ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 885 ฟ้าดินเป็นพยาน
ตอนที่ 885 ฟ้าดินเป็นพยาน
เสียงของซย่าโหวหรงหยุดชะงักทันที
ดวงตาของเขาเบิกโพลงพร้อมจ้องไปที่จดหมายลับที่อยู่ในมือของฉู่หลิวเยว่ ใบหน้าซีดขาวอย่างกับเห็นผี และปฏิเสธออกมาทันที
“ไม่…เป็นไปไม่ได้…”
ของชิ้นนั้นเขาเก็บรักษาเอาไว้ในห้องหนังสืออย่างดี แม้กระทั่งซย่าโหวถิงอันก็ยังไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วเหตุใดมันถึงมาอยู่ในมือของฉู่หลิวเยว่ได้ล่ะ!?
“ใต้เท้าซย่าโหว นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?”
สีหน้าของเจียงอวี่เฉิงแข็งค้างจนน่ากลัว ก่อนจะซักไซ้เสียงเข้ม
ของสำคัญขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าซย่าโหวหรงจะปล่อยให้ฉู่หลิวเยว่หยิบมาได้! นี่มันหาเรื่องตายเองไม่ใช่หรือ?
ซย่าโหวหรงมองหน้าเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างรู้สึกผิดว่า
“ข้าไม่…ข้าเปล่านะ! ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาทเป็นอย่างมาก แล้วจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างใด!”
“จะใช่หรือไม่ใช่ มองแค่ครู่เดียวก็สามารถรู้ได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นจากนั้นก็ส่งจดหมายฉบับนั้นให้กับอวี่เหวินเว่ย
“ใต้เท้าอวี่เหวิน ท่านเป็นคนที่คุ้นเคยกับลายมือของฝ่าบาทมากที่สุด เช่นนั้นท่านลองดูด้วยตนเองเถิดว่าจดหมายฉบับนี้มีปัญหาหรือไม่?”
สีหน้าของอวี่เหวินเว่ยจริงจังมากขึ้น เขารับจดหมายฉบับนั้นมาทั้งสองมือ
จดหมายลับฉบับนั้นถูกเปิดออกแล้ว ด้านบนมีร่องรอยตราประทับสีทองที่หลงเหลือเอาไว้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นจดหมายที่ใช้ในราชสำนักเท่านั้น
แม้กระทั่งเรื่องกระดาษและกฎก็เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด
ถ้าคนไม่รู้ดูแล้วก็จะคิดว่ามันเป็นของจริงทุกประการ
เขาเปิดจดหมายฉบับนี้ออก แล้วหยิบจดหมายที่อยู่ด้านในมา
ด้านบนนั้นเขียนข้อความแค่ไม่กี่บรรทัด โดยทั่วไปเขียนว่าฝั่งชายแดนนั้นมีอันตราย ดังนั้นจึงมอบหมายให้สิบสามผู้พิทักษ์เยว่รุดหน้าไปจัดการก่อน
ว่ากันตามตรงแล้ว สิบสามผู้พิทักษ์เยว่เป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางฟังคำสั่งของคนอื่นนอกจากองค์หญิงใหญ่
แต่เพราะว่าปกติแล้วองค์หญิงใหญ่มักจะจัดการปัญหาเกี่ยวกับชายแดนเป็นจำนวนมาก กอปรกับจดหมายฉบับนี้แล้ว จึงสามารถเป็นสัญญาณลับว่าเรื่องนี้กำลังคุกคามนางอยู่ ดังนั้นจึงจำเป็นให้สิบสามผู้พิทักษ์เยว่ออกไปจัดการทั้งหมดพร้อมกัน
และเนื่องจากงานแต่งงานขององค์หญิงใหญ่ที่กำลังจะมาถึง จึงทำให้ไม่สะดวกที่จะออกจากวัง สิบสามผู้พิทักษ์เยว่จึงให้นางอยู่ที่ซีหลิง ส่วนพวกเขาไปจัดการเรื่องของชายแดนตามลำพัง โดยวางแผนว่าหากจัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้วก็จะกลับมา
แต่ต่อมาเขาก็รู้สึกว่ามีอันใดบางอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบกลับมาที่ซีหลิง แต่ทว่ามันก็ช้าไปหนึ่งก้าว
คนเหล่านี้ได้วางกับดักขนาดใหญ่เอาไว้แล้ว นั่นก็เพื่อทำให้ข้างกายของนางขาดการสนับสนุนและความเชื่อใจทั้งหมด สุดท้ายจึงได้มาลงมือกับนาง
ซั่งกวนเยว่ระมัดระวังอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายแล้วนางก็คิดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะวางแผนลอบสังหารนาง! แล้วเช่นนี้จะป้องกันได้อย่างใด!
