ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 906 ยกเลิกงานหมั้น
ตอนที่ 906 ยกเลิกงานหมั้น
ฉู่หลิวเยว่ผู้ซึ่งกำลังทำภารกิจอยู่ในวังยามนี้ ยังไม่ทราบข่าวเรื่องที่หรงซิวนั้นได้มาถึงซีหลิงแล้ว
หลังจากเอาอกเอาใจท่านพ่อของตนเสร็จ นางก็เปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปยังตำหนักฮวาหยางทันที
ตำหนักฮวาหยางที่เคยพลุกพล่านและจอแจ ตอนนี้กลับว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา นอกจากกองทหารม้าทมิฬที่เฝ้าตรวจการอยู่ภายในและภายนอกตำหนักแล้ว ก็ไม่มีข้าราชบริพารคนใดหลงเหลืออยู่เลยสักคน
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ กระทั่งก้าวเข้าไปในห้องโถงหลักของตำหนักฮวาหยาง
ทว่าหลังจากเข้าไปในห้องแล้ว กลับพลันมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยมา!
สภาพห้องทั้งรกและสกปรกไปทั่วทุกอนู
กองขยะที่สูงราวภูเขานั้นปิดบังทัศนียภาพของท้องพระโรง จนแทบจะมองไม่เห็นใครบางคนที่อยู่ตรงนั้น
นั่นคือซั่งกวนหว่าน!
บนกายของนางเต็มไปแผลฝีหนองที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะไม่มีใครเข้ามาดูแลทำความสะอาดแผลให้นาง
แต่ในทุกๆ วัน ชีหานจะเวียนเข้ามาป้อนยาให้นาง เพื่อยื้อชีวิตนางไว้
ซึ่งวิธีนี้จะทำให้นางไม่ตายและไม่ตกอยู่ในสภาวะสมองดับไร้การตอบสนอง แต่มันจะทำให้นางได้รับรู้ถึงความทรมานทั้งๆ ที่ยังมีสติต่างหาก
และจักเป็นเช่นนั้นทุกวันคืนไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ซั่งกวนหว่านก็นึกว่าชีหานมาแล้ว และยังคงนิ่งเฉยไม่ไหวติง
อย่างใดเสีย นางก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะโต้ตอบ และทำได้เพียงทนมีชีวิตที่เจ็บปวดราวตายทั้งเป็นเช่นนี้ไปวันๆ
หลังจากทนทุกข์ทรมานมาหลายวัน นางก็ไม่ได้ขบคิดแผนการใดๆ อีกต่อไป ตอนนี้นางคิดแค่หากวันหนึ่งโชคเข้าข้าง ก็ขอให้ตนนั้นตายๆ ไปเสียให้หมดเรื่อง
“สภาพของเจ้าดูไม่เลวเลยนะ”
พลันมีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น
ซั่งกวนหว่านชะงักแล้วเงยหน้ามองทันที ก่อนจะเห็นว่าคนที่เข้ามาคือ ฉู่หลิวเยว่!
วันนี้อีกฝ่ายสวมชุดสีขาวเรียบๆ ทว่าสง่างาม ปอยผมสีดำนุ่มเสมือนปุยเมฆทิ้งตัวห้อยลงมาระไปตามไหล่ ส่วนบนศีรษะมีเพียงปิ่นปักผมรูปดอกไม้ปักมวยไว้เท่านั้น
เพียงมองแวบเดียวก็สัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ ความสูงศักดิ์และความมีเสน่ห์
แต่ใครจะคิดกันว่าคนแบบนี้ จะใช้วิธีการที่โหดร้ายขับไล่ซั่งกวนหว่านไปสู่ความสิ้นหวัง!
แม้แต่เศษสิ่งสกปรกรอบตัวนาง ยังไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายมัวหมองได้เลย
นางยืนอยู่ตรงนั้น ราวสตรีผู้สูงศักดิ์ที่อยู่สูงเกินเอื้อม
และนั่นทำให้ซั่งกวนหว่านตระหนักได้ทันทีเลยว่า นางกลับมาแล้ว นางผู้นั้นกลับมาแล้วจริงๆ!
“จะ เจ้ามาทำอันใดมิทราบ!”
ซั่งกวนหว่านอยากจะตวาดด่าออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่นางอ่อนล้าเกินไปที่จะทำเช่นนั้น
ฉู่หลิวเยว่เหยียดยิ้มบาง
“ข้าแค่จะมาถามเจ้าว่า ดวงวิญญาณที่หนีไปวันนั้นเป็นของผู้ใด และมีความสัมพันธ์อันใดกับเจ้า ถึงได้ช่วยเจ้าก่อเรื่องไว้มากมายเช่นนี้”
ซั่งกวนหว่านเงียบไปครู่หนึ่ง
“ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ แต่… ถ้าข้าบอกแล้ว เจ้าต้องสัญญากับข้าก่อน ว่าจะเจ้าสังหารข้า!”
