ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 914 สารภาพรัก
ตอนที่ 914 สารภาพรัก
หลังจากบอกลาหรงซิวแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็กลับไปที่วังพร้อมกับสิบสาม
เดิมทีนางรู้สึกหมดหวังและกังวล แต่หลังจากได้พบหรงซิวแล้ว นางก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
ราวกับว่าถ้ามีเขาอยู่ ก็ไม่มีอันใดต้องกังวลอีก
และพอกลับไปถึงตำหนักเจาเยว่ นางก็พบกับซั่งกวนโหยวที่รออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กลับมาอย่างปลอดภัย ซั่งกวนโหยวก็พลอยรู้สึกโล่งใจ
ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้นเมื่อสองปีก่อน เขากลายเป็นคนอ่อนไหวมากขึ้น
หากฉู่หลิวเยว่หายไปจากวังนานเกินไป เขาจะรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
ถึงเขาจะรู้ดีว่าตอนนี้นางมีองครักษ์มากมายรายล้อม แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่คนเป็นพ่อจะห่วงลูก
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอกเรื่องที่หรงซิวจะมาพบเขาในอีกสามวัน แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ฉู่หนิงถูกลักพาตัวไป
ตอนนี้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ซึ่งการบอกท่านพ่อไปทั้งๆ อย่างนั้น ก็จะมีแต่ทำให้ท่านกังวลมากขึ้น
แต่กลับกัน ซั่งกวนโหยวนั้นเริ่มสงสัยเกี่ยวกับหรงซิวมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าคนแบบใด ที่ทำให้นางโปรดปรานได้มากเพียงนี้
แต่พอเห็นดวงตาอันเป็นประกายเสมือนดวงดาราของฉู่หลิวเยว่ ยามที่นางพูดถึงหรงซิวแล้ว ซั่งกวนโหยวก็แอบตัดสินใจไว้แล้วว่า
ตราบใดที่เด็กนั่นเป็นคนดี เขาก็จะไม่คัดค้าน
ทุกอย่างก็เพื่อความสุขของลูกสาวของเขา!
…
หลังจากส่งซั่งกวนโหยวกลับตำหนัก ฉู่หลิวเยว่ก็เดินกลับไปยังห้องทรงงานของตน และทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน
วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายจนนางหัวหมุนไม่หยุด
ภายในสมองปรากฏภาพเหตุการณ์ต่างๆ ซ้ำๆ
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้น คลื่นอารมณ์ในดวงตาคู่สวยสงบลงแล้ว
“องค์ไท่จู่”
ฉู่หลิวเยว่ขานเรียกด้วยความเคารพ
ก่อนจะมีภาพเงาโปร่งแสงปรากฏขึ้นต่อหน้านาง เขาคือองค์ไท่จู่!
“นังหนู มีอันใดกวนใจเจ้าอีกแล้วหรือ?”
องค์ไท่จู่ถามพลางเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ถ้ำปีศาจทมิฬที่ท่านเคยพูดถึงก่อนหน้านี้… สรุปแล้วมันคืออันใดกันแน่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ องค์ไท่จู่ก็ทำหน้าเคร่งขรึมทันที พลางเงียบไปนาน
ฉู่หลิวเยว่รอคอยคำตอบอยู่อย่างเงียบๆ
นางรู้เรื่องราชวงศ์อื่นๆ ที่อยู่ภายในพรมแดนม่านฟ้าพอสมควร ซึ่งบางราชวงศ์ก็แข็งแกร่งกว่าราชวงศ์เทียนลิ่ง และบางราชวงศ์ก็อ่อนแอกว่า
แต่ถ้ำปีศาจทมิฬนั้น… นางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย
“มันคือสำนักเร้นลับ”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเบาๆ
“สำนักเร้นลับ?”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง องค์ไท่จู่ก็เปล่งเสียงออกมาเบาๆ และถอนหายใจยาวพรืด ราวกับกำลังรื้อฟื้นความจำ
“เมื่อหลายพันปีก่อน ตอนที่พลังปราณของข้าอยู่ในระดับเก้าขั้นสูงสุด และอยู่ห่างจากการก้าวเข้าสู่อาณาจักรของเหล่าเซียนเทพเพียงหนึ่งก้าว แต่หนึ่งก้าวที่ว่านี้ ข้าใช้เวลากับมันนานนับสิบปี แต่ก็มิอาจประสบความสำเร็จได้ ต่อมาข้าจึงออกจากราชวงศ์เทียนลิ่งและเดินทางข้ามทวีปไปตามที่ต่างๆ จนได้พบกับถ้ำปีศาจทมิฬ แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น”
“ภายในถ้ำปีศาจทมิฬมีผู้แข็งแกร่งอาศัยอยู่มากมาย แม้ว่าข้าในตอนนั้นจะอยู่ในจุดสูงสุด แต่ก็ยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้ ข้าเคยเห็นคนจากถ้ำปีศาจทมิฬควบคุมป่าเขาและท้องทะเลมาแล้ว ช่างเป็นเทพเซียนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
แม้เวลาจะผ่านไปนับพันปี ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น ยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขา ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับผงะ
ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา องค์ไท่จู่คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์เทียนลิ่ง ขนาดเขายังกล่าวเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้น… คนของถ้ำปีศาจทมิฬจักแข็งแกร่งเพียงใดกัน?