“จดหมายฉบับนี้ ทั้งกระดาษ น้ำหมึกและตราประทับ ล้วนเป็นของที่ฝ่าบาทใช้มันโดยเฉพาะ แต่ทว่าลายมือนี้ ฝ่าบาทกลับไม่ได้เป็นคนเขียนด้วยตนเอง”
คิ้วของอวี่เหวินเว่ยขมวดแน่นขึ้น
“อีกทั้งจดหมายลับฉบับนี้ดูเหมือนจะเขียนขึ้นมาเมื่อสองปีที่แล้ว”
ตระกูลอวี่เหวินนั้นจงรักภักดีกับราชวงศ์เทียนลิ่งมาโดยตลอด
ในเมื่ออวี่เหวินเว่ยพูดเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจเถียงได้!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุผลต่างๆ ล้วนมีเหตุผลขึ้นมาแล้ว!
ในปีนั้นจะต้องมีใครสักคนที่ปลอมแปลงจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา พร้อมส่งให้สิบสามผู้พิทักษ์เยว่ออกจากซีหลิง และฉวยโอกาสในตอนที่ข้างกายขององค์หญิงใหญ่ไม่มีใคร ลงมือลอบสังหารนาง! สุดท้ายก็ยังไม่ลืมที่จะขุดรากถอนโคนคนที่ต้องการสืบหาความจริงทั้งหมด!
ดังนั้นการโจมตีครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นราวกับอาภรณ์สวรรค์ไร้ตะเข็บ!
ถ้าไม่มีใครวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เดิมทีเรื่องราวมันจะต้องไม่ดำเนินมาถึงขั้นนี้อย่างแน่นอน!
นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังบังคับให้องค์หญิงใหญ่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย!
ใบหน้าของอวี่เหวินเว่ยเคร่งเครียดมากขึ้น จากนั้นก็มองไปทางฉู่หลิวเยว่
“ไม่ทราบว่าคุณหนูฉู่หลิวเยว่ได้จดหมายฉบับนี้มาจากจวนตระกูลซย่าโหวหรือขอรับ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า
“แน่นอนสิเจ้าคะ ภายในโลกใบนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปลอมแปลงจดหมายของฝ่าบาทได้เหมือนเสียยิ่งกว่าของจริง?”
นอกจากลายมือแล้วทุกอย่างเป็นของจริงทั้งหมด!
ต้องบอกก่อนว่าคนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้จะต้องเป็นคนได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทไม่น้อยเลยทีเดียว!
เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ซย่าโหวหรงเป็นหนึ่งในสามปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ ปกติแล้วเขาเป็นอัครเสนาบดีที่คอยช่วยเหลืองานของฝ่าบาทอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีการพูดคุยกับฝ่าบาทอยู่เป็นนิจ
หากเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก
ตอนนั้นเองเสนาบดีที่ยืนอยู่โดยรอบก็มองหน้าซย่าโหวหรงด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไป
การปลอมแปลงพระราชกฤษฎีกาเป็นความผิดทางอาญา!
หากเรื่องราวร้ายแรงมากขึ้นกว่านี้ จะทำให้เกิดการพัวพันกับคนทั้งสามเผ่าได้!
ซย่าโหวหรงต้องบ้าไปแล้วถึงจะกล้าทำสิ่งเหล่านี้ได้!
“ใต้เท้าซย่าโหว ท่านจะอธิบายเรื่องนี้อย่างใด?”
รอยยิ้มและใบหน้าที่อ่อนโยนของอวี่เหวินเว่ยได้หายไปแล้ว แต่กลับมีท่าทางที่เย็นชาเคร่งเครียดขึ้นมาแทน!
ตระกูลอวี่เหวินไม่เคยมีส่วนร่วมในการแก่งแย่งชิงดีของอำนาจในราชสำนักมาก่อน
แต่หากได้ล่วงเกินฝ่าบาทแล้วไซร้ เรื่องนี้มันร้ายแรงอย่างมาก จำเป็นจะต้องสืบค้นสอบสวนให้ถึงที่สุด!