ชีวิตในแต่ละวันที่ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ นางทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น หางตาเรียวโค้งลงฉายแววยิ้มเยาะ
“เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ต่อรองกับข้างั้นหรือ? ถ้าเจ้าอยากพูดก็พูดมา แต่ถ้าไม่… ข้ายังเหลือเวลาจัดการกับเจ้าอีกมาก”
หลังจากพูดจบ นางก็หันกลับไปทันทีราวจะจากไปทั้งๆ อย่างนั้น!
และเมื่อเห็นความแน่วแน่ของอีกฝ่าย ซั่งกวนหว่านก็พลันตื่นตระหนก
“เดี๋ยวก่อน ข้าพูด ข้าพูดแล้ว!”
ประหนึ่งกลัวว่าฉู่หลิวเยว่จะเปลี่ยนใจ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพรั่งพรูคำเหล่านั้นออกมาทั้งหมดในคราเดียว
“ขะ ข้าก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นปรากฏขึ้นมาในจิตวิญญาณของข้าตั้งแต่เมื่อใด และก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร หลายปีมานี้ เขายุยงให้ข้าทำสิ่งต่างๆ รวมทั้งเรื่องที่ข้าทำร้ายเจ้าในตอนนั้นเองก็ด้วย มันเป็น เป็นฝีมือของเขาทั้งนั้น! และก็มี…เรื่องวิธีทำให้ชีพจรดั้งเดิมกลับคืนมา…”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงพลางครุ่นคิด
“เมื่อครั้งที่เจ้าอยู่แดนภังคะ เขาก็เป็นคนสอนให้เจ้าทำร้ายคนเหล่านั้นหรือ?”
“ใช่! ใช่แล้ว!”
“เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าตั้งแต่แรกแล้ว จากนั้นก็คอยชักใยเจ้าให้ทำสิ่งเหล่านี้?”
“ถูกต้อง! ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้าก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก! ข้าสาบานได้เลย!”
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงักไปนิด ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของนาง
ทว่าพอเห็นท่าทีเช่นนี้ของซั่งกวนหว่านแล้ว สิ่งที่พูดออกมานั้นก็น่าจะเป็นเรื่องจริง
นางตั้งใจกักขังอีกฝ่ายและทำให้เจ้าตัวได้รับรู้ถึงความทรมานมาร่วมสองสามวัน ซึ่งนั่นก็เพื่อให้นางได้ชดใช้ความผิดที่เกิดขึ้นในปีนั้น และอีกแง่หนึ่งก็เพื่อกดดันให้นางจนตรอก จนจำต้องยอมบอกความจริงทั้งหมด
และตอนนี้นางก็ไม่มีเหตุที่ต้องโกหกอีก
แต่ดูๆ แล้วว่าถึงนางจะดึงดันถามต่อ ก็คงไม่มีประโยชน์
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
คนผู้นั้นทรงพลังมาก และคาดว่าซั่งกวนหว่านคงจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาจริงๆ
และนางคงไม่รู้เรื่องของคนคนนั้นมากเท่าองค์ไท่จู่
“แล้วเรื่องทำร้ายข้าล่ะ ตกลงว่าเป็นความคิดของเจ้าหรือเจียงอวี่เฉิงกันแน่?” ฉู่หลิวเยว่ถามย้อนกลับไป
“เป็นความคิดของเขา! เขาเป็นฝ่ายเข้าหาข้าก่อน ละ แล้วก็บอกว่าเขาชอบข้า แถมยังบอกว่าเขาอยากอยู่กับข้าตลอดไปด้วย…”
ซั่งกวนหว่านพูดเสียงสั่นเครือ
นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ที่ถูกเจียงอวี่เฉิงปั่นหัวเล่น แต่กลับไม่เคยระแคะระคายเลยสักนิด!
น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางแอบปันใจให้เจียงอวี่เฉิงไปแล้ว ฉะนั้นนางจักแยกว่าเขาพูดจริงพูดเท็จได้อย่างใด?
“ยามที่เขามาหาข้า ความจริงเขาเริ่มวางยาเจ้าแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ต้องการฆ่าเจ้าก็คือเจียงอวี่เฉิง! แม้ว่าข้าจะเกลียดเจ้า แต่ข้านั้นไม่มีความสามารถและก็ไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้นหรอก… จะว่าไปแล้ว ข้าก็เพียงหมากของเขาเท่านั้น ถ้าเจ้าอยากแก้แค้น ก็ไปจัดการเขาเสีย!”