“ในวันนั้น แม้ว่าชายผู้นั้นจะไม่มีร่างกายและเหลือเพียงวิญญาณ แต่ลมปราณของถ้ำปีศาจทมิฬนั้นแข็งแกร่งมาก นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าจำมันได้จนถึงตอนนี้”
สำนักเร้นลับเหล่านี้ทรงพลังอย่างมากในแง่ของการฝึกลมปราณ และส่วนใหญ่จะมีลักษณะเฉพาะของตน ซึ่งหากได้เห็นพวกเขา ก็จะสามารถแยกแยะได้โดยปริยาย
“แต่คนเหล่านี้มักจะหยิ่งยโส ไม่ค่อยเข้าสังคม แถมยังไม่เข้าร่วมความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์ด้วย…” องค์ไท่จู่ส่ายศีรษะด้วยใบหน้าที่งุนงง “ไม่รู้เลยว่าคราวนี้จะเกิดอันใดขึ้นอีก…”
ฉู่หลิวเยว่ใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง
“วิญญาณตนนั้นสิงอยู่ในร่างของซั่งกวนหว่านนานแล้ว อย่างน้อยก็สองสามปีเห็นจะได้ แต่ถ้าอิงตามที่ซั่งกวนหว่านพูด นางเองก็จำไม่ได้ว่าคนคนนั้นเข้ามาสิงร่างนางตั้งแต่เมื่อใด แต่สาเหตุที่นางทำเรื่องต่างๆ ลงไปนั้น เป็นเพราะถูกคนผู้นั้นบงการ รวมถึงเรื่องที่นาง…ฆ่าข้าด้วย”
องค์ไท่จู่มองนางด้วยแววตาซับซ้อน
“อันที่จริงวันนั้น ข้าสังเกตเห็นว่าเหมือนคนคนนั้นตั้งใจมุ่งเป้าไปที่เจ้าเลยนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอันใด?”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกวูบ
นางยังจำได้ดีว่าตอนนั้นอีกฝ่ายพูดว่าอันใด
หรือจะเป็น… ไข่มุกธาราในตัวนาง?
นับตั้งแต่ที่ไข่มุกธาราในกายนางเปลี่ยนรูปร่างเป็นหยวนตัน มันก็คงรูปแบบเช่นนั้นไว้เกือบตลอดเวลา
แต่เพราะได้รับอิทธิพลของอีกฝ่ายในวันนั้น มันก็กลับไปเป็นวัตถุโปร่งใสอีกครั้ง แถมยังรู้สึกได้ว่ามันดิ้นรนที่จะออกมา!
แต่ถ้าคนผู้นั้นมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์นี้ เหตุใดเขาถึงไม่จัดการนางเสียตั้งแต่คราแรกที่เจอ?
ก่อนที่นางจะเสียชีวิตในชาติที่แล้ว นางไม่เคยมีเจ้าสิ่งนี้อยู่ในตัว
ทว่าหลังจากที่นางเกิดใหม่ วัตถุดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นในกายของนางอย่างหาต้นสายปลายเหตุมิได้
แม้กระทั่งตอนนี้ นางเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออันใด…
นางส่ายศีรษะพัลวัน
“คนแบบนั้น ถ้าครั้งแรกไม่สำเร็จ เขาจักไม่ยอมแพ้และกลับมาจัดการกับเจ้าอีกครั้งแน่นอน ”
องค์ไท่จู่กล่าวเสียงเข้ม
“ถ้าเขาแค่คนเดียวน่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าเขานำกองกำลังมาเพิ่มล่ะก็…”
นี่คือสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด
หากคนจากถ้ำปีศาจทมิฬต้องการโจมตีเทียนลิ่งล่ะก็… เกรงว่าแม้แต่เขาเองก็คงจะรับมือไม่ไหว!
