดูเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ
อวี่เหวินเว่ยและคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้น หน้าก็เปลี่ยนสีไปเช่นกัน
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดต่างก็มองออก
“อักษรเลือดตัวนั้นมันคือตัวอันใดหรือ?”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถามคำถามนี้ขึ้นมา
อวี้ฉือซงหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย แต่แววตาของเขากลับไม่ได้ยิ้มตามมาด้วย
“เจียงอวี่เฉิง เจ้าน่าจะรู้สิว่าอักษรเลือดตัวนั้นคือตัวอันใด?”
เส้นเลือดตรงขมับของเจียงอวี่เฉิงเต้นตุบๆ
“ข้าไม่…”
“เจียง!”
เจี่ยนชูเย่ยกฉินหางเฟิ่งตัวนั้นขึ้นมา พร้อมพูดอย่างเสียงดังลั่นว่า
“อักษรตัวนั้นเขียนว่า “เจียง””
“เจียงอวี่เฉิง เจียงคำนี้คงไม่ได้มาจากเจียงของสกุลเจ้าหรอกใช่หรือไม่?”
ซานกง แปลว่า ตำแหน่งสามพระยา