ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 901 สามีของเจ้า
ตอนที่ 901 สามีของเจ้า
เมื่อเห็นว่าแสงสีดำเส้นสุดท้ายกำลังหลบหนี ฉู่หลิวเยว่จึงลงมือโจมตีไปทันที ทันใดนั้นเสียงขององค์ปฐมกษัตริย์กลับดังขึ้นในโสตประสาทของนาง
“เยว่เอ๋อ อย่าไล่ตามคนร้ายไป!”
เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว ของชิ้นนั้นก็ได้หนีรอดไปได้แล้ว!
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ แต่กลับเห็นว่าสีหน้าขององค์ปฐมกษัตริย์ยังคงราบเรียบเช่นเดิม
นี่มัน…เขากำลังกังวลกับกลุ่มที่มีชื่อว่า “ถ้ำปีศาจทมิฬ” ใช่หรือไม่?
นางมีฐานะเป็นองค์หญิงใหญ่ โดยพื้นฐานแล้วนางก็พอจะมีความรู้ความเข้าใจรูปแบบของแผ่นดินใหญ่อยู่บ้าง
ด้านนอกพรมแดนม่านฟ้า มีแคว้นขนาดเล็กๆ เท่ากับแคว้นเย่าเฉินอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน
ส่วนภายในพรมแดนม่านฟ้านั้น ส่วนใหญ่แล้วมีเพียงราชวงศ์เทียนลิ่งที่แข็งแกร่งมากที่สุด
ราชวงศ์นี้มีพื้นที่อาณาเขตกว้างขวาง อีกส่วนใหญ่แล้วล้วนมีคนของตนเองที่มีหน้าที่ปกป้องพรมแดนม่านฟ้า เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ขนาดยักษ์ที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน
แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาล้วนมีการติดต่อสื่อสารอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีการก้าวก่ายเรื่องอันใดกัน
หากลำดับเหล่านี้เกิดความโกลาหล อาจจะต้องมีชีวิตหลายหมื่นหลายแสนชีวิตที่จะต้องเกิดการสูญเสียประชากรจำนวนหลายสิบล้าน
อีกทั้งแคว้นที่สามารถครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของภายในพรมแดนม่านฟ้า พวกเขานั้นล้วนมีอำนาจอย่างมาก ไม่สามารถยั่วยุได้แน่นอน
แต่ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับไม่เคยได้ยินชื่อของถ้ำปีศาจทมิฬมาก่อนเลย
องค์ปฐมกษัตริย์กลับดูกังวลขึ้นเล็กน้อย…
นี่เขากำลังกังวลเรื่องอันใดกันแน่?
แต่เหมือนว่าองค์ปฐมกษัตริย์ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้อย่างละเอียดต่อหน้าคนจำนวนมหาศาล เพียงแค่ส่งสายตามามองฉู่หลิวเยว่อย่างมีความหมายแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
ในตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดจากตำแหน่งด้านล่าง
เสียงนั้นมาจากซั่งกวนหว่านที่ไม่รู้ว่าไปนอนกองที่พื้นตั้งแต่เมื่อไร นางขดตัวเป็นก้อนกลมๆ ด้วยความเจ็บปวดเลือดภายในร่างกายของนางยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองไปแล้ว จนกลายเป็นสีดำคล้ำเล็กน้อย
เจ็บ!
เจ็บปวดอย่างที่สุด!
ในหัวสมองของนางขาวโพลน เพลือเพียงความเจ็บปวดที่ไม่อาจหลีกหนีได้!
เพราะว่าคนผู้นั้นได้พุ่งตัวออกมาจากซั่งกวนหว่านอย่างไม่สนใจใยดี จึงทำให้พลังดั้งเดิมของนางนั้นยุ่งเหยิง ปั่นป่วน มากเสียจนร่างกายของนางในตอนนี้เน่าเละ บางส่วนก็มีกระดูกสีขาวปรากฏออกมาด้วย!
ทั่วทั้งร่างกายของนางถูกแผดเผา! และยังดูเหมือนมีคนเอามีดพันเล่มมาแทงนางอยู่อย่างใดอย่างนั้น!