ซย่าโหวหรงเสียใจอย่างมากตั้งใจจะกัดฟัน ไม่ยอมรับสารภาพใดๆ
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้าบอกว่าเจ้านำออกมาจากจวนซย่าโหว แล้วเจ้ามีหลักฐานหรือไม่? ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นฝีมือของคนอื่นหรือไม่ นี่เจ้ากำลังจะใส่ร้ายข้าอยู่นะ! ข้าซย่าโหวหรง จงรักภักดีต่อฝ่าบาทเสมอมา ไม่เคยทำเรื่องที่รู้สึกผิดต่อฝ่าบาทเลยแม้แต่น้อย!”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตามอง
“ในเมื่อใต้เท้าซย่าโหวมั่นใจหนักแน่นขนาดนั้น เช่นนั้นกล้าสาบานหรือไม่? หากท่านเคยทำอันใดที่ต้องรู้สึกผิดกับฝ่าบาทแล้วละก็ขอให้ตระกูลซย่าโหวล่มสลายมอดม้วย”
ซย่าโหวหรงสำลักหนึ่งครั้ง แต่ก็ยังกัดฟันแล้วพูดขึ้นว่า
“ข้า…ข้ามีมโนธรรมอันดี มีอันใดที่ต้องไม่กล้ากัน! หาก…หากข้าทำการหักหลังฝ่าบาทจริง เช่นนั้นก็ขอให้ข้าตายโดยไม่มีดินกลบหน้า!”
ฉู่หลิวเยว่ใช้มือทั้งสองข้างกอดอก แล้วลูบคางตนเองเบาๆ
“ยังพูดไม่จบเลยนะ คำว่าทั้งตระกูลล่ะ?”
แววตาของซย่าโหวหรงมีประกายโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น “ฉู่หลิวเยว่! เจ้าอย่าทำให้มันเกินไปนัก!”
“ข้าทำเกินไปหรือ? ข้าเพียงช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของท่านเท่านั้นเอง!” ฉู่หลิวเยว่เบิกดวงตาของตัวเองกว้างขึ้นเล็กน้อย “ก็ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่าท่านจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ฟ้าดินเป็นพยานได้ หรือว่าท่านไม่กล้าพูดต่อแล้วหรือ?”
ซย่าโหวหรงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ถ้าเขาไม่พูด ฉู่หลิวเยว่จะต้องไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน อีกทั้งเขาจะดูเหมือนร้อนตัวมากขึ้นอีกด้วย
แต่ถ้าต้องพูดเช่นนั้น…
“เหนือศีรษะสามชุนมีเทพเทวา! ใต้เท้าซย่าโหว หากเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา มีสิ่งใดที่ท่านไม่สามารถพูดได้กัน?”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นมาเสียงเรียบ แต่ทุกคำพูดที่พูดออกมานั้นล้วนคมกริบดั่งมีด และค่อยๆ บีบบังคับให้ซย่าโหวหรงไปสู่ทางตันทีละน้อย!
คนที่อยู่รอบข้างไม่มีใครพูดอันใด แต่ทุกสายตานั้นจับจ้องตาเขม็ง และสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นขึ้นมา ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง
เจียงอวี่เฉิงพูดขึ้นเสียงเย็น
“ใต้เท้าซย่าโหว หากท่านมีคุณธรรมจริง เหตุใดถึงไม่กล้าสาบานล่ะ?”
หากซย่าโหวหรงเปิดปากออกมาจริงๆ ไม่ต้องนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย
ซย่าโหวหรงกัดฟันกรอด!
“ข้าซย่าโหวหรงขอสาบานว่าหากข้าได้ทำเรื่องที่ผิดจรรยาต่อฝ่าบาทจริง เช่นนั้นจะขอให้ตระกูลซย่าโหวทุกคนไม่ตายดี!”
แปะ!
แปะ!
แปะ!
ท่ามกลางความเงียบงัน ทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาจากที่ไม่ไกล
เสียงดังต่อเนื่องเป็นจังหวะ
ในขณะเดียวกัน เสียงทุ้มต่ำของชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา
“ใต้เท้าซย่าโหว พูดได้ดีมาก!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น สีหน้าของซย่าโหวหรงก็เปลี่ยนไปทันที
แม้กระทั่งเจียงอวี่เฉิง ซั่งกวนหว่านและคนอื่นๆ ก็เบิกตาโพลงและหันขวับกลับไปมองด้วยเช่นเดียวกัน!
ภายในท้องพระโรงของตำหนักหลางคุน มีชายผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีเหลืองลายมังกรค่อยๆ เดินออกมา!
อาจจะเป็นเพราะเขานอนอยู่บนเตียงมาหลายปี จึงทำให้ร่างกายซูบผอมไปมาก แต่โครงร่างยังแข็งแรง แผ่นหลังยืดตรง เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นรัศมีที่สูงส่งก็แผ่กระจายออกมาจนหมด!
จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของราชวงศ์เทียนลิ่ง…ซั่งกวนโหยว!