“นังหนู สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าในตอนนี้ คือการพัฒนาขอบเขตพลังปราณของเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยวิธีนี้ แม้ในอนาคตจะมีใครหมายหัวเจ้า เจ้าก็สามารถจัดการกับมันได้”
องค์ไท่จู่ขมวดคิ้ว
“ถือทรัพย์กับตัวย่อมเป็นภัย [1] ในกายเจ้ามีสมบัติล้ำค่าอยู่มากมาย หากนำมันออกมาสักชิ้น มันจักกระตุ้นความริษยาและดึงดูดความโลภจากผู้คนนับไม่ถ้วน… เจ้าสามารถซ่อนมันได้เพียงชั่วคราว แต่มิอาจซ่อนมันได้ตลอดไป”
ซึ่งทางออกเดียวที่ดีที่สุดก็คือ การทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น!
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างจริงจัง
“คำสอนขององค์ไท่จู่ เยว่เอ๋อจะจำมันไว้”
…
สามวันผ่านไป ว่องไวราวโกหก
เช้าวันนี้ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นมาชำระร่างกายและเตรียมความพร้อม จากนั้นก็เดินทางไปยังตำหนักหยวนเหอ
ปัจจุบันตำหนักหยวนเหอถูกจัดเป็นเรือนประทับส่วนพระองค์ของซั่งกวนโหยว
เขาจงใจเลือกนัดเจอในสถานที่แห่งนี้ แทนที่จะเป็นตำหนักกลางหลังใหญ่ที่ไว้พบปะเหล่าขุนนาง แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าซั่งกวนโหยวต้องการพบหรงซิวในฐานะบิดาของบุตรสาวคนหนึ่งเสียก่อน
แม้ว่าซั่งกวนเยว่จะประกาศตนเป็นจักรพรรดิแล้ว แต่สำหรับซั่งกวนโหยว สิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การแต่งงานครั้งนี้จะทำให้นางมีความสุขหรือไม่ต่างหาก
บางครั้งในสายตาของประชาชน อาจจะมองว่าการอภิเษกสมรสของจักรพรรดินั้น จำต้องเห็นแก่ชาติบ้านเมืองก่อน แล้วจึงค่อยนึกถึงครอบครัว
แต่ในกรณีของซั่งกวนโหยว เขาเลือกครอบครัวก่อน แล้วค่อยเป็นเรื่องของบ้านเมือง
ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ใด ข้ารับใช้ในวังก็จะถวายบังคมด้วยความเคารพ
แต่ทันทีที่นางเดินออกไปนอกตำหนักหยวนเหอ นางก็เห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นราวกับกำลังรอใครสักคน
และเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ชายคนนั้นก็หันกลับมา
ครั้นได้เห็นใบหน้าของหลิวเยว่เต็มสองตา ร่องรอยของความตื่นเต้นและความสุข ก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม
เขาสาวเท้าเข้ามาสองก้าว “องค์…ฝ่าบาท!”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาอย่างแปลกใจ
“จ้าวจื่อเฉิง? เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
คนผู้นี้คือบุตรชายคนที่สองของตระกูลจ้าว และถือได้ว่าเป็นลูกชายของตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองซีหลิง
แต่เขาออกจากซีหลิงไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลับมาวันนี้
เมื่อได้ยินคำถามของนาง ใบหูของจ้าวจื่อเฉิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“ได้ยินว่าฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้ว ข้าจึงรีบเดินทางกลับมา เพื่อหวังว่าจะได้พบฝ่าบาทอีกครั้ง”
เขาดูกังวลมาก แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวังและเขอะเขิน
“ฝ่าบาท วันนี้ข้ามาเพื่อบอกความในใจของข้า เนื่องจากก่อนหน้าที่ท่านเลือกเจียงอวี่เฉิง ข้าจึงพูดอันใดมากไม่ได้ และทำใจจากซีหลิงไป ทว่าคราวนี้… ได้โปรดให้โอกาสจื่อเฉิงคนนี้ด้วยเถิด!”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกอย่างแรง
นี่เขา… สารภาพรักกับนางหรือ!?
ในวันที่นางจะพาคู่หมั้นไปพบท่านพ่อเนี่ยนะ!?
[1] ถือทรัพย์กับตัวย่อมเป็นภัย อุปมาว่าการครอบครองสิ่งมีค่านั้น จะเป็นการกระตุ้นความริษยาของผู้อื่น จนนำภัยมาสู่ตัว
————————————————————–