ซั่งกวนหว่านเจ็บปวดจนมองเห็นภาพด้านหน้าเป็นเพียงภาพเลือนรางเท่านั้น
อันใดที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตายนั้น ในที่สุดวันนี้นางก็ได้ลิ้มลองมันแล้ว!
เมื่อเห็นสภาพของซั่งกวนหว่านครึ่งผีครึ่งคน คนจำนวนไม่น้อยก็แสดงสีหน้ารังเกียจออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยหลังลงไป เหมือนว่ากลัวว่าจะติดเชื้ออย่างใดอย่างนั้น
ฉู่หลิวเยว่มองดูภาพเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างเย็นชา
จากนั้นนางก็เดินลงบันไดมา เดินลงมาทีละขั้นจนกระทั่งไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่
กระบี่หลงหยวนกลับมาอยู่ในมือของนางอีกครั้ง คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งก็ติดตามนางอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เช่นกัน
เมื่อซั่งกวนหว่านได้ยินเสียงฝีเท้า ก็รู้ว่าฉู่หลิวเยว่มาแล้ว
ร่างกายที่สั่นสะท้านอยู่ตลอดของนางก็หยุดชะงักลง จากนั้นนางก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
เสียงสูดลมหายใจเย็นๆ ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
ในตอนนี้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นของซั่งกวนหว่านนั้น เริ่มมีหนองไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง
กลิ่นคาวเลือดลอยตามลมออกมา บนใบหน้าของนางนั้นมีสีแดงสีดำผสมอยู่รวมกัน ดูแล้วเหมือนผีอย่างใดอย่างนั้น จึงทำให้ผู้คนหวาดกลัวอย่างมาก
วันนี้นางสวมชุดแต่งงานสีแดงสด ดังนั้นต่อให้ตัวของนางมีรอยเลือดก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
มีเพียงเลือดที่ไหลกองอย่างต่อเนื่องตรงใต้พื้นเท่านั้น ที่บ่งบอกว่านางกำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส!
นางเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก แววตาที่มองฉู่หลิวเยว่นั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและอ้างว้าง
ในตอนนี้แม้แต่แรงที่จะต้องโกรธแค้นฉู่หลิวเยว่ นางยังไม่มี
ฉู่หลิวเยว่มองนาง
“คนเมื่อครู่นี้มีความเกี่ยวข้องอย่างใดกับเจ้า?”
ซั่งกวนหว่านอ้าปาก แต่เสียงของนางนั้นบางเบาเหมือนกับใยแมงมุม
“…เจ้า…ตอนนี้เจ้า…พอใจแล้ว…สินะ…เจ้าฆ่า…ข้า…เถอะ”
นางรู้ว่าวันนี้นางคงไม่รอดแล้ว
ชายผู้นั้นที่อยู่ในร่างกายของนางได้ทำลายทางรอดทางสุดท้ายของนางไปจนสิ้นแล้ว ร่างกายของนางในตอนนี้ เป็นเพียงเปลือกที่แตกร้าวเท่านั้น
แทนที่นางจะต้องทุกข์ทรมานจากการประณามและดูถูก นางยอมตายไปเลยดีกว่า!
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับยืนนิ่ง ก่อนจะย่อตัวลงมาจ้องตาของซั่งกวนหว่าน
“ข้าถามเจ้าว่า เจ้ารู้จักคนเมื่อครู่นี้มากน้อยเพียงใด?”
ที่ซั่งกวนหว่านกล้าทำตัวกำเริบเสิบสาน ก็เพราะว่ามีคนผู้นี้คอยช่วยเหลือ
จะว่าไปแล้วนางน่าจะเป็นคนที่รู้จักคนผู้นี้มากที่สุดไม่ใช่หรือ
ซั่งกวนหว่านหัวเราะเยาะตนเอง แต่ริมฝีปากก็ยังไม่ยกขึ้น นางหลุบตาลงต่ำ ใบหน้าดำมืดลงเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว พร้อมเชิดคางขึ้น
“ชีหาน ปลุกให้นางตื่น”
เงาของคนผู้หนึ่งก็กระโดดออกมาจากในกลุ่มของทหารม้าทมิฬอีกครั้ง!