ซั่งกวนหว่านพูดพลางหัวเราะเยาะตัวเอง
“พูดแล้วก็ช่างน่าขัน ในห้องทรงงานของเขายังมีรูปเจ้าเมื่อสิบปีก่อนอยู่เลย ตั้งแต่วันที่เจ้าเข้าพิธีปักปิ่น เขาก็ตกหลุมรักเจ้าแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ฆ่าเจ้าเนี่ยนะ?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ตอบอันใดกลับไป
ความรู้สึก “ชอบ” ของเจียงอวี่เฉิงนั้นเป็นสิ่งที่นางตอบรับไม่ได้
แต่กระนั้นเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ เกรงว่านางคงจะต้องไปหาเขา และถามเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อหาคำตอบเสียแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็หันหลังแล้วเดินออกไปทันที
ซั่งกวนหว่านตะโกนรั้งเรียกนางไว้ ทว่าร่างเงาของฉู่หลิวเยว่พลันหายวับไปแล้ว
สิ้นเสียงตะโกน น้ำเสียงซั่งกวนหว่านแหบแห้ง อีกทั้งยังกระอักเลือดออกมาไม่น้อย ก่อนที่นางจะค่อยๆ หมดสติไปอีกครั้ง
ไม่นานนักชีหานก็เดินเข้ามา และปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาสัมผัสกับความทุกข์ทรมานอันไร้ซึ่งจุดจบอีกครั้ง!
…
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโถงใหญ่นั่น
สิบสามผู้พิทักษ์เยว่อยู่กับนางมานาน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมช่วยสะสางเรื่องต่างๆ ให้นางได้
หลังจากก้าวเท้าออกนอกประตู นางก็หันฝีเท้าและมุ่งหน้าเข้าไปในห้องโถงที่อยู่ข้างกัน
เจียงอวี่เฉิงอยู่ข้างในนั้น
เมื่อเทียบกับซั่งกวนหว่านแล้ว สถานการณ์ของเขาก็ไม่ได้ดีกว่าฝ่ายนั้นมากนัก
แต่สภาพจิตใจของเขาแข็งแกร่งกว่าซั่งกวนหว่านมาก
ครั้นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง
และพอได้เห็นใบหน้าอันคุ้นตาแต่ไม่คุ้นเคยในความรู้สึก หัวใจของเขาก็เกิดหวั่นไหวเล็กน้อย และมีคลื่นอารมณ์บางอย่างแฝงอยู่ในดวงตาของเขา
แม้ว่าวันนี้ฉู่หลิวเยว่จะไม่ได้แต่งตัวด้วยชุดผ้าแพรหรูหรา แต่หลังจากได้สถานะเดิมกลับคืนมาแล้ว นางก็เลิกปกปิดลมปราณของตัวเอง และปล่อยรัศมีความสูงศักดิ์ออกมา จนเห็นระยะห่างระหว่างพวกเขาได้ชัดเจน
ถึงจะอยู่ในชุดกระโปรงยาวเรียบๆ แต่ก็ยังงดงามเสียจนใครๆ ละสายตาไม่ได้
ไม่รู้ว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่เจียงอวี่เฉิงสัมผัสได้ว่าฉู่หลิวเยว่นั้น ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนซั่งกวนเยว่ในอดีต
เมื่อก่อนใบหน้าของพวกนางมีจุดที่คล้ายกันสองจุด และมีพฤติกรรมที่คล้ายกันอยู่สามอย่าง ซึ่งรวมๆ แล้วก็มีจุดที่เหมือนกันอยู่ห้าจุด
ทว่าตอนนี้ ยิ่งเด็กสาวคนนี้โตขึ้น ก็ยิ่งเผยให้เห็นว่าพวกนางมีจุดที่คล้ายกันมากกว่าเจ็ดในสิบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับซั่งกวนเยว่ตอนที่นางอยู่ในวัยเท่านี้แล้ว…
พวกนางยิ่งดูเหมือนกัน ราวกับถูกแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันจริงๆ
บนโลกนี้จะมีคนที่เกิดมาคล้ายกันขนาดนี้ได้จริงๆ หรือ?
หรือเพราะเปลี่ยนแก่นวิญญาณข้างใน ถึงได้ดูคล้ายกันเช่นนี้?
ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอันใดอยู่ ดังนั้นนางจึงพูดเข้าประเด็นเสีย
“วันนี้ข้ามาเพื่อถามเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“ข้าเคยพูดเรื่องยกเลิกงานหมั้นกับเจ้าหรือไม่?
————————————————————–