คนผู้นั้นคือ ชีหาน!
เขามายืนอยู่ที่ด้านข้างของซั่งกวนหว่านแล้ว พร้อมจิกหัวอีกฝ่ายขึ้นมา เป็นการบังคับให้นางเงยหน้าขึ้น มืออีกข้างหนึ่งก็ยัดโอสถเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากของนาง!
ขั้นตอนทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว!
ซั่งกวนหว่านยังไม่มีเวลาให้ร้องด้วยความเจ็บปวด แต่นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงฤทธิ์ยาที่มันอุ่นร้อนแผ่ซ่านอยู่ภายในช่องท้องและทรวงอก
แต่นี่ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกถึงความโชคดีหรือมีความสุขแต่อย่างใด แต่กลับกระตุ้นให้นางรู้สึกกลัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม!
นางพยายามดิ้นรนขัดขืน อยากจะอาเจียนโอสถเม็ดนั้นออกมา แต่โอสถเม็ดนั้นได้ละลายในปากและกลืนลงคอไปแล้ว
“ตอนนี้มีแรงพูดแล้วใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ถามเสียงเรียบ
ภายในใจของซั่งกวนหว่านเต็มไปด้วยความเคียดแค้น และหวาดกลัว จึงอดที่จะร้องไห้ไม่ได้
“เจ้า…เจ้าต้องการอันใดกันแน่! ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียด…เกลียดข้า…ก็ฆ่าข้าสิ!”
ความเจ็บปวดทรมานที่ถูกเหยียบย่ำ นางยอมตายดีกว่าที่จะมายอมรับความรู้สึกเช่นนี้!
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็หัวเราะขึ้นมา คิ้วโค้งขึ้น แต่หัวคิ้วและแววตากลับแสดงความเย็นชาเล็กน้อย
“อยากตาย? มันมีเรื่องดีงามขนาดนั้นที่ไหนกัน”
การได้ตายอย่างมีความสุข ในสถานการณ์เช่นนี้ มันคือการปลดปล่อย
ซั่งกวนหว่านได้สร้างความเจ็บปวดบนร่างกายของนางไว้ตั้งมากตั้งมาย จะให้นางจากไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างใด?
ในตอนแรกนั้นเพราะนางรับการทรมานจากพวกเขาทั้งสองไม่ไหว ดังนั้นนางจึงตัดสินใจจุดไฟเผาตัวเองอย่างไม่ลังเลเลย
แต่โอกาสเช่นนั้น นางไม่มีทางหยิบยื่นให้กับซั่งกวนหว่านเด็ดขาด
นางกะพริบตาปริบๆ แล้วมองไปที่ซั่งกวนหว่านก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า
“วางใจเถอะ ในเมื่อตอนนี้เจ้าไม่พูด ไม่ว่าช้าเร็วอย่างใด เจ้าก็ต้องพูด”
ซั่งกวนหว่านจะต้องสู้ด้วยสงครามเย็นกับนาง
ในตอนนั้นเองภายในใจของนางก็มีความหวาดกลัวอย่างไม่สิ้นสุดพวยพุ่งออกมา
“ข้า…ข้าไม่รู้จริงๆ! ข้าไม่รู้อะไรเลย! เขามาเอง ข้า ข้าโดนบังคับ”
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับส่ายหน้า
“ไม่ต้องรีบ เจ้าคิดให้ดี รอเจ้าคิดได้ครบถ้วนแล้วค่อยมาบอกข้า ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลามากนัก”
หลังจากนั้นนางก็เบนสายตาไปมองทางเจียงอวี่เฉิงแล้วส่ายหน้าอย่างเสียดายเล็กน้อย
“เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ สามีของเจ้า ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีการขอร้องอ้อนวอนแทนเจ้าเลยแม้แต่คำเดียว”
————————————————————–